Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ชุมชนหน้าเทศบาล ผู้สูงอายุจำนวน 8 คน, ข้อมูลส่วนบุคคล, ., . - Coggle…

- - - - ประเมินความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้มโดยใช้เครื่องมือประเมินความสามารถเชิงปฏิบัติ ดัชนีจุฬาเอดีแอล (Chula ADL Index) และเครื่องมือประเมินความสามารถเชิงปฏิบัติ ดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL Index), แบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน
        
        ประเมินความรู้สึกของปลายมือและปลายเท้าและการเคลื่อนไหวร่างกาย รวมทั้งความสามารถในการมองเห็นว่าอยู่ในระดับใด
        
        ประเมินการออกกำลังกาย เพื่อให้คำปรึกษาได้เหมาะสมต่อไป
        
        หากออกกำลังกายอาทิตย์ละ 0-1 ครั้ง ระยะเวลา 30-45 นาที ประเภทกิจกรรมที่ทำเหมาะสม ประเมินว่าน้อย
        
        หากออกกำลังกายอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ระยะเวลา 30-45 นาที ประเภทกิจกรรมที่ทำเหมาะสม ประเมินว่าเหมาะสม
        
        หากออกกำลังกายอาทิตย์ละ 4-7 ครั้ง ระยะเวลา 30-45 นาที ประเภทกิจกรรมที่ทำเหมาะสม ประเมินว่าดีมาก
        
        สอบถามถึงข้อมูลการติดต่อหากเกิดอุบัติเหตุ
        
        เสนอแนะในการจัดสภาพแวดล้อมสำหรับผู้สูงอายุให้ปลอดภัยจากการหกล้มมีดังนี้ (ปริศนา รถสีดา, 2561)
        
        ควรมีแสงสว่างในบ้านให้เพียงพอ แสงไฟที่ใช้ไม่ควรเป็นแสงจ้าเกินไป ควรเป็นแสงนวลสบายตา มองเห็นชัดเจนโดยเฉพาะบริเวณทางเดิน บันได และในห้องน้ำควรมีสวิตซ์ปิด-เปิดไฟอยู่ในที่ ๆ ใช้งานได้สะดวกผู้สูงอายุเปิด-ปิดได้ง่าย
        
        พื้นทางเดินในบ้านควรเป็นพื้น เรียบไม่ลื่น ไม่ลงน้ำ มันหรือขัดเงา เพราะจะทำ ให้ ลื่นง่าย ควรทำ เครื่องหมายแสดงให้ชัดเจนบริเวณ ที่มีพื้นต่างระดับ เช่น ติดเทปกาว ดูแลจัดไม่ให้มี สิ่งกีดขวางทางเดินเพราะอาจทำให้เกิดการสะดุดล้ม ควรดูแลพื้นให้แห้งเสมอ ไม่มีน้ำ หรือของเหลวหก กระเบื้องปูพื้น พรม ควรใช้สีที่เหมาะสมและไม่มี ลวดลายจนทำ ให้ลายตา ทำ ให้ผู้สูงอายุเสี่ยงต่อ หกล้มได้
        
        ห้องน้ำ : เป็นบริเวณที่ผู้สูงอายุเกิดการ หกล้มได้มากที่สุด พื้นห้องน้ำควรมีการปูพื้นกันลื่น มีการติดตั้งราวจับไว้สำ หรับจับบริเวณที่นั่งขับถ่าย หรือที่อาบน้ำ ใช้โถส้วมแบบชักโครก ห้องอาบน้ำ มีที่นั่งขณะอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดวางของใช้ ให้หยิบจับง่ายในระดับข้อศอก ที่นั่งขับถ่าย ประตู ห้องน้ำควรเป็นแบบเปิดออกด้านนอก และที่ล็อค ควรเปิดออกจากภายนอกได้เพื่อเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน สามารถช่วยเหลือได้ทันที
        
        ห้องนอน/ห้องนั่งเล่น: จัดของใช้ให้ เป็นระเบียบ หยิบใช้ได้ง่าย ไม่วางของเกะกะตาม พื้นห้อง โดยเฉพาะสายไฟ สายโทรศัพท์ ควรใช้ โทรศัพท์ชนิดไร้สาย การเคลื่อนไหวหรือลุกจาก เตียงควรทำ อย่างช้าๆ ควรประเมินตนเองว่ามี อาการเวียนศีรษะหรือหน้ามืดก่อนจะลุกนั่งหรือไม่ โดยไม่ลุกขึ้นขณะมีอาการดังกล่าว ควรเรียกหา คนช่วย
        
        เลือกใช้เครื่องเรือนที่ เหมาะสมเช่น ขนาดเก้าอี้มีความสูงขนาดวางเท้า ลงกับพื้นได้พอดี ความกว้างของเก้าอี้มีขนาดพอที่ ผู้สูงอายุนั่งได้สบาย เบาะนั่งไม่ยุบยวบตัวลงไป มี ฐานเก้าอี้มั่นคง ไม่ควรเป็นเก้าอี้แบบล้อเลื่อน เตียง นอนควรมีความสูงระดับที่ผู้สูงอายุขึ้นเตียงหรือลุก ออกจากเตียงได้สะดวก ที่นอนควรมีความแข็ง ระดับพอดีไม่ยุบตัวเกินไป ตู้เก็บของ/ชั้นวางของ ควรมีความสูงระดับที่ผู้สูงอายุสามารถหยิบจับสิ่ง ของเครื่องใช้ต่างๆ ได้สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน
        
        ห้องครัว: จัดของใช้หรือเครื่องปรุงต่างๆ ให้ง่ายต่อการใช้งาน เก็บของใช้ที่มีน้ำ หนักมากไว้ในที่ต่ำ เช็ดหยดน้ำ /น้ำ มันทันทีหลังการใช้งาน หลีกเลี่ยงการขัดเงาที่พื้นห้อง หากพื้นหรือภายใน ห้องครัวมีความไม่ปลอดภัยในการใช้งาน ควรแก้ไข
        
        ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน หรือหมายเลขโทรศัพท์ในการติดต่อหากเกิดอุบัติเหตุ คือ หากเกิดอุบัติเหตุสามารถติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้านและโรงพยาบาลที่ตนเองมีสิทธ์ หมายเลขโทรศัพท์ โรงพยาบาล 1669 โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา 098 934 850 โรงพยาบาลชลบุรี 038-931000 เป็นต้น
        
        ให้การปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับการลดน้ำหนักโดยการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย คือ แนะนำให้รับประทานอาหารให้เหมาะสมกับตนเอง เช่น นมพร่องมันเลย ปลาเล็กปลาน้อย เนื้อสัตว์สีขาว ไข่ไก่ เพื่อช่วยในการเสริมโปรตีนและแคลเซียม นอกจากนี้ยังควรเลือกทาน ข้าวกล้อง ส้ม อาหารทะเลโดยควรเลือกทานอาหารที่ cholesterol ต่ำ รวมทั้งควรออกกำลังกายที่ไม่เหนื่อมากและใช้เวลาออกกำลังให้เหมาะสมคือ 30-45 นาที เช่น การเต้นไทเก๊ก เต้นแอโรบิก โยคะ หรือการเดินแขว่งแขนขา เป็นต้น
        
        แนะนำให้ควรเปลี่ยนท่าช้า ๆ เพื่อป้องกันภาวะความดันตกในท่ายืน หน้ามืด วิงเวียนขณะลุกนั่งหรือยืนทุกครั้ง และหากการเดินหรือทรงตัวไม่มั่นคง ควรใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้เท้าโครงเหล็กช่วยเดิน เป็นต้น
        
        เปิดโอกาสให้ครอบครัวและผู้รับบริการได้ร่วมกันวางแผนในการดูแลสุขภาพร่วมกับพยาบาลและระบายความรู้สึก
        
        ติดตาม/ประเมินผลการพยาบาล และส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการเฝ้าระวัง/ดูแลอย่างต่อเนื่อง
        
        ประเมินผล
        
        3 ต.ค. 65
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        ผู้สูงอายุรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง น้ำเสียงสดชื่นเเจ่มใส ให้ความร่วมมือในการทำกิจกกรม
        
        ไม่เกิดการพลัดตกหกล้ม ไม่พบบาดแผล รอยช้ำ กระดูกแตกหัก
        
        บอกหมายเลขโทรศัพท์ หน่วยงานที่ติดต่อฉุกเฉินได้
        
        ออกกำลังกายโดยแอโรบิก 30 นาที -1 ชม. เหนื่อยก็พัก ขณะออกไม่มีหน้ามืด ไม่มึนหัว
        
        นางลักขณา สมตัว อายุ 68 ปี
        
        ไม่เกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม ไม่พบบาดแผล รอยช้ำ และกระดูกแตกหัก
        
        สามารถบอกหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานที่ติดต่อฉุกเฉินได้
        
        นางเจียมจิต อายุ 74 ปี
        1.ไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยการบาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้ม ไม่มีรอยแผล รอยจ้ำบริเวณต่างๆ
        2.ผู้สูงอายุบอกว่าไม่มีการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ
        3.ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีการส่งเสริมและปฏิบัติตน เพื่อไม่ให้เกิดการพลัดตกหกล้ม ได้คะแนน 4 ข้อ
        4.แบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุได้ 3 คะแนน แสดงว่ามีภาวะความเสี่ยงต่อการหกล้มอยูในระดับสูงอยู่
        
        นางทัศนีย์ บุญชาติ 82 ปี
        
        ไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยการบาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้ม เช่น รอยแผล รอยจ้ำบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย
        
        ผู้สูงอายุสามารถสามารถบอกวิธีการปฏิบัติและปฏิบัติตัวเพื่อลดเสี่ยงของการเกิดพลัดตกหกล้มได้ ร้อยละ 90
    - - เกณฑ์การประเมิน
        
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        ไม่เกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม คือ ไม่พบบาดแผล รอยช้ำ กระดูกแตกหัก จากการพลัดตกหกล้ม
        
        สามารถบอกหมายเลขโทรศัพท์ หรือหน่วยงานที่สามารถให้การช่วยเหลือได้เมือพลัดตกหกล้มอย่างน้อย 2 เบอร์
        
        มีการออกกำลังกายที่เหมาะสม โดย ออกกำลังกายอย่างน้อย 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ และ เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมเช่น การเต้นแอลโรบิก เต้นไทเก๊ก โยคะ เป็นต้น
        
        สามารถเลือกทานอาหารที่เหมาะสมกับตนเองโดยสามารถบอกชนิดอาหารและประโยชน์ของอาหารชนิดนั้นๆได้ถูกต้องอย่างน้อย 1-2 ชนิดขึ้นไป
        
        นางลักขณา สมตัว อายุ 68 ปี
        
        ไม่มีร่องรอยจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น บาดแผล รอยฟกช้ำ กระดูกหัก เป็นต้น
        
        สามารถบอกหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานที่สามารถให้การช่วยเหลือได้เมื่อพลัดตกหกล้มอย่างน้อย 2 เบอร์
        
        เกณฑ์การประเมินในแบบประเมินการหกล้มสำหรับผู้สูงอายุไทยในชุมชน (Thai FRAT) อยู่ในเกณฑ์ปกติ คะแนนอยู่ระหว่าง 0-1 มีภาวะความเสี่ยงต่อการหกล้มอยูในระดับต่ำ
        
        นางเจียมจิต ดุลสำลี อายุ 74 ปี
        1.ไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยการบาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้ม เช่นรอยแผล รอยจ้ำบริเวณต่างๆ
        2.ไม่มีการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ
        3.สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีการส่งเสริมและปฏิบัติตน เพื่อไม่ให้เกิดการพลัดตกหกล้ม ได้คะแนนอย่างน้อย 3 ข้อขึ้นไปในจำนวนเต็ม 5 ข้อ
        4.แบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุได้ 0-1 คะแนน แสดงว่ามีภาวะความเสี่ยงต่อการหกล้มอยูในระดับต่ำ
        
        นางทัศนีย์ บุญชาติ 82 ปี
        
        ไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยการบาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้ม เช่น รอยแผล รอยจ้ำบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย
        
        แบบประเมินการหกล้มสำหรับผู้สูงอายุไทยในชุมชน (Thai FRAT) น้อยกว่าหรือเท่ากับ 4 คะแนน
        
        ผู้สูงอายุสามารถสามารถบอกวิธีการปฏิบัติและปฏิบัติตัวเพื่อลดเสี่ยงของการเกิดพลัดตกหกล้มได้ ร้อยละ 80
  - - - ประเมินผล
        
        ไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ได้แก่ ไม่มีอาการของน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
        คลื่นไส้อาเจียน หอบ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึมลง หมดสต
        
        สัญญาณชีพ คือ
        ความดันโลหิต 159/80 mmHg
        ชีพจร 90 bpm
        
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        1 สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        2 ผู้สูงอายุบอกว่า ไม่มีอาการ หน้ามืด มีอาการมึนงงเวลาลุกนั่ง ไม่มีอาการปลายมือปลายเท้าเย็น
        3 ผู้สูงอายุไม่มีอาการ กระหายน้ำมาก ปัสสาวะวันละ 3-5ครั้ง ไม่อาเจียน มึนงง
        4 ผู้สูงอายุบอกว่า กินของรสจัดมากไปก็ไม่ดี ทำให้ปวดท้อง กินอาหารที่มีรสชาติกลางๆดีที่สุด
        5 ผู้สูงอายุมีน้ำเสียงที่สนใจ และตกใจเมื่อได้รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับโรคแทรกซ้อนหากไม่ดูแลตนเอง และบอกภาวะแทรกซ้อนได้ คือ กินหวานมากๆ จะทำให้ไน้ำตาลในเลือดสูด ไม่กินข้าวเลยหรือกินไม่ตรงเวลาจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ กินเค็มมากๆความดันจะขึ้น
    - - เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ได้แก่ อาการของน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
        คลื่นไส้อาเจียน หอบ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึมลง หมดสต และอาการของน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ เหงื่อออก ไม่มีแรง เวียนศีรษะ สับสน ผิวหนังเย็น อ่อนเพลีย ตาพร่า หิวบ่อย ตัวสั่น ชัก
        
        ระดับน้ำตาลในเลือดอยูในเกณฑ์ปกติ คือ 70 -110 mg/dl
        
        สัญญาณชีพอยูในเกณฑ์ปกติ คือ
        
        BT = 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
        
        RR = 16-20 ครั้งต่อนาที
        
        PR = 60-100 ครั้งต่อนาที
        
        BP = 120-90/80-60 mmHg
        
        O2sat >95%
        3 . ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสุขภาพที่เผชิญอยู่โดยสามารถบอกถึงภาวะแทรกซ้อนหรือโรคที่จะตามมาหากไม่ดูแลตนเองได้ 2-3 ข้อ
  - - - ประเมินสภาพผู้สูงอายุ เช่น การซักประวัติทั่วไป ประวัติการคลอด อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต การใช้ยา และใช้แบบประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ ประเมินสุขอนามัย
        
        ให้คำแนะนำและสอนการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic muscle exercise) โดยมีขั้นตอนดังนี้
        
        ให้จินตนาการว่ากำลังจะผายลม แต่พยายามกลั้นไว้ไม่ให้ผายลมออกมา โดยขมิบกล้ามเนื้อรอบๆทวารหนัก เป็นการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานส่วนหลัง
        
        ขณะถ่ายปัสสาวะ ให้กลั้นปัสสาวะให้หยุดไหล เป็นการบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานส่วนหน้า
        
        ให้ผู้สูงอายุนอนราบ ขาเหยียดตรง ปลายขาสบายๆ ไม่เกร็งกล้ามเนื้อสะโพก (สามารถทำท่านั่ง/ยืนได้ แต่ต้องไม่เกร็งสะโพก)
        
        แนะนำให้เกร็งกล้ามเนื้อรอบๆทวารหนักค้างไว้ 3 วิ (นับ 1 2 3) และคลายกล้ามเนื้อออกนาน 3 วิ นับเป็น 1 ครั้ง ขณะทำหายใจเข้าออกตามปกติ อย่าเกร็งกล้ามเนื้อที่หน้าท้อง ทำติดต่อกันตามจำนวนที่ต้องการ
        
        เมื่อผู้สูงอายุสามารถเกร็งและคลายกล้ามเนื้อได้นาน 3 วิ แล้วให้เพิ่มระยะเวลาในการเกร็งและคลาย เช่น เพิ่มเป็น 5 วิ 10 วิ 15 วิ 20 วิ
        
