Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Dx. G5P4A0 GA 39+4 wks by LMP with Gestational diabetes mellitus A2 …

- - - - Blood group = A , Rh = Positive Hct. = 33.0 %. OF= Negative
        MCV= 81 fI , DCIP= Negative, ไวรัสตับอักเสบบี = Negative
        ซิฟิลิส= Negative, Anti HIV= Negative,
    - - Hct = 32 %
        VDRL = Neg
        HBsAg = Neg
        Anti-HIV = Neg
- - - - ขณะตั้งครรภ์ : ไม่มีการออกกำลังกาย
      - ก่อนตั้งครรภ์ : ไม่มีการออกกำลังกาย
    - - บริเวณหน้าท้องไม่พบ Diastasis recti พบรอยแตก striae ไม่พบเส้นสีน้ำตาลผ่านสะดือกลางท้อง (Linea nigra) คลำหน้าท้องพบยอดมดลูก 3/4 เหนือสะดือ ลูกดิ้นดี ทารกอยู่ในท่า OR ส่วนนำ Head float ฟัง FHS = 156 bpm
  - - - หญิงตั้งครรภ์นับถือศาสนาอิสลาม ปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด ละหมาดครบ 5 เวลา
    - - สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคือพระองค์อัลลอฮ์
  - - - คลำไม่พบกระเพาะปัสสาวะโป่งตึง
    - - ปัสสาวะ
        
        ก่อนตั้งครรภ์ 3-4 ครั้ง/วัน
        
        หลังตั้งครรภ์ 5-6 ครั้ง/วัน
      - อุจจาระ
        
        ก่อนตั้งครรภ์ 1 ครั้ง/วัน
        
        หลังตั้งครรภ์ 1 ครั้ง/วัน
  - - - ขณะตั้งครรภ์ : 2-3 เดือนแรก มีอาการคลื่นไส้อาเจียน จึงรับประทานอาหารได้น้อย เมื่ออายุครรภ์ 4 เดือนรับประทานได้ปกติ รับประทานอาหาร 3 มื้อ คือ เช้า เที่ยง เย็น ดื่มน้ำวันละ 7-8 แก้วต่อวัน ชอบดื่มนม ลดทานอาหารหวานน้อยลงระหว่างมื้อจะรับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ ผัก ผลไม้ และข้าว 2-3 ทัพพี ปกติแล้วชอบทานอาหารที่มีรสหวานชอบผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น เงาะ
      - มีอาการคลื่นไส้อาเจียนในช่วงแรกของการตั้งครรภ์เท่านั้น
    - - ส่วนสูง 150 cm
      - น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 42 kg
        BMI ก่อนการตั้งครรภ์ = 18.67 kg/m2
      - น้ำหนักขณะตั้งครรภ์ 55 kg
        BMI ขณะตั้งครรภ์ = 24.44 kg/m2
  - - - หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่า : ตนกังวลเรื่องโรคที่จะมีผลต่อทารกในครรภ์
      - วิธีแก้ไข: เมื่อมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคหวานที่ตนเองเป็นจะมีผลต่อทารกในครรภ์ ก็จะสอบถามหมอหรือพยาบาล เพื่อขอคำแนะนำ และปฏิบัติตาม หากมีเรื่องกังวลอื่นๆจะปรึกษาระบายกับสามี เปิดอัลกุรอาน จะรู้สึกดีขึ้น
    - - หญิงตั้งครรภ์มีสีหน้าสดชื่น ยิ้มแย้ม เมื่อพูด ถึงผลกระทบต่อบุตรจากโรคเบาหวาน จะมีสีหน้า กังวล คิ้วขมวด เมื่อได้คำแนะนำหญิงตั้งครรภ์จะมีสี หน้าผ่อนคลาย ยิ้มแย้ม ให้ความร่วมมือในการซัก ประวัติ และการตรวจครรภ์เป็นอย่างดี
  - - - หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่า เป็นครอบครัวเดี่ยว อาศัยกับสามี และลูก 4 คน
      - คนในครอบครัวมีความรักใคร่กันดี มีการดูแลเอาใจใส่และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
    - - หญิงตั้งครรภ์มีสัมพันธภาพที่ดี พูดคุยกับ สามี บุตร และบุคคลรอบข้างที่มาฝากครรภ์ มีสีหน้า ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางเป็นมิตร ให้ความร่วมมือใน การสอบถามเป็นอย่างดี
  - - - เมื่อมีการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ มักจะไปอนามัย
      - ประจำเดือนครั้งสุดท้าย คือ 07/03/2567
      - การตั้งครรภ์ครั้งนี้เป็นการตั้งครรภ์ครั้งที่ 5
      - ช่วงอายุครรภ์ 13 wks มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ไม่มีอาการหน้ามืด รับประทานอาหารได้เล็กน้อย รับยาบำรุงครรภ์ที่อนามัยโคกสะตอ
      - หลังอายุครรภ์ 27 wks หญิงตั้งครรภ์ทราบว่าตนเองเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
      - ปฏิเสธการแพ้ยา แพ้อาหาร และสารเคมี ทุกชนิด
      - ฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลต่อเนื่องตามนัดทุกครั้ง รับประทานยาบำรุงตลอด
      - เมื่ออายุครรภ์ GA 31+5 wks และดูแลตนเองโดยควบคุมอาหารและฉีดอินซูลิน
    - - ผิวสีแทน ศาสนาอิสลาม รูปร่างสมส่วน หน้าท้องสัมพันธ์กับอายุครรภ์ สีหน้ายิ้มแย้ม แจ่มใส ให้ความร่วมมือในการซักประวัติเป็นอย่างดี
      - สภาพทั่วไปสะอาด ใส่เสื้อแขนยาว กระโปรงยาว ผ้าคลุมยาวสีดำสะอาด สวมหน้ากากอนามัย รองเท้าส้นเตี้ย
      - ไม่มีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายที่บ่งบอกถึงความพิการ
- - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S: ญิงตั้งครรภ์ให้ประวัติว่า "ก่อนการตั้งครรภ์มีการคุมกำเนิดด้วยการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด 2 ปี หยุดรับประทานยาได้ 1 เดือน แล้วก็ท้องเลย"
        O: หญิงตั้งครรภ์ Dx. G5P4A0 GA 39+4 wks by LMP with GDMA2
      - วัตถุประสงค์: เพื่อวางแผนครอบครัวและคุมกำเนิดได้ถูกต้อง
      - การประเมินผล
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถทวนซ้ำและบอกเกี่ยวกับการคุมกำเนิดได้ถูกต้อง ร้อยละ 80
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถ
        ตัดสินใจเลือกวิธีการคุมกำเนิดได้ด้วยตนเอง
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถทวนซ้ำและบอกเกี่ยวกับการคุมกำเนิดได้ถูกต้องร้อยละ 80
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถตระหนักถึงความสำคัญของการคุมกำเนิด โดยการสามารถตัดสินใจเลือกวิธีการคุมกำเนิดได้ด้วยตนเอ
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว เพื่อสามารถให้การพยาบาลได้อย่างเหมาะสม
        
