Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การจัดประสบการณ์ โดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน - Coggle Diagram
การจัดประสบการณ์
โดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน
ความเป็นมา
ในปัจจุบัน เด็กฐมวัยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่ทำให้มีโอกาสสัมผัสตามธรรมชาติน้อยลง เนื่องจากความนิยมในเทคโนโลยีและการใช้ชีวิตในเมือง ที่ส่งผลให้ขาดโอกาสเรียนรู้จากธรรมชาติ
เป็นฐานเริ่มต้นมาจากความตระหนักในผลกระทบของเทคโนโลยีและสังคมเมืองที่ทำให้เด็ก ๆ ห่างไกลจากธรรมชาติ หลายประเทศเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการให้เด็กได้สัมผัสธรรมชาติในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ แทนที่จะเรียนรู้ในห้องเรียนที่มีเพียงข้อมูลทางทฤษฎีอย่างเดียว
ในปัจจุบัน แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากการวิจัยทางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การสัมผัสธรรมชาติสามารถช่วยเสริมสร้างทักษะทางการคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การพัฒนาความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและในไทยเอง แนวคิดการจัดประสบการณ์ธรรมชาติเป็นฐานเริ่มถูกนำมาใช้ในบางสถานศึกษาเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ที่มีความหมายและสัมพันธ์กับโลกธรรมชาติ และได้กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการพัฒนาเด็กในปัจจุบัน
ในยุคก่อน การเรียนรู้ในธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาพื้นฐานของหลายสังคม เช่น การเรียนรู้ผ่านการเดินป่า หรือการทำเกษตร ซึ่งเป็นการพัฒนาและส่งเสริมทักษะที่สามารถใช้ได้ในชีวิตจริง
ปรัชญาและหลักการสอน
การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง เช่น การสำรวจธรรมชาติ กิจกรรมกลางแจ้ง การทดลองกับสิ่งแวดล้อมจริง การสำรวจต้นไม้ แมลงหรือการเล่นน้ำและดิน
การให้เด็กเรียนรู้ด้วยการเล่นและการแก้ปัญหาผ่านกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ การจัดสภาพแวดล้อมควรเปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้จากธรรมชาติ เช่น การจัดมุมธนรมชาติในห้องเรียนหรืการนำพืชและสัตว์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน
โดยเชื่อว่าเด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้สัมผัสและปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตรอบตัว การเรียนรู้ในลักษณะนี้ช่วยให้เด็กมีความสัมพันธ์ที่ดีกับธรรมชาติและพัฒนาความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้แบบองค์รวม: การเรียนรู้ที่ไม่เพียงแต่เน้นไปที่การพัฒนาทักษะทางสติปัญญาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการพัฒนาทักษะด้านอารมณ์ สังคม และร่างกายด้วย โดยการสัมผัสประสบการณ์ธรรมชาติช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะปรับตัวและตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี
จุดเด่นของนวัตกรรม
ส่งเสริมพัฒนาการรอบด้าน ได้แก่ ร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในธรรมชาติ
ช่วยสร้างสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์และลดความเครียด
พัฒนาทักษะทางสังคมและการทำงานร่วมกัน
ปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม
จุดด้อยของนวัตกรรม
ขาดแคลนพื้นที่ธรรมชาติในบางชุมชน
ครูอาจขาดความชำนาญในการจัดกิจกรรมแบบธรรมชาติ
ต้องการอุปกรณ์และการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งอาจเพิ่มค่าใช้จ่าย
สภาพอากาศอาจเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมกลางแจ้ง
สื่อและอุปกรณ์
สื่อจากธรรมชาติ
ดิน ทราย และหิน: ใช้ในการสังเกต ลองสัมผัส หรือศึกษาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การทำการทดลองเกี่ยวกับการชะล้างดิน หรือการสร้างศิลปะจากทราย
ใบไม้ ดอกไม้ กิ่งไม้ และผลไม้: ใช้ในการสังเกตวงจรชีวิตของพืช การจำแนกชนิดพืชหรือสัตว์ และการสร้างงานศิลปะ เช่น การทำการ์ดจากใบไม้ หรือการรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ไม้และกิ่งไม้: ใช้ในการสร้างแบบจำลอง หรือเป็นวัสดุสำหรับการเล่นและการเรียนรู้เรื่องโครงสร้างทางธรรมชาติ เช่น การสร้างบ้านต้นไม้จำลอง
น้ำ: ใช้ในการทดลองเกี่ยวกับวงจรน้ำ การเคลื่อนที่ของน้ำ หรือการศึกษาเกี่ยวกับระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับน้ำ
สื่อการศึกษาอื่นๆ
หนังสือเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: หนังสือภาพเกี่ยวกับพืช สัตว์ หรือการศึกษาเรื่องธรรมชาติ เช่น หนังสือสอนเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม
-แผ่นภาพหรือโปสเตอร์: ใช้สำหรับการสอนเรื่องพืชและสัตว์ชนิดต่าง ๆ หรือแสดงภาพต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งที่กำลังเรียนรู้ได้ดีขึ้น