        แนะนำให้ผู้สูงอายุฝึกการขับถ่ายปัสสาวะ (Eliopoulos, 2018; Kangchai 2002) โดยมีวิธีการดังนี้
        ขั้นตอนที่ 1 เป็นขั้นตอนก่อนการฝึกกระเพาะปัสสาวะ ให้ผู้สูงอายุเก็บรวบรวมซ้อมูลแบบแผนการถ่ายปัสสาวะได้แก่ การถ่ายปัสสาวะทั้งที่ โดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจในเวลาใดบ้าง จำนวนปัสสาวะต่อการถ่ายปัสสาวะ1 ครั้ง จำนวนน้ำดื่มใน 1 วัน เป็นเวลาติดต่อกัน 3 วัน โดยบันทึกข้อมูลเหล่านี้ลงในแบบบันทึกการถ่ายปัสสาวะ
        ขั้นตอนที่ 2 เป็นขั้นตอนการจัดตารางการฝึกการถ่ายปัสสาวะโดยนำข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1 มาสร้างตารางการฝึกการถ่ายปัสสาวะ ในการกำหนดช่วงเวลาการถ่ายปัสสาวะนั้นจะกำหนดให้อยู่ในช่วงกระเพาะปัสสาวะว่างก่อนมีอาการปัสสาวะราด
        ขั้นตอนที่ 3 เป็นขั้นตอนการฝึกการถ่ายปัสสาวะ วิธีการฝึกการถ่ายปัสสาวะมี ดังนี้
        
        ทันทีที่ตื่นตอนในตอนเช้า ให้ผู้สูงอายุไปเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายปัสสาวะ พยายามถ่ายปัสสาวะให้ออกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้กระเพาะปัสสาวะว่างโดยใช้มือช่วยมือกดที่บริเวณหัวเหน่าเบา ๆ
        
        หลังจากนั้นเริ่มต้นการฝึกการถ่ายปัสสาวะตามตารางประจำสัปดาห์ เช่น ในสัปดาห์ที่ 1 มีเป้าหมายของการถ่ายปัสสาวะ คือ ผู้สูงอายุต้องถ่ายปัสสาวะทุก 2 ชั่วโมง ในตารางเวลาก็จะกำหนดเวลาไว้ให้ผู้สูงอายุถ่ายปัสสาวะทุก 2 ชั่วโมง ผู้สูงอายุต้องไปถ่ายปัสสาวะเมื่อถึงเวลากำหนด ถ้าถึงเวลากำหนดแล้วแต่ผู้สูงอายุยังไม่รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ ก็ต้องไปเข้าห้องน้ำและพยายามถ่ายปัสสาวะ
        
        ถ้าผู้สูงอายุรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะก่อนถึงเวลาที่กำหนด อย่ารีบไปเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายปัสสาวะทันทีทันใด ให้กลั้นปัสสาวะไว้ก่อน โดยหายใจเข้าออกลึกๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง และขมิบช่องคลอดเร็ว ๆ หลาย ๆ ครั้งติดต่อกันจนกระทั่งความรู้สึกปวดปัสสาวะผ่านไป แล้วจึงถ่ายปัสสาวะตามเวลาที่กำหนด
        
        ถ้าผู้สูงอายุมีปัสสาวะราด หรือถ่ายปัสสาวะก่อนถึงเวลาที่กำหนดในตารางให้เริ่มนับเวลาใหม่ คือ ต้องกำหนดการถ่ายปัสสาวะครั้งต่อไปในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า
        
        การฝึกการถ่ายปัสสาวะทำเฉพาะช่วงเวลากลางวันหลังจากผู้สูงอายุตื่นนอนตอนเช้าส่วนเวลากลางคืนถ่ายปัสสาวะได้ตามปกติ
        
        แนะนำการดูแลสุขอนามัย การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ุ โดยทำความสะอาดหลังขับถ่ายทุกครั้ง ซับให้แห้งโดยเช็ดจากด้านหน้าไปหลัง ดูแลความสะอาดชุดชั้นใน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        
        แนะนำให้ลดน้ำหนักโดยการควบคุมชนิด ปริมาณของอาหารตามความเหมาะสมของโรคประจำตัว ส่งเสริมให้ออกกำลังกายและมีการเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ
        5.ดูแลด้านจิตใจโดยอธิบายสาเหตุ กลไกการเกิด อาการ การรักษา และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตนที่เหมาะสม เปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ
        
        ประเมินผล
        
        นางประนอม จันทร์ไพร อายุ 65 ปี
        1.อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เช่น ปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะราดลดน้อยลง ไม่เกิน 3 ครั้ง/วัน
        2.สามารถบอกวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อลดความรุนแรงของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ได้ถูกต้อง 8 ข้อจาก 10 ข้อ
        
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        ผู้สูงอายุรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง น้ำเสียงสดชื่น ให้ความร่วมมือในการทำกจกรรม
        
        ติดตามภาวะปัสสาวะเล็ดต่อไป
        
        ประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เฝ้าระวังความรุนเเรงต่อไป
        
        ให้คำแนะนำการบริหารอุ้งเชิงกราน การดูแลสุขอนามัย และส่งมอบใบความรู้ในการบริหารอุ้งเชิงกราน
        
        แนะนำลดน้ำหนัก ให้ค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        นางทัศนีย์ บุญช่วย อายุ 82 ปี
        
        อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เช่น ปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะราดน้อยลง ไม่เกิน 3 ครั้ง/วัน
        
        ไม่มีกลิ่น คราบปัสสาวะเปื้อนตามผ้านุ่ง
        
        สามารถบอกวิธีการปฏิบัติและปฏิบัติตัวเพื่อลดความรุนแรงของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ร้อยละ 80
    - - เกณฑ์การประเมิน
        
        นางประนอม จันทร์ไพร อายุ 65 ปี
        1.พบอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เช่น ปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะราดน้อยลง คือ ไม่เกิน 3 ครั้ง/วัน
        2.สามารถบอกวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อลดความรุนแรงของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ได้ 8 ข้อจาก 10 ข้อ
        
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        มีปัสสาวะเล็ดลดลง
        
        ผลการประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในระดับรุนแรงน้อย
        
        สามารถบอกและปฏิบัติตามคำแนะนำในการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ถูกต้อง และดูแลสุขอนามัยได้ถูกต้อง
        
        น้ำหนักตัวลดลงร้อยละ 5 หรือประมาณ 4 กิโลกรัม
        
        นางทัศนีย์ บุญช่วย อายุ 82 ปี
        
        พบอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เช่น ปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะราดน้อยลง ไม่เกิน 3 ครั้ง/วัน
        
        แบบประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ อยู่ในเกณฑ์รุนแรงน้อย หรือไม่พบความรุนแรง
        
        ไม่มีกลิ่น คราบปัสสาวะเปื้อนตามผ้านุ่ง
        
        สามารถบอกวิธีการปฏิบัติและปฏิบัติตัวเพื่อลดความรุนแรงของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ร้อยละ 80
  - - - ประเมินผล
        
        นายเชิด ประสงค์เงิน 70 ปี
        
        ไม่สามารถประเมิน BMI ได้ และตอบคำถามเกี่ยวกับการออกกำลังกายได้ถูกต้องทุกข้อ
        
        นางลักขณา สมตัว อายุ 68 ปี
        
        ไม่สามารถประเมิน BMI ได้ และผู้สูงอายุมีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ 4 วัน/สัปดาห์ วันละ 1 ชั่วโมง ตอบคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เหมาะสมได้ 95% ตอบคำถามเกี่ยวกับการออกกำลังกายได้ถูกต้องทุกข้อ
        
        นางชิน หนุนดี อายุ 71 ปี
        
        ไม่สามารถประเมิน BMI ได้
        ผู้สูงอายุออกกำลังกายสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 วัน (วันละ 15-20 นาที )
        ตอบคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เหมาะสมได้ 90%
    - - เกณฑ์การประเมิน
        
        BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 18.5 - 22.90
        
        ผู้สูงอายุออกกำลังกายสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 วัน (วันละ 15-20 นาที )
        
        ตอบคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เหมาะสมได้อย่างน้อย 80%
        
        ตอบคำถามเกี่ยวกับการออกกำลังกายได้ถูกต้องทุกข้อ
  - - - แนะนำให้สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันในเลือดสูง คือ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และสังเกตอาการ แทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง คือ ตาพร่ามัว เจ็บหน้าอก
        
        แนะนำให้ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ยาลดไขมันในเลือด คือ Atorvastatin 40 mg รับประทานวันละ 1 เม็ด ก่อนนอน
        
        แนะนำให้ติดตามดูผลข้างเคียงที่อาจเกิดหลังจากได้รับยา Atorvastatin คือ ปวดตามข้อ ท้องเสีย มีอาการ อักเสบที่คอและจมูก หรืออาจมี อาการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ นอนไม่หลับ ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อแขนและ ขา กล้ามเนื้อเกร็ง และคลื่นไส้
        
        แนะนำให้รับประทานยาตามขนาดที่แพทย์กำหนด หากผลการรักษาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ก็ไม่ควรปรับขนาดยาเอง เพราะการปรับเพิ่มขนาดยาเองอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการข้างเคียงจากยา ส่วนการปรับลดขนาดยาเองอาจลดประสิทธิภาพของยาจนทำให้การรักษาไม่ได้ผล ดังนั้นให้ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาที่เหมาะสมให้เท่านั้น ห้ามปรับขนาดยาเอง
        
        ก่อนการใช้ยาทุกครั้งต้องสังเกตลักษณะหรือสภาพของยา เช่น ยามีการเปลี่ยนสีที่แตกต่างไปจากเดิม มีการแตกหัก หรือชื้นแฉะของเม็ดยา ยาตกตะกอน หรือมีการแบ่งชั้นของยา เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะบ่งบอกว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพ ไม่ควรรับประทานให้นำยามาปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
        
        แนะนำให้นำยาทั้งหมดมาพบแพทย์เมื่อมาตรวจตามนัด เพื่อลดการจ่ายยาซ้ำซ้อน เป็นการติดตามผลการรักษาและปรับขนาดยาที่ใช้ให้เหมาะสมกับ
        ผู้สูงอายุ (สุภลักษณ์ ธานีรัตน์, 2560)
        4.ประเมินความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารรวมถึงพฤติกรรมการออกกำลังกาย เพื่อ ใช้เป็นแนวทางในการให้คำแนะนำ
        
        ให้คำแนะนำในการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อควบคุมระดับไขมัน ดังนี้
        -แนะนำให้ลดหรือเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ติดไขมัน เนื้อสัตว์แปรรูป น้ำมันจากสัตว์ เนย รวมถึงผลิตภัณฑ์จาก นมที่เป็นไขมันเต็มส่วน โดยแนะนำให้เลือกเป็นแบบพร่องมันเนยหรือขาดมันเนยแทน
        -แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ได้แก่ อาหารประเภทผักใบต่างๆ และผลไม้บางชนิด เช่น คะน้า ฝรั่ง ส้ม เม็ดแมงลัก เพื่อให้ร่างกายได้รับกากใยมากขึ้น และช่วยในการดูดซึมไขมันสู่ร่างกายน้อยลง
        -ลดการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากเบเกอรี่ เช่น คุกกี้ โดนัท เค้ก พาย อาหารจานด่วน เช่น เฟรนซ์ฟรายส์ แฮมเบอร์เกอร์ ขนมกรุบกรอบทั้งหลาย ควรรับประทานแต่น้อย
        -เลือกใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก ยกเว้น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ซึ่งประกอบไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัวและอาจเพิ่มระดับแอลดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด
        -เลือกรับประทานไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ถั่วเปลือกแข็ง (วอลนัท ถั่วลิสง อัลมอนด์ เป็นมื้อว่างไม่เกิน 1 อุ้งมือต่อวัน หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากพลังงานมากเกินความจำเป็น)
        
        แนะนำวิธีการปรุงอาหารโดยเลือกใช้การนึ่ง ย่าง(ไม่ไหม้เกรียม) อบ แทนการทอด
        
        ให้คำแนะนำประเภทของการออกกำลังกาย โดยออกกำลังกาย 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที โดยให้ผู้สูงอายุเลือกออกกำลังกายตามความถนัดและความสนใจของตนเอง
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        ไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันในเลือดสูง คือ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และไม่พบอาการแทรกซ้อนของโรคไขมันในเลือดสูง คือ ตาพร่ามัว เจ็บหน้าอก
        
        มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่สามารถควบคุมระดับไขมันในเลือดสูง ได้แก่ รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน นมพร่องมันเนย และรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ได้แก่ อาหารประเภทผักใบ ต่างๆ และผลไม้บางชนิด เช่น คะน้า ฝรั่ง ส้ม เม็ดแมงลัก เพื่อให้ร่างกายได้รับกากใยมากขึ้น และช่วย ในการดูดซึมไขมันสู่ร่างกายน้อยลง
        
        มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที โดยเลือกประเภทการออกกำลังกายความสนใจของตนเอง
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ได้แก่
        -ความดันโลหิต 90-120/60-80 mmHg
        -ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที
        
        ประเมินผล
        
        นางประนอม จันทร์ไพร อายุ 65 ปี
        1.ไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันในเลือดสูง คือ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และไม่พบอาการแทรกซ้อนของโรคไขมันในเลือดสูง คือ ตาพร่ามัว เจ็บหน้าอก
        2.มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่สามารถควบคุมระดับไขมันในเลือดสูง ได้แก่ รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ และรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง
        3.มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอโดยการเดินเร็ว 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที
        4.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ
        -ความดันโลหิต 130/80 mmHg
        -ชีพจร 75 ครั้ง/นาที
        
        นางเจียมจิต ดุลสำลี อายุ 74 ปี
        
        ไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันในเลือดสูง คือ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และไม่พบอาการแทรกซ้อนของโรคไขมันในเลือดสูง คือ ตาพร่ามัว เจ็บหน้าอก
        
        มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่สามารถควบคุมระดับไขมันในเลือดสูง ได้แก่ รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ และมีการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง
        
        มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยการเค้นที่ line dance วันละ 1-2 ชั่วโมง
        
        สัญญาณชีพ P = 75 ครั้งต่อนาที
        BP = 140/65 mmHg
        
        นางทัศนัย์ บุญชาติ อายุ 82 ปี
        1.ไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันในเลือดสูง คือ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และไม่พบอาการแทรกซ้อนของโรคไขมันในเลือดสูง คือ ตาพร่ามัว เจ็บหน้าอก
        
        การบริโภคอาหาร ไม่รับประทานอาหารทอด อาหารมัน รับประทานแค่ปลา ไม่รับประทานหมู เนื้อ รับประทานอาหารเจ
        3.มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอโดยการยืดเหยีดแขนขา แกว่างแขนแกว่งขา เดินรอบบ้าน ทุกวัน วันละ 30 นาที
        
        สัญญาณชีพ คือ
        ความดันโลหิต 159/80 mmHg
        ชีพจร 90 bpm
  - - - ประเมินผล : ผู้สูงอายุไม่เกิดแผลและอุบัติเหตุทางรถยนต์
        3 ต.ค.65
        นายอรรณพ กิจดี อายุ 62 ปี
        -ผู้สูงอายุไม่เกิดแผลและอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่ขับขี่รถในตอนกลางคืน และสวมแว่นตาทุกครั้ง รวมทั้งระมัดระวังการทำกิิจวัตรประจำวันต่างๆเพิ่มมากขึ้น
        -ผู้สูงอายุสามารถบอกคำแนะนำการป้องกันอุบัติเหตุได้ครบถ้วน
    - - เกณฑ์การประเมิน :
        -ไม่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
        -สามารถบอกและปฏิบัติวิธีการป้องกันอุบัติเหตุได้
  - - - ประเมินความรู้ความเข้าใจ/พฤติกรรมการดูแลสุขภาพเท้า ประเมินเท้า ประเมินความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาล
        
        แนะนำ/ให้ความรู้ผู้ป่วยในเรื่องการตรวจและการดูแลเท้าด้วยตนเอง โดยให้ตรวจเท้าทุกวัน ว่ามีเล็บขบ แผลพุพอง แผลช่ำ รอยถลอกที่ใดบ้าง และสาธิตการทำความสะอาดผิวหนังตามซอกอับต่างๆ ทำความสะอาดเท้าและเช็ดให้แห้งหรือทาโลชันเพิ่มความชุ่มชื่น โดยเลี่ยงตามง่ามนิ้วเท้า ตัดเล็บตรงๆ เสมอปลายนิ้ว เลือกรองเท้าหัวป้าน หุ้มส้น ใส่สบายและสวมรองเท้าทุกครั้งเวลาออกนอกบ้าน บริหารเท้าทุกวัน ห้ามนั่งไขว่ห้าง ห้ามเอากระเป๋าน้ำร้อนมาวางบนเท้าหรือขา ห้ามแช่เท้าในน้ำ เมื่อตรวจพบว่า มีบาดแผลขนาดใหญ่หรือลึก หรือมีลักษณะการอักเสบ เช่น บวม แดง ร้อนเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์
        
        แนะนำให้ผู้สูงอายุสังเกตมีอาการชาหรือเป็นเหน็บที่เท้า ไล่จากปลายนิ้วเท้าขึ้นไปยังบริเวณหลังเท้าหรือขา โดยมักจะเป็นทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน มีอาการปวดแปล๊บคล้ายกับว่ามีไฟช็อตที่เท้าทั้ง 2 ข้าง อาจมีอาการเท้าร้อนวูบวาบ หรือปวดแสบปวดร้อนที่เท้า สีผิวบริเวณเท้าซีดลงหรือคล้ำขึ้นจนผิดสังเกต ผิวหนังบริเวณเท้าทั้งสองข้างแห้ง บางคนอาจแห้งจนปริแตก ผิวหนังที่เท้าแข็งขึ้นมีลักษณะเป็นตาปลา รูปเท้าผิดไปจากปกติ หรือมีปุ่มกระดูกงอกโปนขึ้นมา
        