        อธิบายให้ทราบถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ต่อโรคเบาหวานภาวะแทรกซ้อน และผลกระทบของเบาหวานต่อการตั้งครรภ์ทั้งมารดาและทารก
        
        ผลกระทบของการตั้งครรภ์ต่อโรคเบาหวาน
        
        การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดยากเนื่องจากในไตรมาสที่ 2 และ 3 รกสร้างฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ต้านอินซูลินมากขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
        
        มีการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์
        
        การตั้งครรภ์จะทำให้เบาหวานรุนแรงขึ้น
        
        ผลกระทบของเบาหวานต่อการตั้งครรภ์ ต่อมารดา เช่น การแท้ง คลอดยากจากทารกน้ำหนักตัวมาก (macrosomia)
        ต่อทารก เช่น ทารกตัวโต ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ บาดเจ็บจากการคลอดติดไหล่
        
        ภาวะแทรกซ้อน เช่น การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อลดน้อยลง, ปัสสาวะบ่อยส่งผลให้ Electrolyte Imbalance
        
        แนะนำการคุมกำเนิด เช่น
        3.1 การคุมกำเนิดถาวร ได้แก่ การทำหมัน เป็นต้น
        3.2 คุมกำเนิดชั่วคราว ได้แก่ ถุงยางอนามัยชาย, ยาเม็ด, คุมกำเนิด, ยาฉีดคุมกำเนิด, ยาฝังคุมกำเนิด, ห่วงคุมกำเนิด เป็นต้น
        
        แนะนำเว้นช่วงการมีบุตร 2 ปี เพื่อวางแผนครอบครัว
    - - ข้อมสนับสนุน
        
        S: หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่า “ทารกดิ้นดี”
        S: หญิงตั้งครรภ์บอกว่า “จะพูดคุยกับทารกในครรภ์ให้ฟังอยู่ตลอด”
        O: หญิงตั้งครรภ์ Dx. G5P4A0
        GA 39+4 wks by LMP with GDMA2
        O: ประเมินระดับมดลูก 3/4 เหนือสะดือ 37 cm
        FHS= 148 bpm
      - วัตถุประสงค์ : มีความรู้ในการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ได้ถูกต้อง ร้อยละ 80
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถสาธิตย้อนกลับวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ได้ถูกต้อง ร้อยละ 80
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        พูดคุยสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับหญิงตั้งครรภ์ ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร อ่อนโยน เป็นกันเอง มีการพูดคุยให้กำลังใจหญิงตังครรภ์ เพื่อให้เกิดความสบายใจไว้วางใจ ลดความวิตกกังวลได้
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์ตามปัจจัยที่ส่งผลต่อสมองของทารกในครรภ์ โดยการรับประทานสารอาหารที่ดีต่อสมอง และจัดสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับพัฒนาการสมองและระบบประสาท เพื่อให้ทารกมีศักยภาพสูงสุด
        2.1 แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารสำคัญต่อการเจริญเติบโตของทารก เช่น
        
        โฟลิก เช่น ผักใบเขียวต่าง ๆ
        
        ธาตุเหล็ก เช่น ในเนื้อสัตว์ ตับ ปลา กุ้ง ร่วมกับผลไม้ เช่น ฝรั่ง ส้ม
        
        ไอโอดีน
        
        กรดไขมันในน้ำมันพืช
        2.2 แนะนำให้ออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น เดิน ปั่นจักรยาน เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยทำให้ร่างกายจะรู้สึกสดชื่น มีพลัง และหลั่งสารความสุข (Endorphins) เพิ่มขึ้น ทำให้มีผลต่อพัฒนาการสมองทารก
        2.3 แนะนำให้จัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในการกระตุ้นทารกในครรภ์
        
        ด้านการมองเห็น
        
        การใช้เสียงของมารดา
        
        อารมณ์ของมารดา
      - การประเมินผล
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ได้ถูกต้องร้อยละ 80
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถสาธิตย้อนกลับวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ได้ถูกต้อง
        ร้อยละ 80
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S: หญิงตั้งครรภ์ให้
        ข้อมูลว่า “เริ่มมีอาการปวดหลังเมื่อนั่งและยืนนาน ๆ และเมื่อมีอาการมักจะเปลี่ยนท่า พักนอนตะแคงซ้ายและเอาหมอนหนุนหลัง และมีอาการอึกอัดแน่นท้อง เมื่อมีอาการมักจะเปลี่ยนท่ามานอนตะแคงซ้าย”
        O: หญิงตั้งครรภ์ Dx. G5P4A0
        GA 39+4 wks by LMP with GDMA2
        O: ประเมินระดับมดลูก 3/4 เหนือสะดือ 37 cm
        FHS= 148 bpm
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        แนะนำส่งเสริมการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในไตรมาสที่ 3 ให้แก่หญิง
        ตั้งครรภ์ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
        น้ำหนักขึ้น ปวดหลัง เลือดออกทางช่องคลอด หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น อาการอ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย ตกขาว แสบร้อนกลางอก และท้องผูก ริดสีดวงทวารหนัก บวม
        
        แนะนำให้สังเกตอาการเจ็บครรภ์เตือน และเจ็บครรภ์จริง ดังนี้ อาการเจ็บครรภ์เตือน มดลูกแข็งระยะสั้น ๆ เจ็บหน้าท้องร้าวไปหลัง ไม่มีมูกเลือดหรือน้ำใส ๆ คล้ายปัสสาวะออกมาทางช่องคลอด อาการเจ็บครรภ์จริง มดลูกแข็งตัวบ่อยทุก 3-5 นาที นาน 35-45 วินาที เจ็บจากบั้นเอวร้าวมาท้อง มีมูกเลือดหรือน้ำใส ๆ ไหลจากช่องคลอด
        
        เตรียมร่างกายให้พร้อม ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนเยอะ ๆ และลดอาหารรสจัด
        
        แนะนำการมาตรวจตามนัด
        
        แนะนำการเตรียมตัวมาคลอด การจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปคลอดที่
        โรงพยาบาล ควรจัดล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนเพื่อป้องกันการฉุกละหุกฉุกเฉิน
        
        แนะนำการสังเกตอาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ทันทีหรือมาก่อนนัด ดังนี้ ปวดท้องหรือเป็นตะคริวอย่างรุนแรงคลื่นไส้หรืออาเจียนรุนแรง เลือดออก มีมูกเลือดออกมาก มีเลือดออกกะปริดกะปรอยตลอด
      - วัตถุประสงค์ : ปฏิบัติตัวในการตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 ได้ถูกต้อง
      - เกณฑ์การประเมิน : 1.หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกวิธีการปฏิบัติตัวในไตรมาสที่ 3 ได้ถูกต้อง 6 ใน 8 ข้อ
      - การประเมินผล
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกวิธีการปฏิบัติตัวในไตรมาสที่ 3 ได้ถูกต้อง 6 ใน 8 ข้อ
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S: หญิงตั้งครรภ์ให้ ข้อมูลว่า “ถ่ายปัสสาวะ 5-6 ครั้ง/วัน โดยกลางวัน 3-4 ครั้ง/วัน และกลางคืน 2-3 ครั้ง/วัน มีลักษณะปกติสีเหลืองใส ไม่มีอาการแสบขัดขณะปัสสาวะหลัง ปัสสาวะสามารถ นอนหลับได้ปกติ”
        O: หญิงตั้งครรภ์ Dx. G5P4A0 GA 39+4 wks by LMP with GDMA2
      - วัตถุประสงค์: มีความรู้และปฏิบัติได้เหมาะสม
      - เกณฑ์การประเมิน:
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถ บอกการเปลี่ยนแปลงของบอกการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะได้ ถูกต้องร้อยละ 60
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกวิธีการปฏิบัติตัวที่ เหมาะสมเมื่อมีอาการปวด ปัสสาวะได้ถูกต้องร้อยละ 100
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        อธิบายให้หญิงตั้งครรภ์เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของหญิงตั้งครรภ์ ในไตรมาสที่ 3
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ปัสสาวะทันทีเมื่อรู้สึกปวด ไม่ควรกลั้น ปัสสาวะเพราะการกลั้นปัสสาวะนาน ๆ
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มีการบริโภคน้ำ, นม, น้ำผลไม้หรือซุปในเวลากลางวัน และบริโภคลดลงในเวลากลางคืนหรือก่อนนอน 2 ชั่วโมง และถ่ายปัสสาวะก่อนเข้านอน
        
        แนะนำวิธีบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor MuscleTraining หรือ Kegel exercise)
        
        สังเกตอาการผิดปกติของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
      - การประเมินผล
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกการเปลี่ยนแปลง ของระบบทางเดินปัสสาวะได้ถูกต้องร้อยละ 60
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกวิธีการปฏิบัติตัวที่ เหมาะสมเมื่อมีอาการปวดปัสสาวะได้ถูกต้อง ร้อยละ 100
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S: หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่า “ปวดหลังปวด pain score 4 คะแนน”
        O: หญิงตั้งครรภ์ Dx. G5P4A0
        GA 39+4 wks by LMP with GDMA2
        O: ประเมินระดับมดลูก 3/4 เหนือสะดือ 37 cm FHS= 148 bmp
        O: หญิงตั้งครร์มีสีหน้านิ่วคิ้วขมวด
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        หญิงตั้งครรภ์บอกปวดหลังลดลง ปวด pain score น้อยกว่า 3 คะแนน
        
        หญิงตั้งครรภ์มีสีหน้าสดชื่นขึ้น สามารถยิ้มแย้มได้
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถ
        บอกวิธีการบรรเทาอาการปวดหลังได้ถูกต้อง ร้อยละ 80
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถสาธิตย้อนกลับท่าโยคะอาสนะได้ถูกต้องร้อยละ 80
      - วัตถุประสงค์: ปวดหลังลดลง
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินระดับความปวดหลังของหญิงตั้งครรภ์โดยใช้ Numeric Rating scale
        
        แนะนำวิธีการดูแลจัดการความปวดแก่หญิงตั้งครรภ์
        
        แนะนำการลดการอาการปวดหลัง
        
        แนะนำหลีกเลี่ยงการบริหารร่างกายในท่านอนหงายหลังราบไปกับพื้น
        
        ประเมินความปวดซ้ำหลังให้การพยาบาล
      - การประเมินผล
        
        หลังจากสาธิตย้อนกลับท่าโยคะอาสนะ หญิงตั้งครรภ์บอกว่ารู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกเบาหลัง ปวดหลังลดลง Pain Score 2 คะแนน มีสีหน้าสดชื่นขึ้น
        
        หญิงตั้งครรภ์บอกวิธีการบรรเทาอาการปวดหลังได้ถูกต้อง ร้อยละ 80
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถสาธิตย้อนกลับท่าโยคะอาสนะได้ถูกต้องร้อยละ 80
  - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S: หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่า “ตนละหมาดและขอดูอาร์ต่อพระเจ้าให้ลูกและตนเองแข็งแรงปลอดภัยทุกวัน”
      - วัตถุประสงค์
        
        ปฏิบัติตัวตามความเชื่อและ ความหลากหลายทาง วัฒนธรรมได้อย่างถูกต้องไม่ ขัดต่อแผนการรักษาของ แพทย์
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        1.หญิงตั้งครรภ์สามารถ ตอบได้ถึงการพยาบาล เกี่ยวกับการส่งเสริมการ ปฏิบัติตัวตามหลักความเชื่อ และความหลากหลายทาง วัฒนธรรมได้ 3 ใน 4 ข้อ
      - กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
        