สื่อการเรียนรู้ดิจิทัล: เช่น แอปพลิเคชันเกี่ยวกับการสังเกตธรรมชาติ การสำรวจสิ่งมีชีวิตในพื้นที่ใกล้เคียง หรือการศึกษาเรื่องระบบนิเวศผ่านสื่อออนไลน์
เกมการศึกษา: เกมที่เน้นการเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ เช่น เกมการจำแนกชนิดของพืชหรือสัตว์ เกมที่สอนเกี่ยวกับการดูแลสิ่งแวดล้อม
สื่อที่ใช้ในการเล่นและสร้างสรรค์
วัสดุศิลปะจากธรรมชาติ: เช่น สีจากดิน หรือวัสดุที่ทำจากไม้ ใช้ในการสร้างงานศิลปะที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ
เครื่องมือในการสร้างสิ่งของ: เช่น กรรไกร ไม้บรรทัด เทปกาว และสีต่าง ๆ เพื่อให้เด็กสร้างโมเดลหรือการประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ
กล่องดินสอ: ใช้ในการเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ดินสอ ปากกา สี และเครื่องมือในการบันทึกผลการสำรวจหรือกิจกรรม
พื้นที่และสถานที่เรียนรู้
พื้นที่กลางแจ้ง (Outdoor Spaces): สถานที่เรียนรู้กลางแจ้ง เช่น สวนสาธารณะ สวนธรรมชาติ ป่าไม้ หรือพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญในการสัมผัสประสบการณ์ธรรมชาติ
แนวคิดและทฤษฎี
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ (Constructivism)
การเรียนรู้ในรูปแบบนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากทฤษฎีของ Jean Piaget และ Lev Vygotsky ซึ่งเน้นว่าเด็กจะเรียนรู้จากการมีประสบการณ์ตรงในโลกจริง โดยการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกายภาพในธรรมชาติ เช่น การสัมผัสดิน การปลูกต้นไม้ หรือการสำรวจสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอกและช่วยให้เด็กสร้างความรู้ได้จากประสบการณ์ของตนเอง
ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการปฏิบัติ (Experiential Learning Theory)
ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย David Kolb ซึ่งเน้นความสำคัญของการเรียนรู้จากการทำจริง (Learning by Doing) การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์โดยตรงในธรรมชาติช่วยให้เด็กสามารถเชื่อมโยงทฤษฎีกับการปฏิบัติได้ เช่น การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยการสังเกตและทดลองในธรรมชาติ และการปรับตัวตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เช่น การเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิตของพืชและสัตว์ในสภาพแวดล้อมที่แท้จริง
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบเชื่อมโยง (Connectivism)
ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย George Siemens และเน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงข้อมูลในหลากหลายแหล่งที่มารวมกัน โดยในกรณีของการเรียนรู้จากธรรมชาติ แนวคิดนี้หมายถึงการที่เด็กเรียนรู้จากการเชื่อมโยงประสบการณ์ในธรรมชาติกับความรู้ที่มีอยู่แล้ว และสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นผ่านการสังเกต การคิดเชิงวิพากษ์ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ
ทฤษฎีการพัฒนาแบบองค์รวม (Holistic Development Theory)
แนวคิดนี้มาจากการมองว่าเด็กทุกคนควรได้รับการพัฒนาในทุกมิติ ได้แก่ ทางกายภาพ จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ โดยการเรียนรู้ในธรรมชาติจะช่วยเสริมสร้างความสมดุลในทุกด้านของการพัฒนา เช่น เด็กจะได้พัฒนาทักษะทางร่างกายจากการเล่นกลางแจ้ง และพัฒนาทักษะทางสังคมจากการทำงานร่วมกับเพื่อนๆ ในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ
ทฤษฎีการศึกษาทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Education Theory)
ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นการศึกษาที่เชื่อมโยงกับการรับรู้และการดูแลสิ่งแวดล้อม โดย David Orr และ Rachel Carson นักวิจัยทางสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญกับการปลูกฝังทักษะและความรับผิดชอบในการรักษาสิ่งแวดล้อม การให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่สนุกสนานและมีประสบการณ์จริง เช่น การปลูกต้นไม้
ทฤษฎีการศึกษาแบบธรรมชาติ (Nature-Based Education Theory)
แนวคิดนี้เน้นการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่มีการสัมผัสธรรมชาติ เช่น การเรียนรู้ในป่า การปลูกต้นไม้ หรือการสำรวจสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ทฤษฎีนี้อ้างอิงจากการศึกษาของนักการศึกษาเช่น Ruth Wilson และ Richard Louv (ผู้เขียนหนังสือ Last Child in the Woods) ซึ่งได้เสนอแนวคิดว่าเด็กในยุคปัจจุบันต้องได้รับโอกาสในการสัมผัสธรรมชาติอย่างมากขึ้น เนื่องจากการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าเด็กที่ได้สัมผัสกับธรรมชาติจะมีพัฒนาการทางด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคม