Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 โภชนาการของบุคคลในภาวะปกติ - Coggle Diagram
บทที่ 6 โภชนาการของบุคคลในภาวะปกติ
โภชนาการสำหรับผู้ใหญ่ (Nutrition in Adult)
โภชนาการในวัยผู้ใหญ่
การทำงานของเซลล์จะลดลงขึ้นอยู่กับภาวะโภชนาการและความแข็งแรงของร่างกาย
ผู้ที่มีภาวะโภชนาการดี สามารถทำให้อายุขัยยืนยาว
ไม่มีการเสริมสร้างเพื่อการเจริญเติบโต แต่ยังมีการเสริมสร้างเซลล์ต่างๆ
เมือ่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป จะมีปัญหาเรื่อง น้ำหนักเกินทำให้เกิดโรคต่างๆ
ความต้องการสารอาหารในวัยผู้ใหญ่
พลังงาน
ผู้ชายต้องการพลังงานมากกว่าผู้หญิง
พลังงานทั้งหมด = คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 55 + โปรตีนร้อยละ 15 + ไขมันร้อยละ 30
โปรตีน
ควรได้รับโปรตีนวันละ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
วิตามินและเกลือแร่
แคลเซียมและฟอสฟอรัสต้องการน้อยลงเหลือ 800 mg/day ไม่มีการสร้างกระดูกเพิ่มขึ้น
ผู้ชายต้องการเหล็กลดลงเหลือ 10.4 ผู้หญิงต้องการเท่าเดิมจนกว่าถึงวันหมดประจำเดือน
น้ำ
ต้องการประมาณ 1,500-2,000 ml/day
ตัวอย่างเมนูอาหารสำหรับวัยผู้ใหญ่ (2,000 kcal)
อาหารเช้า (ให้พลังงาน 504 kcal)
ข้าวสวย 1 1/2 ถ้วยตวง
ไก่ทอด
ไก่สันใน 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนชา
ชมพู่ 2 ผล
ต้มจืดเลือดหมูตำลึง
ตำลึง 1/2 ถ้วยตวง
เลือดหมู 2 ช้อนโต๊ะ
หมูสับไม่ติดมัน 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันกระเทียมเจียว 1 ช้อนชา
อาหารกลางวัน
อาหารกลางวัน (ให้พลังงาน 529 kcal)
ผัดเซียงไฮ้ทะเล
ปลาหมึก 2 ช้อนโต๊ะ
คะน้า 1/2 ถ้วยตวง
กุ้ง 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนชา
เส้นเซียงไฮ้ 2 ถ้วย
กล้วยหอม 1 ผล
อาหารว่างบ่าย (ให้พลังงาน 256 kcal)
ขนมซ่าหริ่ม 1 ถ้วย
กะทิ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเชื่อม 2 ช้อนโต๊ะ
แป้ง 1 ถ้วย
อาหารเย็น
อาหารเย็น (ให้พลังงาน 574 kcal)
ต้มยำปลากะพง 1 ถ้วย
เห็ดฟาง 1/2 ถ้วยตวง
ปลากะพง 1 ถ้วย
ผัดผักรวม 1 จาน
ผักรวม 1 ถ้วยตวง
น้ำมันพืช 2 ช้อนชา
ข้าวสวย 1 จาน
ส้มโอ 2 กลีบ
อาหารว่าง (ให้พลังงาน 120 kcal)
นมพร่องมันเนย 1 กล่อง
วัยทอง (Golden period)
คุณลักษณะ
มีการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์
อาจมีอาการกระดูกพรุน กระดูกเปราะ หักง่าย
มีอาการร้อนวูบวาบ
มีอาการของระบบหัวใจและหลอดเลือด
หมายถึง วัยหมดประจำเดือน (Menopausal period)
อาหารของสตรีวัยทอง
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
น้ำตาล >> ลดการกักเก็บวิตามินB complex & แร่ธาตที่จำเป็น >> อาการตึงเครียด
เนื้อสัตว์ติดมัน >> อ้วน
แอลกอฮอล์ เพราะจะกดประสาทส่วนกลาง ทำให้ เหนื่อยล้า และซึมเศร้า
เครื่องในสัตว์ >> โรคข้ออักเสบ
อาหารที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เป็นต้น
อาหารที่มีเกลือ & อาหารที่มีโซเดียมสูง >> อาการบวม และความดันโลหิตสูง
อาหารที่ควรรับประทาน
ถั่ว
บรรเทาอาการช่องคลอดแห้ง และโรคกระดูกพรุนได้
มี Phytoestrogen
บรรเทาอาการปวดประจำเดือนมาผิดปกติ
เป็นแหล่งโปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามิน B complex สังกะสีและเหล็ก
เมล็ดธัญพืชทั้งเปลือก
ควบคุมระดับ Cholesterol & estrogen
เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนัง ช่องคลอด เยื่อบุช่องคลอด
มี Phytoestrogen และเส้นใยสูง