        แนะนำให้ไปตรวจเท้าตามนัดทุกครั้ง และส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการเฝ้าระวัง/ดูแลอย่างต่อเนื่อง
        
        ประเมินผล
        
        3 ต.ค.65
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        ผู้สูงอายุรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง น้ำเสียงสดชื่น ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม
        
        มีอาการชาที่ปลายนิ้วเท้าบางครั้ง ไม่มีแผลที่เท้า ไม่มีเล็บขบ เท้าไม่แห้งแตก ไม่มีอาการร้อนวูบวาบที่เท้า เท้าไม่ผิดรูป ไม่มีการอักเสบ
        
        ไม่ได้ตรวจประเมินระดับน้ำตาลในเลือด เเต่นัดตรวจครั้งล่าสุด หมอบอกว่าควบคุมน้ำตาลได้ดี
    - - นางสำรวย วรรณพงศ์ 67 ปี
        S : ผู้สูงอายุบอกว่า “มีอาการชาบริเวณปลายมือปลายเท้าอยู่บ่อยครั้ง”
        O : มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน
        
        เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        เพื่อป้องกันการเกิดเท้าเบาหวาน และเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติมีความรู้ในการดูแลเท้าได้ถูกต้อง
        
        เกณฑ์การประเมิน
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        ไม่เกิดแผลที่เท้า ไม่มีอาการ/อาการแสดงของเท้าเบาหวาน
        
        ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี อยู่ในช่วง 60-100 mg/m
  - - - ประเมินพฤติกรรมสุขภาพ การรับประทาน ปริมาณการดื่มน้ำ การออกกำลังกาย รวมทั้งการใช้ยา ซักประวัติ/ประเมินลักษณะของอุจจาระ อาการท้องอืด ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร ประเมินสุขภาพปากและฟัน ความสามารถในการบดเคี้ยว การกลืน
        
        ให้คำแนะนำ/ส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ส่งเสริมให้รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงอย่างน้อยวันละ 20-30 กรัมได้แก่ ใยอาหารจากธัญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ จากผลไม้ เช่น สัปปะรด ส้มโอ ฝรั่ง มะม่วงดิบ องุ่น มะละกอ สาลี่ แอปเปิ้ล และผักที่มีเส้นใยสูง เช่น ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ผักกาดหอม แตงกวา มะเขือเทศสด หน่อไม้ฝรั่ง ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า ซึ่งจะช่วยลดอาการท้องผูกในผู้สูงอายุได้ ทั้งนี้ควรปรุงอาหารให้มีความอ่อนนุมและตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อให้เคี้ยวง่าย นอกจากนี้การเพิ่มปริมาณอาหารที่มีกากใขในผู้สูงอายุควรเพิ่มปริมาณทีละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ เพื่อป้องกันปัญหาท้องอืด แน่นอึดอัดท้อง และปวดท้องในผู้สูงอายุ (Mounsey, Raleigh, & Wilson, 2015) ตัวอย่างอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ลูกพรุน ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืช กล้วย
        
        กระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้มีการเคลื่อนไหว โดยแนะนำให้เดินหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 20 นาทีหลังมื้ออาหารเพื่อทำให้อาหารย่อยได้มากขึ้น ไม่มีอาการท้องอืด แนะนำให้ขับถ่ายให้เป็นเวลา จนเป็นกิจวัตร (Touhy, 2018)
        
        แนะนำให้ผู้สูงอายุดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเป็นอย่างน้อย หรือดื่มน้ำผลไม้ที่มีผลในการขับถ่าย เช่น น้ำมะนาว น้ำลูกพรุน หรือน้ำมะขาม ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว ช่วยให้อุจจาระมีความอ่อนนุ่ม
        
        การจัดท่าในการขับถ่ายอุจจาระ ขณะนั่งถ่ายบนชักโครก อาจหาโต๊ะวางเท้าที่ไม่สูงมากนักมารองเท้า แล้วให้ก้มไปด้านหน้า และใช้มือช่วยกดนวดหน้าท้อง จะให้ลำไส้เคลื่อนไหวและมีแรงในการขับถ่ายอุจจาระได้สะดวกขึ้น (Touhy, 2018)
        
        ประเมินผล
        
        3 ต.ค.65
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        ผู้สูงอายุรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง น้ำเสียงสดชื่น ให้ความร่วมมือในการทำกจกรรม
        
        ให้คำแนะนำในการป้องกันท้องผูก ติดตามประเมินอาการท้องผูก และลักษณะอุจจาระต่อไป
        
        ผู้สูงอายุรับฟัง เข้าใจ บอกอาหารที่มีกากใยสูงได้
        
        3 ต.ค.65
        นายอรรณพ กิจดี อายุ 62 ปี
        1.ผู้สูงอายุขับถ่ายในช่วงเวลาเช้า 6.00 น ลักษณะอุจจาระเป็นก้อน ไม่ต้องใช้แรงเบ่ง
        2.ผู้สูงอายุยังมีอาการท้องอืด
        3.สามารถบอกคำแนะนำในการป้องกันท้องผูกได้ครบทุกข้อและพร้อมที่จะปฏิบัติตาม
        4.ผู้สูงอายุดื่มน้ำ 3 ลิตร/วัน
        5.ผู้สูงอายุรับประทานผลไม้ที่บุตรซื้อให้หลังรับประทานในแต่ละมื้อ
    - - นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        S1 : ผู้รับบริการให้ข้อมูลว่า “ไม่ค่อยทานผักใบเขียว เพราะใส่ฟันปลอมจึงทำให้เคี้ยวยาก”
        S2 : ผู้สูงอายุบอกว่า “ถ่ายวันละครั้ง มีอุจจาระแข็ง ถ่ายลำบาก ต้องใช้แรงเบ่ง”
      - นายอรรณพ กิจดี อายุ 62 ปี
        S1 : ผู้สูงอายุเล่าว่า "ขับถ่ายอุจจาระ 2-3 วัน/สัปดาห์ อุจจาระมีลักษณะก้อนแข็ง ต้องใช้แรงเบ่งมาก"
        S2 : ผู้สูงอายุเล่าว่า "ไม่ค่อยได้รับประทานผักและผลไม้และมีอาการท้องอืด ผายลมบ่อย"
        O : ผู้สูงอายุรับประทานยาขับปัสสาวะ
    - - เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มีอาการท้องผูก อุจจาระมีลักษณะอ่อนนุ่ม ไม่แข็ง ใช้แรงเบ่งลดลง
        
        มีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม ดื่มน้ำไม่น้อยกว่า 1.5 ลิตร รับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น ขับถ่ายเป็นเวลา
        3.สามารถบอกคำแนะนำการป้องกันการท้องผูกได้ครบทุกข้อ
  - - - เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่ภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจ ได้แก่
        
        ภาวะหัวใจล้มเหลว มีอาการและอาการแสดง ได้แก่ หอบเหนื่อย หายใจไม่สะดวกขณะนอนราบ เจ็บแน่นหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ขาบวม กดบุ๋มทั้ง 2 ข้าง มีการโป่งพองของเส้นเลือดดำที่คอ
        
        หัวใจวาย มีอาการและอาการแสดง ได้แก่ เจ็บแน่นหน้าอกเหมือนมีอะไรมากดทับอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตรงกลางอก และเป็นนานเกินกว่าหนึ่งนาทีขึ้นไป เจ็บแน่นหน้าอกร้าวไปยังบริเวณคอ กราม ไหล่และแขนทั้งสองข้าง
        
        โรคหลอดเลือดสมอง มีอาการและอาการแสดง ได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว แขนขาอ่อนแรง การพูดไม่ชัด
        
        หลอดเลือดแดงโป่งพอง มีอาการและอาการแสดง ได้แก่ หายใจลำบาก กลืนลำบาก เสียงแหบมีอาการแน่นหน้าอก ปวดหลัง หน้ามืด หมดสติ ไอเป็นเลือด
        
        โรคหลอดเลือดส่วนปลาย มีอาการและอาการแสดง ได้แก่ ปวดขา ชาหรืออ่อนแรงของแขนหรือขา ความรู้สึกเย็นที่ขาส่วนล่าง แผลที่นิ้วเท้า การเปลี่ยนสีของขา เล็บเท้าเจริญเติบโตช้าลง ผิวที่ขามีลักษณะมันเงา
        
        ภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน มีอาการและอาการแสดง ได้แก่ หมดสติ
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ
        BP = 90-120/60-80 mmHg และ P = 60-100 ครั้ง/นาที
        