        1.พูดคุยและสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเชื่อในทาง วัฒนธรรมในการดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์ พยาบาลจะต้องเข้าใจหลักการพยาบาลต่าง วัฒนธรรมปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพ และความเจ็บป่วย วิถีชีวิตและการปฏิบัติเฉพาะโรคของผู้รับบริการ ที่ มีความแตกต่างด้านศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม โดยจะต้องเคารพ ความเป็นบุคคลของผู้รับบริการ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ ให้บริการ และผู้รับบริการสามารถในการวางแผนการพยาบาล
        
        2.แนะนำหลักการปฏิบัติตัวที่ไม่ขัดต่อความเชื่อในทางวัฒนธรรม
        -การรับประทานอาหารขณะตั้งครรภ์ จากงานวิจัยของ จำรัส วงศ์คำ และคณะ 2559 เรื่องความรู้และทัศนคติในการรับประทานกรดโฟลิก เพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิดของสตรีตั้งครรภ์ พบว่า สตรีตั้งครรภ์ มีความรู้ในการรับประทานกรดโฟลิก เพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิด
        -แนะนำการบริหารร่างกายสามารถทำได้โดยการเดิน การออกกำลังกายแต่พอควรจะไม่มีอันตราย ยกเว้นการออกกำลังที่มากเกินไป
        
        แนะนำการพักผ่อน ระหว่างตั้งครรภ์ หากรู้สึกเหนื่อย และ อ่อนเพลีย ในเวลากลางคืนควรนอนหลับให้เต็มอิ่ม ประมาณ 8-10 ชั่วโมง และควรหาเวลานอนพักในตอนบ่ายอีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
        
        แนะนำรักษาความสะอาดร่างกาย หากรู้สึกร้อน และเหงื่อออกมาก ควรอาบน้ำให้ร่างกายสะอาดสดชื่น
        
        แนะนำให้สวดมนต์หรือขอดุอาร์ ซึ่งมุสลิมมีความเชื่อว่าลูก คือ ของขวัญที่พระเจ้าประทานให้จำเป็นต้องบำรุงดูแลครรภ์ให้ดีห้ดีที่สุด จึงสวดดูอาร์ขอจากอัลลอฮทุกวันเพื่อให้ตนและลูกแข็งแข็งแรง
        
        เข้าใจยอมรับในความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ของผู้รับบริการ
      - การประเมินผล
        
        หญิงตั้งครรภ์ตอบได้ถึง การพยาบาลเกี่ยวกับ การส่งเสริมการปฏิบัติ ตัวตามหลักความเชื่อ และความหลากหลาย ทางวัฒนธรรมได้ 4 ข้อ
  - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : หญิงตั้งครรภ์ G5P4A0 GA 39+4 wks with GDM A2
        O : GA 39+4 wks by LMP ระดับยอดมดลูก ¾ เหนือสะดือ 37 cm. FHS 156 bpm.
        O : ผลการตรวจน้ำตาลในเลือด ดังนี้
        (10/9/67)
        
        คัดกรอง 50 gm
        GCT DTX=123 mg/dl then 1 hr 114 mg/dl
        (12/9/67)
        
        คัดกรอง 100 gm
        OGTT FBS 79 mg/dl
        1 hr 180 mg/dl
        2 hr 175 mg/dl
        3 hr 163 mg/dl
        (1/10/67)
        FBS 81 mg/dl, 1 hr 167 mg/dl
        (15/10/67)
        FBS 140 mg/dl, 1 hr 136 mg/dl
        (29/10/67)
        FBS 78 mg/dl, 1 hr 146 mg/dl
        (22/11/67)
        2 hr PPD 205
        (3/12/67)
        FBS 67 mg/dl, 1 hr 134 mg/dl
        O : ได้รับยา Mixtard 6-0-6 U SC
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        สังเกตอาการ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และต่ำ ดังนี้
        1.1 ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยปกติภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากการรักษาด้วยอินซูลินเป็นการควบคุมให้ระดับน้ำตาลในเลือดได้ปกติมากที่สุด แต่ถ้ามีอาการแล้วต้องรีบพบแพทย์ทันที
        1.1 ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยปกติภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากการรักษาด้วยอินซูลินเป็นการควบคุมให้ระดับน้ำตาลในเลือดได้ปกติมากที่สุด แต่ถ้ามีอาการแล้วต้องรีบพบแพทย์ทันที
        
        แนะนำการฉีดยา Mixtrad 6-0-6 sc ac ตามแผนการรักษา เช่น วิธีการฉีดอินซูลินด้วยตนเองที่บ้าน การเตรียมอุปกรณ์ตำแหน่งในการฉีด
        
        ควบคุมอาหารให้ได้รับแคลอรี่ วันละ 30-35 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัม โดยให้ได้แคลอรี่จาก คาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 40-50 ,โปรตีน ร้อยละ 20-25 และไขมัน ร้อยละ 20-30 จะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดคีโตนคั่งในเลือด
        
        แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่สำคัญในการควบคุมเบาหวาน เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและ ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนี้
        
        ให้รับประทานอาหารที่มีแคลอรี่อย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
        
        แนะนำให้งดอาหารที่มีน้ำตาลสูงเพื่อจำกัดจำนวนน้ำตาลที่เข้าสู่ร่างกาย ป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
        
        แนะนำให้เดินรอบ ๆ บ้าน หรือการเดินเล่น เพื่อให้หลอดเลือดฝอยของกล้ามเนื้อที่กำลังทำงานถูกเปิด กลูโคสถูกนำไปใช้มากขึ้นและอินซูลินดูดซึมได้เร็วขึ้น ต้องระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อรู้สึกเหนื่อยต้องพัก
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
        เพื่อการตรวจประเมินอาการและให้การรักษาพยาบาลได้อย่างเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ คือ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ถึงอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ นัดตรวจทุก 4 สัปดาห์ อายุครรภ์ 29-36 สัปดาห์ นัดตรวจทุก 2 สัปดาห์ และอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ขึ้นไปนัดไปตรวจทุกสัปดาห์
        
        แนะนำเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์ เพราะขณะตั้งครรภ์ผิวหนังแห้งเกิดแผลได้ง่าย มีตกขาวมากและปัสสาวะบ่อย จะทำให้มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากระดับน้ำตาลที่ออกมาในปัสสาวะเป็นอาหารอย่างดี ทำให้มีการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ ให้รักษาความสะอาดและป้องกันการเกิดบาดแผลที่เท้า เพราะมีการไหลเวียนโลหิตที่อวัยวะส่วนปลายไม่สะดวก ทำให้เกิดการตายของเซลล์และเป็นแผลได้ง่าย ควรแช่เท้าในน้ำอุ่นวันละ 5 นาที ร่วมกับการบริหารเท้าเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
        
        แนะนำให้มาตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามภาวะสุขภาพของมารดาและทารกในครรภ์
      - วัตถุประสงค์
        
        ไม่เกิดภาวะ Hypo-Hyperglycemia
      - การประเมินผล
        
        หลังจากให้การพยาบาลไม่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และต่ำ อย่างเช่นอ่อนเพลีย ผิวหนังอุ่น ปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย หายใจเร็วลึก ปวดศีรษะ มึนงงปฏิกิริยาโต้ตอบลดลง มือสั่น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ว หิวมาก มึนงง สับสน หมดสติ หญิงตั้งครรภ์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะเป็เบาหวานในระยะตั้งครรภ์ ร้อยละ 80
        FBS 125 mg/dL และติดตามผลในนัดครั้งต่อไป
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และต่ำ อย่างเช่นอ่อนเพลีย ผิวหนังอุ่น ปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย หายใจเร็วลึก ปวด ศีรษะ มึนงงปฏิกิริยาโต้ตอบลดลง มือสั่น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว หิว มาก มึนงง สับสน หมดสติ
        
        ค่า FBS = ต่ำกว่า 126 mg/dl
        3 .มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะเป็นเบาหวานในระยะตั้งครรภ์ ร้อยละ 80
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        O: หญิงตั้งครรภ์ Dx. G5P4A0
        GA 39+4 wks by LMP with GDMA2
        O: น้ำหนักก่อตังครรภ์ 42 kgน้ำหนักล่าสุดขณะตั้งครรภ์ 55 kg น้ำหนักขึ้นมาตลอดการตั้งครรภ์ 13 kg ส่วนสูง 150 cm
        BMI ของหญิงตั้งครรภ์ 24.44 kg/m2 แปลผล อ้วน ระดับ 1
        O: ผลการตรวจน้ำตาลในเลือด ดังนี้ (10/9/67)
        
        คัดกรอง 50 gm GCT DTX=123 mg/dl then 1 hr 114 mg/dl
        (12/9/67)
        
        คัดกรอง 100 gm OGTT FBS 79 mg/dl 1hr 180 mg/dl 2hr 175 mg/dl
        3hr 163 mg/dl (1/10/67)
        
        FBS = 81 mg/dl 1hr = 167 mg/dl (15/10/67)
        
        FBS =140 mg/dl 1hr =136 mg/dl (29/10/67)
        
        FBS = 78 mg/d 1hr =146 mg/dl (22/11/67)
        
        2 hr PPD = 205 (3/12/67)
        
        FBS = 67 mg/dl 1hr = 134 mg/dl
        O : ได้รับยา Mixtard 6-0-6 U sc ac
      - วัตถุประสงค์
        
        ไม่เกิดภาวะ Fetal distress
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        NST ผล reactive
        
        FHS 110-160 bpm
        
        ทารกดิ้นดี มากกว่า 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมงหลังมืออาหาร
        
        ค่า FBS= ต่ำกว่า 126 mg/dl
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
        
        ติดเครื่อง non-stress test
        
        จัดท่าให้หญิงตั้งครรภ์นอนตะแดงซ้าย
        
        แนะนำใหหญิงตั้งครรภ์สังเกตการณ์ดิ้นของทารถ
        
        อธิบายความสำคัญของการนอนพักบนเตียง
        
        แนะนำหญิงตั้งครรภ์ฉีดยาลดระดับน้ำตาล
        
        แนะนำให้นับการดิ้นของทารกในครรภ์
      - การประเมินผล
        
        หลังให้การพยาบาล หญิงตั้งครรภ์ได้รับการตรวจ NST ซึ่งผลเป็น Reactive ทารกดิ้นดี มี FHS ช่วง 156-158 bpm
    - - วัตถุประสงค์
        
        มีความรู้ ความเข้าใจ ในการปฏิบัติตัวเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S: หญิงตั้งครรภ์ให้ ข้อมูลว่า “ก่อนการ ตั้งครรภ์รับประทาน อาหาร 3 มื้อ คือ เช้า-เที่ยง-เย็น ชอบ รับประทานของหวาน
        S: หญิงตั้งครรภ์ให้ ข้อมูลว่า “มีการ ดูแลสุขภาพของ ตนเองด้วยการ รับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์มาก ขึ้น แต่ยังชื่นชอบ อาหารรสหวาน
        ส่วนสูง 150 cm น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 42 kg น้ำหนักปัจจุบัน 55 kg BMI = 24.44 kg/m อยู่ในเกณฑ์อ้วนระดับ1
        O : ผลการตรวจน้ำตาลวันที่ 10/9/67OGTT = 100 mg FBS ชั่วโมงที่ 0 = 104 mg/dl FBS ชั่วโมงที่ 1 = 204 mg/dl FBS ชั่วโมงที่ 2 = 142 mg/dl FBS ชั่วโมงที่ 3 = 150 mg/dl
        วันที่ 11/11/67 FBS = 95 mg/dL 1 hr.ps = 105 mg/dL
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        สามารถบอกความรู้ใน
        การปฏิบัติตัวขณะเป็น
        โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ถูกต้อง
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        แนะนำการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร เน้นให้หญิง
        ตั้งครรภ์ทราบถึงความสำคัญของการควบคุมอาหาร
        1.1 กำหนดอาหารร่วมกับหญิงตั้งครรภ์
        1.2 ส่งเสริมการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยในการควบคุมอาหาร
        1.3 ส่งเสริมให้ควบคุมอาหาร
        
        รับประทานผลไม้ที่มีกากและรสหวานน้อยแทนขนมหวาน
        
        หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก
        
        เน้นควบคุมอาหารอย่างสม่ำเสมอ และมาตรวจตามนัดทุกครั้ง
        อรมุช , พุทธาพร, สุวรรณา, สุพัชชา, อชิรญา, ฤดีพร และละออ.(2562)
        
        แนะนำการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายเป็นขบวนการ
        ทำให้มีการส่งเสริมการเผาผลาญ ควรเริ่มออกกำลังกายใน ระยะเวลาสั้น แต่สม่ำเสมอ แบ่งทำวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที
        จารรักษ์ และลาวรรณ. (2562).
        