เมล็ดฟักทอง เมล็ดงา เมล็ดทานตะวัน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส และกรดไลโนเลอิก
โภชนาการสำหรับวัยผู้สูงอายุ (Nutrition in the elderly)
การเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุที่มีผลต่อภาวะโภชนาการ
การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำใส้ลดลง >> ท้องผูก ย่อยโปรตีนได้น้อยลง
ประสิทธิภาพการเผาผลาญกลูโคสลดลง >> ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
ภาวะสุขภาพปากและฟัน >> ฟันผุหรือไม่มีฟัน / ต่อมน้ำลายลดลง
การทำงานของระบบไหลเวียนและไตลดลง >> ความสามารถในการขับของเสียลดลง
การทำงานของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ลดลง >> ลดลงเมื่ออายุ 60 ปี และรุนแรงขึ้นเมื่อ 70 ปี
เนื้อกระดูกลดลงเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป >> กระดูกหักง่าย
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคม >> ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวจะรับประทานอาหารได้น้อยลง
กล้ามเนื้อ อวัยวะต่างๆ และเนื้อเยื่อกระดูกลดลง >> โปรตีนในร่างกายลดลง
ความต้องการสารอาหารในผู้สูงอายุ
วิตามินA / วิตามินD / วิตามินE / วิตามินK / วิตามินC / วิตามินB6 / วิตามินB12
คาร์โบไฮเดรต
ควรได้รับร้อยละ 55 ของพลังงานทั้งหมด
ไขมัน
ไม่ควรเกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด
โปรตีน
ควรได้รับ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 Kg/day
พลังงาน
ผช=ไม่เกินวันละ 2,250 kcal / ผญ=ไม่เกินวันละ 1,850 kcal
แคลเซียม
สำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือนวันละ 1,000-1,500 mg
เหล็ก
ชายและหญิงต้องการ วันละ 10 mg
สังกะสี
ผู้สูงอายุชายและหญิง ต้องการ วันละ 15 mg
โฟเลต
ชายและหญิงต้องการวันละ 175 และ 150 μg
โภชนาการสำหรับหญิงตั้งครรภ์
(Nutrition for pregnant women)
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระของหญิงตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
(estrogen และ progesterone เพิ่ม)
การเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของเลือด
เมื่อครรภ์ใกล้ครบกำหนด ปริมาตรของเลือดจะเพิ่ม
ประมาณร้อยละ 45
มีการเพิ่มขึ้นของ plasma มากกว่า เม็ดเลือดแดง >> เม็ดเลือดมีความเข้มข้นลดลง >> ค่า Heamoglobin และHeamatocrit น้อย >> ภาวะซีด / ภาวะโลหิตจาง
มดลูกเพิ่มความจุ (จาก 10 มล. >> 5 ลิตร / น้ าหนัก
จาก 70 กรัม >> 1,100 กรัม)
การเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหาร
ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง >> กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนไหวน้อยลง >> น้ำย่อยหลั่งน้อยลง >> แน่นท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน มีการย้อนกลับของน้ าย่อยเข้าสู่หลอดอาหารทำให้มีอาการแสบยอดอก (Heartburn)
ในระยะ 2-3 เดือนก่อนคลอด >> มีอาการท้องผูกเนื่องจากทารกในครรภ์มีขนาดใหญ่ไป
กดทับลำไส้ ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้น้อย
หญิงตั้งครรภ์มักกินอาหารที่มีกากใยน้อย และออกกำลังกายไม่พียงพอ
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
อาการคลื่นไส้อาเจียน
เรียกว่า “อาการแพ้ท้อง” (morning sickness)
เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
เกณฑ์การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวที่เหมาะสมในหญิงตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ าหนักตัวปกติ และวางแผนที่จะให้นมบุตรหลังคลอด :
ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 12 kg
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นวัยรุ่น (อายุ <18 ปี) หรือหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าร้อยละ 90ของน้ำหนักมาตรฐาน : ควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 14-15 kg
หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกิน : ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 10 kg
หญิงตั้งครรภ์ที่มีลูกแฝด : ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 18 kg
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคอ้วน : ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 7-8 kg
ความต้องการสารอาหารในหญิงตั้งครรภ์
แคลเซียม
ควรได้รับแคลเซียม วันละ 1,200 mg เพิ่มจากปกติซึ่งได้รับ 800 mg/day
ธาตุเหล็ก
ควรกินควบคู่กับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพื่อช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก
โปรตีน
แนะนำให้กินอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ 10-14 กรัมต่อวัน
ไอโอดีน
ควรได้รับไอโอดีนวันละ 175 μg
สารอาหารที่ให้พลังงาน
หญิงมีครรภ์ต้องการพลังงานเพิ่ม 80,000 kcal หรือประมาณ 300
กิโลแคลอรี่ต่อวัน (วันละ 2,050 kcal)
คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน
วิตามิน C
ควรได้รับวิตามิน C เพิ่มเป็นวันละ 80 mg
วิตามิน A
ควรได้รับวิตามินเอวันละ 800 μgRE
วิตามิน B6
ควรได้รับวิตามิน B6 เพิ่มจากเดิมวันละ 0.6 mg เป็นวันละ 2.6 mg
วิตามิน D
ในระยะตั้งครรภ์ร่างกายต้องการวิตามิน D วันละ 10 mg
โฟเลท
ควรได้รับโฟเลทวันละ 500 μg (เพิ่มจากปกติซึ่งได้รับ 150 μg)
โภชนาการสำหรับหญิงหลังคลอดและให้นมบุตร (Nutrition for lactating women)
ความต้องการของสารอาหารในระยะให้นมบุตร
พลังงาน
ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 500 kcal ต้องใช้พลังงานประมาณ 85 kcal ต่อน้ำนม 100 มล.
โปรตีน
ควรได้รับโปรตีน เพิ่มขึ้น 25 g/day ใช้ผลิตน้ำนมและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ
แคลเซียม
ใน 1 วัน ควรได้รับแคลเซียม 1,200 mg/day เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแคลเซียมเพียงพอ
ธาตุเหล็ก
ระยะให้นมบุตรแม่จะต้องการธาตุเหล็กจากอาหารวันละ 15 mg
ไอโอดีน
ควรได้รับไอโอดีน เพิ่มอีกวันละ 50 μg ป้องกันการขาดและให้ทารกได้รับไอโอดีนที่เพียงพอ
วิตามิน
วิตามิน A
ควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 375 μg
วิตามิน D
ควรได้รับในปริมาณที่ปกติเท่ากับก่อนตั้งครรภ์ คือ 5 μg
วิตามิน B1
ควรได้รับเพิ่มอีก 0.3 mg
วิตามิน B2
ควรได้รับเพิ่มอีก 0.5 mg
วิตามิน C
ควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 35 mg
โฟเลท
ระยะให้นมบุตร ต้องการวันละ 500 μg
น้ำ
แม่ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น วันละ 8-10 แก้วเพื่อให้การหลั่งน้ำนมมากขึ้น
โภชนาการสำหรับหญิงหลังคลอดและให้นมบุตร
ความต้องการวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น วิตามิน A, C,B6, folate
อาจพบแร่ธาตุในมวลกระดูกลดลง เช่น Ca, P
อาหารของแม่ในระยะให้นมบุตรคล้ายกับระยะตั้งครรภ์ **แต่เพิ่มปริมาณขึ้นเพราะทารกต้องการสารอาหารมากกว่าตอนอยู่ในท้อง
ปัญหาโภชนาการในหญิง
ให้นมบุตร
นิสัยการบริโภคไม่ดี
ความยากจน
ขาดความรู้ด้านโภชนาการ
ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารแสลง
แนวทางการบริโภคอาหารของหญิงให้นมบุตร
ประเภทของอาหาร
ผลไม้อย่างน้อยวันละ 6 ส่วน
รับประทานผักอย่างน้อยวันละ 6 ทัพพี
ดื่มนมสดอย่างน้อยวันละ 2 แก้วหรือมากกว่า
ไขมันหรือน้ำมัน ควรรับประทานวันละ 3 ช้อนโต๊ะ
เนื้อสัตว์ >> ควรเป็นเนื้อสัตว์ไม่ติดมันหรือมีมันน้อย
ข้าวและแป้งชนิดต่างๆ ควรได้รับวันละ 9-10 ทัพพี
ข้อแนะนำเกี่ยวกับอาหารในหญิงให้นมบุตร
กินอาหารครบ 5 หมู่ และปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยง
การกินขนมหวานต่างๆ อาหารทอด อาหารมัน
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ
ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทานยา
พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
โภชนาการสำหรับวัยทารก
(Nutrition in infancy)
โภชนาการของวัยทารก
ทารกเป็นระยะที่ร่างกายเติบโตอย่างรวดเร็ว
เมื่ออายุ 4-5 เดือน ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด
เมื่ออายุ 1 ปี น้ำหนักควรเพิ่มเป็น 3 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด
การได้รับอาหารที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโต
ความต้องการสารอาหารในทารก
แรกเกิด-6 เดือนแรก ทารกได้พลังงานและสารอาหารจากนมแม่อย่างเดียว
หลังจาก 6 เดือนถึงขวบปีแรก ทารกจะได้รับพลังงานและสารอาหารจากอาหารอื่นร่วมกับนมแม่
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
มีคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารครบถ้วน ย่อยง่าย
สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อภาวะภูมิแพ้
ทำให้ทารกเจริญเติบโตอย่างเต็มที่
มีผลดีต่อจิตใจแม่และลูก
ทำให้มดลูกของแม่เข้าอู่เร็ว
ช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางสมองและสติปัญญา
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ช่วยให้ประหยัด
อาหารที่ให้สำหรับทารกใน 1 วัน
อายุ 6 เดือน
ผักบดครึ่งช้อนกินข้าว
ผลไม้สุก 2 ชิ้น หรือกล้วยน้ำว้าสุก 1 ผล
ไข่แดงครึ่งฟอง สลับกับตับบด 1 ช้อนกินข้าว หรือ เนื้อปลาบด 2 ช้อนกินข้าว
กินนมแม่ตามจนอิ่ม
ข้าวบดละเอียด 3 ช้อนกินข้าว
นมแม่และอาหาร 1 มื้อ ผลไม้เป็นอาหารว่าง
อายุ 7 เดือน
ผักบด 1 1/2 ช้อนกินข้าว
นมแม่และอาหาร 1 มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง
ไข่ทั้งฟอง สลับกับเนื้อปลา 2 ช้อนกินข้าว หรือเนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว
กินแม่ตามจนอิ่ม
ผลไม้สุก 2-3 ชิ้น หรือส้ม 1 ผล
ข้าวบดละเอียด 4 ช้อนกินข้าว
อายุ 8-9 เดือน
ข้าวสุกนิ่มๆ 5 ช้อนกินข้าว
ผลไม้สุก 2-3 ชิ้น หรือส้ม 1 ผล
ไข่ทั้งฟอง และเนื้อปลา 2 ช้อนกินข้าว หรือเนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว
นมแม่และอาหาร 2 มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง
กินนมแม่ตามจนอิ่ม
ผักบด 2 ช้อนกินข้าว
อายุ 10-12 เดือน
ข้าวสุกนิ่มๆ 5 ช้อนกินข้าว
ไข่ทั้งฟอง และเนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว หรือตับ 1 ช้อนกินข้าว
นมแม่และอาหาร 3 มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง
ผลไม้สุก 3-4 ชิ้น หรือกล้วยน้ำว้า 1 ผล
กินแม่ตามจนอิ่ม
ผักบด 2 ช้อนกินข้าว
ความพร้อมในการให้อาหารสำหรับทารก
ความพร้อมของระบบทางเดินอาหาร
ความพร้อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
มีความพร้อมในการกิน / สามารถควบคุมการทรงตัวของศีรษะและลำตัวได้ดี