        ผู้สูงอายุสามารถบอกถึงหลักการใช้ยาได้อย่างถูกต้องร้อยละ 80
        
        ประเมินผล
        
        ไม่ภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจ และอาการที่ผิดปกติ
        
        สัญญาณชีพ คือ ความดันโลหิต 159/80 mmHg
        ชีพจร 90 bpm
        
        ผู้สูงอายุสามารถบอกถึงหลักการใช้ยาได้อย่างถูกต้องร้อยละ 90
  - - - ประเมินผล
        3 ตุลาคม 2565
        
        ผู้สูงอายุบอกว่า “เวลาปัสสาวะ ยังมีปัสสาวะพุ่ง ต้องออกแรงเบ่ง และรู้สึกปัสสาวะไม่สุด มีปัสสาวะช่วงกลางคืนทุกวันเหมือนเดิม”
        
        ผู้สูงอายุบอกว่า “ยังไม่เคยไปตรวจเรื่องของโรคต่อมลูกหมากโต จะลองไปตรวจดู”
        
        ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับโรคต่อมลูกหมากโตได้ถูกต้องทั้ง หมด 5 ข้อ
  - - - ประเมินผล
        
        ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามคเกี่ยวป้องกันกันภาวะไตเสียหน้าที่ได้ 3 ข้อ
        
        ผู้สูงอายุสามารถบอกวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการดูแลสุขภาพได้ถูกต้อง 5 ข้อ
        
        ไม่มีอาการไตเสียหน้าที่
  - - - ประเมินผล
        
        ไม่มีอาการและอาการแสดงของโรคปริทันต์ ได้แก่ มีเลือดออกตามไรฟันขณะแปรงฟัน เหงือกบวมแดง
        มีกลิ่นปาก เหงือกร่น มีหนองออกตามร่องเหงือก ฟันโยก
        
        ผู้สูงอายุสามารถบอกถึงการดูแลสุขภาพในช่องปากได้ถูกร้อยละ 90
  - - - สร้างสัมพันธภาพโดยการพูดคุยและแสดงท่าทีที่เป็นกันเอง เพื่อให้เกิดความไว้วางใจ
        
        ประเมินความรู้เรื่องการป้องกันภาวะแทรกซ้อนความดันโลหิตสูง คือประเมินพฤติกรรมการรับประทานอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกาย และประเมินพฤติกรรมการนอนหลับ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแนะนำ
        
        ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง ภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง เพื่อให้ความรู้และเกิดความตระหนักในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของตนเอง
        
        ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม (ชฎาพร คงเพ็ชร์, 2019,67-68)
        -เพื่อรักษาสมดุลร่างกายการทรงตัว (Balance exercise) โดยเป็นการฝึกการทรงตัว (Balance training) ควรทำ สัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละ 15 นาที วันละ 2 รอบ โดยมีท่า ดังนี้
        4.1 ท่าเขย่งปลายเท้ายืนตัวตรง มือเกาะเก้าอี้ (ขาเก้าอี้ไม่มีล้อหมุน) ค่อย ๆ เขย่งปลายเท้าให้สูงที่สุด ปล่อยมือจากเก้าอี้ยกมือ 2 ข้างขึ้น ขนานกับพื้น และทรงตัวให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้
        4.2 ท่างอสะโพกยืนตัวตรงมือเกาะเก้าอี้ ค่อยๆงอเข่าด้านหนึ่งมาหาหน้าอกปล่อยมือจากเก้าอี้ยกมือสองข้างขึ้นขนานกับพื้น และทรงตัวให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ทำซ้ำโดยยืนบนขาอีกข้างหนึ่ง
        4.3 ท่าเดินเส้นตรง เดินให้ส้นเท้าข้างหนึ่ง ชนกับปลายนิ้วเท้าของขาอีกข้างหนึ่งเดินสลับกันไปเป็นเส้นตรง
        4.4 ท่าลุกจากนั่งไปยืน นั่งเก้าอี้มีพนักพิงและมีที่วางแขน ระยะแรกใช้ที่วางแขน 2 ข้าง เพื่อช่วยลุกยืน เมื่อทำได้ดีขึ้น ให้เหลือการจับ 1 ข้าง แล้วไม่จับ โดยทำท่ากอดอก
        
        ให้ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
        
        ชนิดของอาหาร ที่มีผลต่อปัญหาสุขภาพ อาหารหวาน อาหารมัน อาหารเค็ม ชนิด ของอาหารที่ให้พลังงานสูง ความรู้เกี่ยวกับโซนอาหารคือ อาหารโซนเขียว เป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ สามารถ กินได้มาก อาหารโซนเหลืองเป็นอาหารที่ ให้พลังงานปานกลาง สามารถกินได้พอควร อาหารโซนแดงเป็น อาหารที่ให้พลังงานสูงมาก ควรกินให้น้อยที่สุด
        
        ให้ความรู้เกี่ยวกับ วิธีการปรุงอาหารที่เหมาะสมควรกับสุขภาพเป็นประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง อบแทนการผัดและทอด
        
        ให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารทดแทน เพื่อลดการรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูง
        
        ให้ความรู้เกี่ยวกับสัญญาณความต้องการอาหารของร่างกาย คือ ความรู้สึกหิว ท้องร้อง เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความรู้และลดการรับประทานจุกจิกลง เรื่องลดหวานลดเค็ม
        
        สร้างแรงจูงใจและความมั่นใจโดยให้กำลังใจเมื่อผู้สูงอายุสามารถปฏิบัติได้ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความภาคภูมิใจในตนเอง
        
        แนะนำการรับประทานยาตามแผนการรักษาและการเฝ้าระวังอาการแทรกซ้อนจากยา คือ ยาลดความดัน โดยยาลดความดันจะรับประทานในช่วงเวลาเช้าและเย็น ครั้งละ 1 เม็ด และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงของยา คือ ความดันต่ำเวลาเปลี่ยนอิริยาบถ จึงควรเปลี่ยนอิริยาบถใหม่ช้าๆ เช่น จากการนอนให้ลุกขึ้นนั่งพักสักครู่ก่อนที่จะยืน หรืออาการปวดศีรษะ เป็นต้น
        
        แนะนำให้รับประทานยาตามขนาดที่แพทย์กำหนด หากผลการรักษาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ก็ไม่ควรปรับขนาดยาเอง เพราะการปรับเพิ่มขนาดยาเองอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการข้างเคียงจากยา ส่วนการปรับลดขนาดยาเองอาจลดประสิทธิภาพของยาจนทำให้การรักษาไม่ได้ผล ดังนั้นให้ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาที่เหมาะสมให้เท่านั้น ห้ามปรับขนาดยาเอง
        
        ก่อนการใช้ยาทุกครั้งต้องสังเกตลักษณะหรือสภาพของยา เช่น ยามีการเปลี่ยนสีที่แตกต่างไปจากเดิม มีการแตกหัก หรือชื้นแฉะของเม็ดยา ยาตกตะกอน หรือมีการแบ่งชั้นของยา เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะบ่งบอกว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพ ไม่ควรรับประทานให้นำยามาปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
        
        แนะนำให้นำยาทั้งหมดมาพบแพทย์เมื่อมาตรวจตามนัด เพื่อลดการจ่ายยาซ้ำซ้อน เป็นการติดตามผลการรักษาและปรับขนาดยาที่ใช้ให้เหมาะสมกับ
        ผู้สูงอายุ (สุภลักษณ์ ธานีรัตน์, 2560)
        
        เปิดโอกาสให้ซักถามปัญหาและสอบถามความเข้าใจในปัญหาสุขภาพ
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยมีอาการ คือ อาการเจ็บแน่นหน้าอกขณะออกแรง เมื่อพักแล้วดีขึ้นโดยจะรู้สึกแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก หรือค่อนมาทางซ้าย เจ็บลึกๆ หายใจไม่สะดวก อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตก ใจสั่น หน้ามืด
        
        ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีการส่งเสริมและปฏิบัติตน ได้คะแนนอย่างน้อย 3 ข้อขึ้นไปในจำนวนเต็ม 5 ข้อ
        
        รับประทานอาหารที่เป็นของทอด ผัดและของหวานลดลง เหลือ 1 ต่อวัน
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ
        BP = 90-120/60-80 mmHg และ P = 60-100 ครั้ง/นาที
        
        ประเมินผล
        3 ต.ค 2565
        
        นายอรรณพ กิจดี อายุ 62 ปี
        
        ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คือ ไม่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกไม่มีอาการ เจ็บลึกๆ ไม่มีอาการหายใจไม่สะดวก ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
        
        ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตัวได้ 5 คะแนน
        
        ลดการรับประทานอาหารหวานคือ ทาน 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
        
        สัญญาณชีพ BP =169/ 80 มิลลิเมตรปรอท P= 95 ครั้ง/นาที
        
        นางลักขณา สมตัว อายุ 68 ปี
        
        ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คือ ไม่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกไม่มีอาการ เจ็บลึกๆ ไม่มีอาการหายใจไม่สะดวก ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
        
        ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตัวได้ 5 คะแนน
        
        ไม่รับประทานอาหารหวาน ทอด
        
        นางเจียมจิต ดุลสำลี อายุ 74 ปี
        
        ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คือ ไม่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกไม่มีอาการ เจ็บลึกๆ ไม่มีอาการหายใจไม่สะดวก ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
        
        ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตัวได้ 4 คะแนน
        
        ยังคงรับประทานอาหารที่เป็นของทอด ผัดและของหวาน 2 มื้อ
        
        สัญญาณชีพ BP =140/ 70 มิลลิเมตรปรอท
        P= 75 ครั้ง/นาที
        
        นางทัศนัย์ บุญชาติ อายุ 82 ปี
        
        ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คือ ไม่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกไม่มีอาการ เจ็บลึกๆ ไม่มีอาการหายใจไม่สะดวก ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
        
        ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตัวได้ 5 คะแนน
        
        ไม่รับประทานอาหารที่เป็นของทอด ผัดและของหวาน
        
        สัญญาณชีพ BP =158/ 80 มิลลิเมตรปรอท
        P= 90 ครั้ง/นาที
        
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        1 ไม่พบภาวะแทรกซ้อนเช่น อาการปวดหัว อ่อนเพลีย ปวดต้นคอ
        2 สัญญาณชีพอยู่เกณฑ์ปกติ
        3 ผู้สูงอายุให้ข้อมูลว่า เลือกทานอาหารที่มีรถชาติไม่เค็ม ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ดื่มน้ำให้เพียงพอ
        4 ให้ข้อมูลว่า ทานบางของทอดแต่ไม่ได้ทานเยอะ
    - - นายอรรณพ กิจดี อายุ 62 ปี
        S: ผู้สูงอายุเล่าว่า “ยาตอนเช้าก็เอาไปกินตอนเที่ยง เพราะไม่ได้กินข้าวเช้า เลยเลื่อนไปกินตอนเที่ยงแทน”
        S: ผู้สูงอายุคิดว่า “อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตมาก เจ็บป่วยเล็กน้อยก็ก็ไปหาหมอเอายาทานกินก็พอ ไม่ต้องไปผ่าตัด ให้เสียเงินเสียเวลา”
        O: น้ำหนัก 100 กิโลกรัม
        O: ส่วนสูง 172 เซนติเมตร
        O: BMI = 33.03
        O: ความดันโลหิต = 169/80 mmHg
        
        นางลักขณา สมตัว อายุ 68 ปี
        S1: ผู้สูงอายุบอกว่า “ชอบกินกล้วยทอด ตอนเช้าป้าชอบกินโอวัลตินใส่นมข้นเยอะๆ”
        S2: ผู้สูงอายุบอกว่า “ตอนปรุงอาหารไม่ได้จำกัดเครื่องปรุง ป้าปรุงตามที่ป้าชอบกิน”
        O1: ผู้สูงอายุ เพศหญิง อายุ 68 ปี น้ำหนัก 64 ปี ส่วนสูง 150 ปี BMI 28.44
        O2: โรคความดันโลหิตสูง BP: 129/64 PR: 78 ครั้ง/นาที
        
        นางเจียมจิต ดุลสำลี อายุ 74 ปี
        S1 = ผู้สูงอายุบอกว่า “น้ำหนัก 73 กิโลกรัม ส่วนสูง 160 เซนติเมตร BMI = 28.51 อยู่ในเกณฑ์อ้วน”
        S2 = ผู้สูงอายุบอกว่า “ชอบทานขนมหวาน ไม่ทานผักและผลไม้ ทานของผัดของทอดเป็นประจำ ดื่มน้ำน้อยปริมาณ 1 ลิตรต่อวัน”
        O = มีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง
        และโรคไขมันในเลือดสูง
        O = ความดันโลหิต 140/90 mmHg
        
        นางทัศนัย์ บุญชาติ อายุ 82 ปี
        S: ผู้สูงอายุบอกว่า “ตนเองมีประจำตัว คือ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ รักษาโดยการรับประทานยา และพบแพทย์เพื่อติดตามอาการทุก 3 เดือนที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา ”
        S: ผู้สูงอายุบอกว่า “ตนเองมีโรคประจำตัวเยอะ เป็นแทบจะทุกโรค มีโรคโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ไปตรวจตามหมอนัดทุกเดือน และได้ยามากิน แล้วต้องกินยาเยอะมาก ไม่อยากกินยาแล้ว เลยไม่กินยาเลยในบางครั้ง”
        S: น้ำหนัก 63 กิโลกรัม ส่วนสูง 160 เซนติเมตร”
        O: BMI 24.61 น้ำหนักเกินมีภาวะเสี่ยง
        O: ความดันโลหิต 159/80 mmHg ชีพจร 90 bpm
        
        นาง สำรวย วรรณพงษ์ อายุ 67
        S1: ผู้รับบริการให้ข้อมูลว่า “ ดื่มกาแฟซองทุกวัน น้ำอัดลม อาทิตย์ ละ 1-2 ครั้ง “
        S2: ผู้รับบริการให้ข้อมูลว่า “มีอาการมึนหัว งงหัว เวลาเช้าหรือเวลาลุกจากที่นอน”
        S3: ผู้รับบริการให้ข้อมูลว่า “ ตนมีโรคประจำตัวเป็น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงร่างกายมีไขมันในเลือดมากกว่าปกติ”
        S4: ผู้รับบริการให้ข้อมูลว่า “รับประทานขนมหวานอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และมีการทานอาหารประเภทที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ”
        S5: ผู้รับบริการให้ข้อมูลว่า “วันที่ 28/9/65 มื้อเช้าทานขนมปังและกาแฟ มื้อเที่ยงทานผัดไทย(มีการปรุงรสเพิ่มเติม) มื้อเย็นทานขนมจีน“วันที่ 29/9/65 มื้อเช้าทานขนมปังมีใส้และกาแฟ”
        O1: blood pressure : 150/90 mmHg . pulse: 80 ครั้งต่อนาที
        O2: น้ำหนัก 86 กิโลกรัม สูง 170 เซตติเมตร BMI : 29 การประเมินผล
    - - 1 เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนโรคความดันโลหิตสูง
  - - - เกณฑ์การประเมิน
        : ไม่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุรา
        : ตอบคำถามเกี่ยวกับผลกระทบจากการดื่มสุราได้อย่างน้อย 80%
  - - - ประเมินสุขภาพจากการซักประวัติการใช้ยาทั้งหมดรวมถึงยาสมุนไพร อาหารเสริม ประเมินความรู้เบื้องต้นของผู้สูงอายุเกี่ยวกับการ ใช้ยาและความสามารถในการบริหารยา ซักถามอาการข้างเคียงต่างๆ เมื่อใช้ยา
        2.ให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับยาที่ผู้สูงอายุได้รับ เช่น ยาเบาหวาน ยาความลดความดัน และยาลดไขมันในเลือด บอกชื่อยา การออกฤทธิ์ การสังเกตผลข้างเคียงจากยา และวิธีการบริหารยา
        
        แนะนำให้เห็นถึงอันตรายของการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม ผลอันไม่พึงประสงค์ หรือพิษจากยา เช่น อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้จากการใช้ยาที่ไม่เฉพาะเจาะจงกับการเจ็บป่วย การแพ้ยา เกิดเชื้อดื้อยา การเกิดภาวะซึมสับสนเฉียบพลัน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ไตวายเฉียบพลัน มียาสะสมในร่างกายมากจึงเกิดเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
        
        แนะนำให้ผู้ดูแล/ผู้สูงอายุตระหนักถึงการรับประทานยา ควรถูกชนิด ถูกขนาด ถูกวิธี และถูกเวลา ตามแผนการรักษา
        
        ประเมินความรู้ความเข้าใจหลังให้คำแนะนำ และติดตามประเมินพฤติกรรมการใช้ยาของผู้สูงอายุ
        
        ประเมินผล
        3 ต.ค.65
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        ผู้สูงอายุรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง น้ำเสียงสดชื่น ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม
        
        สามารถบอกเวลาที่ต้องรับประทานยาได้ แต่ยังไม่รู้ชื่อยา
        
        ได้แนะนำและสร้างความตระหนักเรื่องการใช้ยา บอกผลเสียของการซื้อยาเอง ผู้ป่วยรับฟัง บอกว่าเมื่อเจ็บป่วยเล็กน้อยก็จะซื้อยามารับประทานเอง
    - - เกณฑ์การประเมิน
        นางสำรวย วรรณพงษ์ 67 ปี
        