        อธิบายให้ทราบถึงอาการของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและอาการ
        ของโรคหลอดเลือดในสมอง มีอาการเจ็บหน้าอก เจ็บร้าวไปไหล่ซ้าย
        ตาพร่า ปวดศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์
      - การประเมินผล
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกความรู้ในการปฏิบัติตัวขณะเป็น
        โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ถูกต้อง
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S: หญิงตั้งครรภ์ให้ ข้อมูลว่า “ไม่ เคยเป็นเบาหวานมา ก่อน เพิ่งมารู้ว่าตน เป็นเบาหวานตอน ตั้งครรภ์ท้องนี้”
        O: สีหน้าสดชื่นดี ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่มี สีหน้ากังวลเมื่อพูด ถึงการตั้งครรภ์ครั้งนี้
        O : หญิงตั้งครรภ์ G5P4A0 with GDM A2
        O : GA 39+4 wks by LMP ระดับยอด มดลูก 3/4 >O ขนาดหน้าท้อง 37 cm
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        หญิงตั้งครรภ์มีใบหน้าสด ชื่น ยิ้มแย้ม ให้ความร่วมมือ ในการให้การพยาบาล
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถ บอกอาการ สาเหตุ ผลของ โรคเบาหวาน ได้ถูกต้อง ร้อยละ 80
        
        หญิงตั้งครรภ์ตระหนักต่อ การฉีดยาและสามารถบอก อาการของผลข้างเคียงจาก ยา Mixtrad ได้ถูกต้อง ร้อยละ 80
      - กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
        
        สร้างสัมพันธภาพโดยกล่าวทักทาย และแนะนำตัวเองกับญาติ และ หญิงตั้งครรภ์ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างความไว้ใจให้เกิด ความร่วมมือ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์และครอบครัวมีสัมพันธภาพที่ดีต่อ กันไว้วางใจกันและกันมากขึ้น ยอมรับและร่วมมือในการให้ข้อมูล
        
        ซักถามและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เล่าถึงสาเหตุของความกลัว และ ความวิตกกังวลเพื่อให้ได้ระบายความรู้สึก ร่วมแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิด ความวิตกกังวลและความกลัว
        
        อธิบายให้ทราบถึงลักษณะ อาการ สาเหตุ ผลของโรคต่อการ ตั้งครรภ์ ผลของการตั้งครรภ์ ผลของภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และ แนวทางการรักษาพยาบาล
        
        สังเกตพร้อมประเมินความสนใจ และการยอมรับของผู้ป่วยเพื่อให้ ได้ทราบข้อมูล ซึ่งช่วยลดความวิตกกังวลในสิ่งที่ไม่ทราบ และเข้าใจ เหตุผลของการรักษาพยาบาลที่ได้รับ เพื่อให้เกิดความร่วมมือ
        
        แนะนำในการปฏิบัติตัว โดยให้ความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของ สรีรวิทยารวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดระหว่าง การตั้งครรภ์ คลอด และหลังคลอด และให้ความรู้เรื่องผลของการ ตั้งครรภ์ต่อระดับน้ำตาลในเลือด และผลของเบาหวานต่อการตั้งครรภ์ การคลอดและภาวะหลังคลอด
        
        แนะนำเรื่องการฉีดยา Mixtrad 6-0-6 U sc ac พร้อมการสังเกต อาการ ข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการได้รับยา
        
        พยาบาลควรตรวจสอบการพบอายุรแพทย์ทุกครั้ง ให้ข้อมูลว่าหญิง ตั้งครรภ์จะได้เข้าตรวจและรับการรักษาจากสูติแพทย์ทุกครั้งท่ีมาฝาก ครรภ์และสูติแพทย์จะส่งต่ออายุรแพทย์ต่อไป
      - วัตถุประสงค์
        
        หญิงตั้งครรภ์คลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เนื่องจากมีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
      - การประเมินผล
        
        หญิงตั้งครรภ์มีใบหน้า สดชื่น ยิ้มแย้ม ให้ความ ร่วมมือในการให้การ พยาบาล สามารถบอก อาการ สาเหตุ ผลของ โรคเบาหวาน ได้ถูกต้อง ร้อยละ 80 และหญิง ตั้งครรภ์ตระหนักต่อการ ฉีดยาและสามารถบอก อาการของผลข้างเคียง จากยา Mixtrad ได้ ถูกต้อง ร้อยละ 80
- - - - การตรวจคัดกรองและการวินิจฉัย
        
        แนวทางในการตรวจคัดกรอง มีหลากหลายวิธีแตกต่างกันทั้งในระดับสถาบันระดับประเทศ และระดับนานาชาติ อาจเป็นการตรวจคัดกรองทุกราย (universal screening) หรือตรวจคัดกรองเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น (selective screening) โดยชักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสียงในสตรีตั้งครรภ์ทุกรายขณะมาฝากครรภ์ครั้งแรก หากพบว่ามีความเสี่ยงจะได้รับคำปรึกษาแนะนำจากบุคลากรก่อนตัดสินใจตรวจคัดกรองทางห้องปฏิบัติการซึ่งกระทำโดยการตรวจเลือดหาน้ำตาลภายหลังดื่มน้ำตาลความเข้มข้นในระดับต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับแนวทางปฏิบัติของแต่บริการทางการแพทย์หรือแต่ละประเทศ
        แนะนำให้คัดกรองสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาฝากครรภ์ หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แสดงว่าสตรีตั้งครรภ์อาจเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 หรือเป็นเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์ และตรวจซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ตามข้อเสนอแนะของวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งอเมริกา
        
        วิธีการตรวจ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดมีหลายรูปแบบ เช่น การตรวจคัดกรองก่อนแล้วจึงตรวจเพื่อการวินิจฉัยในรายที่ผลการตรวจคัดกรองเป็นบวก (two-step approach) หรือตรวจเพื่อการวินิจฉัยโดยไม่ต้องมีการตรวจคัดกรองก่อน (one-step approach)
        
        ระดับความเข้มข้นของน้ำตาลในการตรวจ
        3.1 น้ำตาลความเข้มข้น 50 กรัม (50 gram 1 hour glucose challenge test [GCT)) เป็นการตรวจเพื่อการคัดกรอง (screening test) ที่นิยมปฏิบัติมากที่สุด ตรวจได้โดยไม่ต้องงดอาหารและน้ำ จะตรวจเวลาใดก็ได้ โดยให้ดื่มน้ำตาลกลูโคส 50 กรัมในน้ำ 100 ชีซี หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง เจาะเลือดตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด กรณีผลการตรวจเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ให้ทำการฝากครรภ์ต่อไปและนัดตรวจคัดกรองด้วยวิธีการเดิมเมื่ออายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ แต่กรณีที่ผลการตรวจอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ (เกิน 140 mg%) ให้ทำการตรวจวินิจฉัยโรคในขั้นตอนต่อไป
        
        3.2 น้ำตาลความเข้มข้น 75 กรัม (75 gram oral glucose tolerance test [75 gram OGTT]) เป็นวิธีการตรวจเพื่อวินิจฉัย (diagnostic test) โดยการทดสอบความทนต่อกลูโคสแบบขั้นตอนเดียวที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำโดยไม่จำเป็นต้องตรววจคัดกรองก่อน ดังนั้น สตรีตั้งครรภ์จำเป็นต้องดน้ำงดอาหารและน้ำดื่มอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ทำการตรวจเลือดดูระดับน้ำตาลภายหลังอดอาหาร (fasting blood) หลังจากนั้นดื่มน้ำตาลความเข้มข้น 75 กรัม ทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดภายหลังดื่มครบ 2 ชั่วโมง
        
        3.3 น้ำตาลความเข้มข้น 100 กรัม ( 100 gram oral glucose tolerance test [100 gram OGTT])
        3.3.1 วิธีการตรวจวินิจฉัยโดยการทดสอบความทนต่อกลูโคสแบบสองขั้นตอน (two-step) เป็นวิธีที่นิยมปฏิบัติมากที่สุด โดยภายหลังทราบผลการตรวจคัดกรองด้วยวิธี 50 กรัม 1 hour ที่อยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ ควรแนะนำสตรีตั้งครรภ์เตรียมตัวเพื่อทำการตรวจหาค่าความทนต่อกลูโคส 100 กรัม ดังนี้ ให้รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อยวันละ 200 กรัม นาน 3 ติดต่อกัน จากนั้นให้งดน้ำงดอาหารทางปากอย่างน้อย 8 ชั่วโมงแต่ไม่ควรเกิน 14 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้น เจาะเลือดหาระดับน้ำตาล (fasting blood sugar (FBS)) จากนั้นให้รับประทานกลูโคส100 กรัมผสมน้ำอย่างน้อย 400 มิลลิลิตร ภายในเวลา 5 นาที บันทึกเวลาที่รับประทานกลูโคส และเมื่อครบชั่วโมงที่ 1, 2 และ 3 หลังรับประทานกลูโคส ทำการเจาะเลือดหาน้ำตาลเมื่อสิ้นสุดชั่วโมงที่ 1, 2 และ 3 ตามลำดับ ในกรณีที่ระดับน้ำตาลสูงเกินค่ามาตรฐานตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไป แพทย์จะให้การวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
        
        เกณฑ์มาตรฐานที่ใช้วินิจฉัย จากการแบ่งชนิดของเบาหวานตาม White's classifcation ในการวินิจฉัยภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์จึงใช้เกณฑ์ ดังนี้
        
        4.1 ให้การวินิจฉัย GDM Class A1 ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีระดับ glucose tolerance test ผิดปกติโดยมีค่า fasting blood glucose (FBS) ต่ำกว่า 105 mg/dI และค่าน้ำตาล 2 ชั่วโมง ภายหลังการรับประทานอาหาร (postprandial plasma glucose [2 hr PP]) น้อยกว่า 120 mg/dl ให้การรักษาด้วยการควบคุมอาหารอย่างเดียว
        
        1 more item...
  - - - หญิงตั้งครรภ์ Dx. G6P5A0 GA 39+4 wks by LMP with GDMA2
        12/9/67
        FBS 79 mg/dl, 1 hr 180 mg/dl, 2 hr 175 mg/dl, 3 hr 163 mg/dl
        1/10/67
        FBS 81 mg/dl, 1 hr pp 167 mg/dl
        15/10/67
        FBS 140 mg/dl, 1 hr pp 136 mg/dl
        29/10/67
        FBS 78 mg/dl, 1 hr pp 146 mg/dl
        12/11/67
        FBS 69 mg/dl, 1 hr pp 109 mg/dl
        19/11/67
        FBS 69 mg/dl, 1 hr pp 106 mg/dl
        3/12/67
        FBS 67 mg/dl, 1 hr pp 134 mg/dl
        
        10/9/67
        หญิงตั้งครรภ์ได้รับการตรวจคัดกรอง 50 gm GCT
        FBS 123 mg/dl, 1 hr 114 mg/dl
        
        12/9/67
        หญิงตั้งครรภ์ได้รับการตรวจคัดกรอง 100 gm OGTT
        FBS 79 mg/dl, 1 hr 180 mg/dl, 2 hr 175 mg/dl, 3 hr 163 mg/dl
        
        12/9/67
        หญิงตั้งครรภ์ได้รับการตรวจคัดกรอง 100 gm OGTTT
        FBS 79 mg/dl, 1 hr 180 mg/dl, 2 hr 175 mg/dl, 3 hr 163 mg/dl
        ได้รับการวินิจฉัยเป็น GDMA1
        
        15/10/67
        FBS 140 mg/dl, 1 hr pp 136 mg/dl
        Plan start Mixtard 6-0-4 u SC
        ได้รับการวินิจฉัยเป็น GDMA2
  - - - ปัสสาวะมาก (polyuria) เนื่องจากมีน้ำตาลสูงในปัสสาวะ น้ำตาลจึงดึงน้ำ (osmotic diuresis) ออกจากร่างกาย ปริมาณปัสสาวะในแต่ละครั้งจึงมากกว่าปกติ
        
        คอแห้ง กระหายน้ำ ต้องการดื่มน้ำมากกว่าปกติ (polydipsia) การถ่ายปัสสาวะมากทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ การไหลเวียนช้าลง เกิดภาวะเลือดข้นและหนืดขึ้น เซลล์ขาดออกซิเจน เกิดการเผาผลาญโดยไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic metabolism) กรดแลคติกเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น ร่างกายจึงกระหายน้ำและต้องการน้ำมาก
        