        สามารถบอกชื่อยาที่ใช้ในปัจจุบัน ผลข้างเคียงของยาได้ ใช้ยาอย่างถูกวิธี ถูกขนาด ถูกเวลา รับประทานยาสม่ำเสมอ
        
        มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติในการใช้ยาที่เหมาะสม เช่น ไม่ซื้อยารับประทานเอง เมื่อเจ็บป่วยไปรับการตรวจวินิจฉัย/รักษาที่โรงพยาบาล
  - - - สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยและญาติ ประเมินปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดจัด ทำให้ส่งผลต่อการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร
        
        ให้ความรู้เกี่ยวการรับประทานอาหารเช่น รับประทานรสเผ็ดจัดจะส่งผลให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร และอาจส่งผลให้เกิด กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง และกรดไหลย้อนได้
        
        การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสม เช่นอาหารอ่อนย่อยง่ายรสไม่จัด เช่น ข้าวต้มปลา ฟักทองผัดไข่ ต้มจับฉ่าย เป็นต้น และควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลา
        
        หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดด้วยตัวเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
        
        สังเกตอาการผิดปกติของตน เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน ถ่ายอุจจาระเหลว จุกเสียด เป็นต้น
        
        ประเมินผล
        3 ต.ค. 65
        นางลักขณา สมตัว อายุ 68 ปี
        
        ผู้สูงอายุบอกเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสม อาหารอ่อนย่อยง่าย รสไม่จัด เช่น ข้าวต้มปลา ฟักทองผัดไข่ ต้มจับฉ่าย
  - - - ประเมินการนอนหลับ ด้วยแบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI)
        
        กระตุ้นให้ผู้สูงอายุถ่ายปัสสาวะก่อนนอน เพื่อจะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ
        
        จัดสิ่งแวดล้อมให้เย็นสบายและเงียบสงบ เช่น ปิดไฟ ไม่มีเสียงรบกวน
        
        แนะนำผู้สูงอายุให้ปฏิบัติ ในสิ่งที่จะช่วยให้นอนหลับได้ เช่น ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ อาบน้ำ อ่านหนังสือ หรือสวดมนต์ ใช้น้ำมันหอมระเทย เป็นต้น
        
        แนะนำให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมต่างๆที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ( ธีระศักดิ์,2560)
        
        ควรลดการดื่มน้ำก่อนเข้านอนประมาณ 2 – 4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการปวดปัสสาวะในตอนกลางคืน
        
        หลีกเลี่ยงการงีบหลับในช่วงเวลาใกล้เข้านอน เนื่องจากอาจเป็นสาเหตุให้ผู้สูงอายุนอนไม่หลับได้
        
        หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม ช็อค โกแลต
        
        หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายก่อนนอน 3 ชั่วโมง เนื่องจากการออกกำลังกายในตอนเย็นหรือก่อนนอน จะเพิ่มระดับการกระตุ้นระบบประสาทในระยะเข้านอนจนหลับ ซึ่งอาจทำให้หลับได้ยากขึ้น
        
        แนะนำให้พบแพทย์ และดูแลเรื่องการใช้ยาเพื่อช่วยในการนอนหลับตามแผนการรักษาของแพทย์ ซึ่งจะช่วยให้หลับได้ง่ายและเร็วขึ้น รวมถึงช่วยให้ลดจำนวนครั้งของการตื่น ทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้แนะนำให้คอยสังเกตอาการข้างเคียงของยานอนหลับ ดังนี้ คือ จะมีอาการง่วงซึม จึงไม่ควรจะขับขี่รถยนต์หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร อาจมีอาการลืมเหตุการณ์หลังจากใช้ยาในระยะเวลาสั้นๆช่วงหนึ่ง
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        3 ต.ค 2565
        นางเจียมจิตดุลสำลี อายุ 74ปี
        
        ไม่มีอาการที่บ่งชี้ว่านอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เช่น หาวบ่อย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มีนงง ขอบตาเขียวคล้ำ
        
        งีบหลับในช่วงเวลาหลัง 15.00 น ไม่เกิน 1 ชั่วโมง
        
        สามารถนอนหลับลึก 6-8 ชั่วโมง
        
        ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีการส่งเสริมและปฏิบัติตน เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถนอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย ได้คะแนนอย่างน้อย 3 ข้อขึ้นไปในจำนวนเต็ม 5 ข้อ
        
        ผลการประเมินตามแบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) ได้ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 คะแนน
    - - นางเจียมจิต ดุลสำลี อายุ 74 ปี
        S = ผู้สูงอายุบอกว่า “ในช่วงเริ่มนอนจะนอนไม่หลับในบางครั้ง มีการทานยานอนหลับ หากมีการนอนไม่หลับเกิน 2 ชั่วโมงกล่าวคือ ปกติจะนอนในเวลา 22.00 น. แต่ถ้าเที่ยงคืนแล้วยังไม่หลับจะทานยานอนหลับ แต่ทาน ยานอนหลับไม่บ่อย ตื่นกลางดึกในช่วงตีสาม และไม่สามารถนอนต่อได้ มีการปัสสาวะในเวลากลางคืน ไม่เคยมีฝันร้าย มีอาการหนาวบ้างในตอนกลางคืน ต้องใช้เวลาประมาณ 30-1 ชั่วโมง ตั้งแต่เข้านอนจนหลับ ไม่ทราบว่าเวลากลางคืนกรนหรือไม่ เนื่องจากนอนคนเดียว”
        O = ผลการประเมินตามแบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) ได้ 12 คะแนนผู้สูงอายุมีการนอนหลับไม่ดี
    - - ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถพักผ่อนนอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  - - - ประเมินผล
        : ผู้สูงอายุมีสีหน้าท่าทางที่สดชื่นมากขึ้น ไม่มีบ่นถึงอาการปวด นอนหลับพักผ่อนได้ 8 ชั่วโมง
        : ผลการประเมินความปวด (Numerical Scale) 1 คะแนน
    - - เกณฑ์การประเมิน
        : ผู้สูงอายุมีสีหน้าท่าทางที่สดชื่น ผ่อนคลาย สามารถนอนหลับพักผ่อนได้สนิท 7-8 ชั่วโมง ไม่มีบ่นถึงอาการปวด
        : ผลการประเมินความปวด (Numerical Scale) ≤ 3 คะแนน
  - - - ประเมินผล
        
        ไม่อาการและอาการแสดงของการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ได้แก่ มีไข้สูง ปวดท้องน้อย ตกขาว ผิดปกติช่องคลอดมีกลิ่น มีแผลเรื้อรังหรือหูดบริเวณอวัยวะเพศ ปัสสาวะบ่อยและ/หรือแสบขัด เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
        
        มีความสุขสบาย สามารถนอนหลับได้ดี ไม่มีอาการนั่งกระสับกระส่าย เนื่องจากมีอาการคันในช่องคลอด
        
        ผู้สูงอายุสามารถบอกถึงวิธีการดูแลอวัยวะเพศได้ถูกต้องร้อยละ 90
  - - - การประเมินผล
        1 หลังจากการให้ความรู้ ผู้สูงอายุมีอาการไอดีขึ้น ไม่บ่นว่ารู้สึกรำคาญ
        2 ไม่พบอาการเจ็บคอ เจ็บหน้าอก แต่พบอาการปัสสาวะเล็ด ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมตาวัย
        3 ผู้สูงอายุมีอาการไอลดลง แต่นอนไม่ค่อยหลับซึ่งอาจเป็นผลจากอาการ LONG COVID-19 หรืออาจเกิดจาการเสื่อมตามวัย
        4 ผู้สูงอายุอธิบายว่าหากมีอาการไอก็จิบน้ำอุ่น ลดการทานของมัน ไม่ทานของเย็นที่กระตุ้นให้เกิดอาการไอ
  - - - ประเมินผล
        : ผู้สูงอายุมีความวิตกกังวลลดน้อยลง มีสีหน้าท่าทางที่สดชื่นมากขึ้น
        : ผลประเมินความเครียดกรมสุขภาพจิต (ST-5) 0 คะแนน
    - - เกณฑ์การประเมิน
        : ผู้สูงอายุมีสีหน้าท่าทางที่สดชื่น ผ่อนคลาย สามารถนอนหลับพักผ่อนได้สนิท 7-8 ชั่วโมง
        : ผลประเมินความเครียดกรมสุขภาพจิต (ST-5) < 2 คะแนน