        รับประทานอาหารจุ (polyphagia) หิวบ่อยเนื่องจากร่างกายนำคาร์โบไฮเดรตไปใช้ไม่ได้เท่าที่ร่างกายต้องการ
        
        น้ำหนักลด (weight loos) ร่างกายมีการสลายไขมันและโปรตีนที่สะสมในร่างกายเพื่อใช้สร้างเป็นพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรต จึงทำให้น้ำหนักลด ผอมลง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย คันตามตัว และมีการติดเชื้อง่าย เช่น บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
        
        ผลกระทบของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ทั้งในรายที่เป็นเนื่องจากการตั้งครรภ์และเป็นก่อนการตั้งครรภ์ มีดังนี้
        
        ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (hyperglycemia) พบมากในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ จากการที่รกสร้างฮอร์โมนที่ต้านฤทธ์อินซูลินทำให้สตรีตั้งครรภ์มีน้ำตาลในเลือดสูง
        
        ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) พบมากในช่วงครึ่งแรกของการตั้งครรภ์ การที่กลูโคสถูกนำไปใช้เป็นพลังงานในการเจริญเติบโตของทารก
        
        ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
        
        การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและการติดเชื้อในช่องคลอด
        
        ครรภ์แฝดน้ำ (hydramnios)
        
        การคลอดยาก (dystocia) เป็นผลจากการมีทารกขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการคลอดยาก มีโอกาสไหล่ติด
        
        การตกเลือดหลังคลอด (postpartum hemorrhage)
        
        การคลอดก่อนกำหนด (preterm birth)
        
        ผลกระทบต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด
        
        ทารกพิการแต่กำเนิด (congenital malformaton) มักพบในรายที่เป็นเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์ (overt DM) โดยเฉพาะเบาหวานชนิดที่ 1 หรือในรายที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี
        
        ทารกตัวโต (fetal macrosomia) คือ ทารกแรกเกิดที่มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักมากกว่า 4,000 กรัม
        
        ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำแรกเกิด (hypoglycemia) กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ น้ำตาลจะผ่านรกไปสู่ทารกมากกว่าปกติ ทำให้เบต้าเซลล์ของทารกมีจำนวนมากขึ้นและหลั่งอินซูลินมากขึ้น (fetal hyperinsulinemia) ซึ่งภาวะนี้จะคงอยู่ตลอดการตั้งครรภ์เป็นผลให้ทารกมีน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงวันแรก ๆ หลังการคลอด
        
        ภาวะบิลลิรูบินในเลือดสูง (hyperbilirubinemia) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย มักสัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนดและภาวะเลือดข้น
        
        ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (hypocalcemia)
        
        กลุ่มอาการหายใจลำบากแรกเกิด (respiratory distress syndrome (RDS]) เชื่อว่าเมื่อภาวะอินซูลินในเลือดสูงทำให้การหลั่งของสารลดแรงตึงผิวในปอดลดลงและทารกมีการพัฒนาของปอดช้ากว่าปกติ
        
        ภาวะตายคลอด (stillbirth) มักพบในช่วง 3-6 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ เชื่อว่าระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงทำให้การส่งผ่านออกชิเจนไม่มีประสิทธิภาพ เมตาบอลิซึมของทารกผิดปกติ
        
        การรักษาในระยะตั้งครรภ์
        
        การควบคุมน้ำตาล
        
        ดูแลด้านโภชนาการ ควบคุมอาหาร และควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
        
        ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด
        
        การใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ไม่นิยมกินยาเม็ด เพราะจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ควรใช้ยาฉีด เช่น Insulin NPH Mixtrad
        
        ติดตามการเจริญเติบโตและสุขภาพของทารกในครรภ์ NST, CST, BPP ด้วย U/S เพื่อประเมินปริมาณน้ำคร่ำ การเจริญเติบโตของทารก หรือความพิการแต่กำเนิด
        
        การวางแผนการคลอด และการดูแลขณะเจ็บครรภ์คลอด Admit ในรายที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีก่อนครบกำหนดคลอด 8-10 สัปดาห์ และAdmit ในรายที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี หรือรายที่ใช้อินซูลินเมื่อตรวจพบระดับน้ำตาลที่สูงกว่าปกติตั้งแต่ GA 34 wks
  - - - หญิงตั้งครรภ์ Dx. G6P5A0 GA 39+4 wks by LMP with GDMA2
        12/9/67
        FBS 79 mg/dl, 1 hr 180 mg/dl, 2 hr 175 mg/dl, 3 hr 163 mg/dl
        1/10/67
        FBS 81 mg/dl, 1 hr pp 167 mg/dl
        15/10/67
        FBS 140 mg/dl, 1 hr pp 136 mg/dl
        29/10/67
        FBS 78 mg/dl, 1 hr pp 146 mg/dl
        12/11/67
        FBS 69 mg/dl, 1 hr pp 109 mg/dl
        19/11/67
        FBS 69 mg/dl, 1 hr pp 106 mg/dl
        3/12/67
        FBS 67 mg/dl, 1 hr pp 134 mg/dl
        
        BP อยู่ในช่วง 89-111/55-67 mmHg ไม่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
        
        ไม่มีอาการแสบขัดขณะปัสสาวะ
        
        ไม่มีภาวะครรภ์แฝดน้ำ
        
        หญิงตั้งครรภ์อายุ 37 ปี G6P5A0 GA 39+4 wks by LMP with GDMA2
        BMI: 24.44 kg/m2 ตรวจทารกในครรภ์ GA 34+1 wks U/S EFM = 2419 g (12/11/67) ไม่พบความผิดปกติหรือพิการ FHS: 130-158 bpm
        มาฝากครรภ์ล่าสุด 9/12/67
        ระดับยอดมดลูก 3\4 > o ท่าเด็ก OR ส่วนนำ HF FHS 156 bpm ไม่พบความผิดปกติหรือพิการ
        
        ผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์จำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อสุขภาพของตนและทารกในครรภ์ และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกช้อนทั้งขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด โดยหญิงตั้งครรภ์รายนี้ได้รับการรักษาภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ดังนี้
        
        การควบคุมอาหาร
        
        ใช้ยารักษา ได้แก่ Miixtrad 6-0-6 u SC AC
        
        มาตามนัด ANC ทุกครั้ง