ความพร้อมของไต
อัตราการกรองของไตของทารก = ร้อยละ 15 ของผู้ใหญ่
ข้อแนะนำการให้อาหารสำหรับทารก
ให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน ไม่ต้องให้อาหารอื่นแม้แต่น้ำ
เริ่มให้อาหารเสริมเมื่ออายุครบ 6 เดือน เต็มควบคู่ไปกับนมแม่
เมื่อลูกอายุ 10-12 เดือน ให้อาหารที่มีคุณภาพและครบ 5 หมู่ทุกวัน
เนื้อสัมผัสอาหารจัดให้เหมาะสมกับพัฒนาการของทารก
ให้อาหารรสธรรมชาติหลีกเลี่ยงการปรุงแต่งรส
อาหารต้องสะอาดและปลอดภัย
ให้ดื่มน้ำสะอาด งดเครื่องดื่มรสหวานและน้ำอัดลม
เล่นกับลูกสร้างความผูกพัน
หมั่นติดตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูก
การแพ้อาหารในทารก
เด็กอายุต่ำกว่าอายุ 7 เดือน แพ้ไข่ขาว
การแพ้สารกลูเตน พบในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน
การแพ้โปรตีนในนมวัวมักเกิดในช่วงอายุ 1-4 เดือน
แพ้นมผสม ถั่วลิสง ช็อกโกแลต หรืออาหารทะเล
การเลือกอาหารสำหรับทารก
กินไขมันให้เพียงพอ
กินผักผลไม้ทุกวันและกินให้หลากหลายชนิดโดยเฉพาะผักใบเขียวและผักสีส้ม
กินเนื้อสัตว์ทุกวัน เนื้อสัตว์ต่างๆ
ให้นมแม่ต่อเนื่องถึงอายุ 2 ปี
เด็กอายุ 1-2 ปี ควรเสริมด้วยนมดัดแปลงสูตรต่อเนื่องหรือนมวัวรสจืด วันละ 2 แก้ว
กินอาหารรสธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง
ใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหาร เพื่อเป็นแหล่งพลังงานและกรดไขมันที่จำเป็น
ไม่ควรให้อาหารรสหวานจัด มันจัด เค็มจัด
เลือกอาหารว่างที่มีคุณภาพ ประกอบด้วยอาหารหลายหมู่ หรือผลไม้ตามฤดูกาล
หลีกเลี่ยง ขนมที่มีรสหวานจัด มันจัดเค็มจัด และขนมที่เหนียวติดฟัน
โภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน
(Nutrition in pre-school children)
โภชนาการของเด็กวัยก่อนเรียน
เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองช้ากว่าในวัยทารก
หากขาดสารอาหาร จะทำให้ความเจริญเติบโตหยุดชะงัก ร่างกายอ่อนแอ
เด็กวัยนี้เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร
การสร้างนิสัยการรับประทานอาหารที่ดีแก่เด็กก่อนวัยเรียน
รสชาติต้องจืด อร่อย ไม่เค็มจัด หรือหวานจัดเกินไป
สร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่ดี
จัดอาหารให้น่ารับประทานเพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจในการรับประทานอาหาร
หาเทคนิคหรือวิธีการจูงใจให้เด็กรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการเตรียมโต๊ะอาหาร
ไม่ควรให้รางวัลจูงใจให้เด็กรับประทานอาหาร
พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีโดยกินอาหารที่มีคุณค่า
ฝึกมารยาทในการรับประทานอาหาร
โภชนาการสำหรับเด็กวัยเรียน
(Nutrition in school-age children)
โภชนาการของเด็กวัยเรียน
เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากเด็กก่อนวัยเรียน
อัตราการเจริญเติบโตในช่วงวัยเรียนตอนต้นจะเป็นไปอย่างช้าๆ ในช่วงวัยเรียนตอนปลายอัตราการเจริญเติบโตของร่างกายจะสูงมากอีกครั้ง
เพศหญิง เริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่น เมื่ออายุ 10 ปี เร็วกว่าเพศชายประมาณ 2 ปี
การเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ สมอง และระบบประสาทจะไม่มีการเจริญเติบโตเพิ่มขนาดแต่จะมีพัฒนาการด้านการเสริมสร้างเชาวน์ปัญญา
พฤติกรรมการกินที่เป็นปัญหาของเด็กวัยนี้
กินอาหารไม่เป็นเวลา มัวแต่เล่นจนลืมกิน
เลือกกินอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ
จะไม่ลองกินอาหารที่ไม่เคยกิน
ข้อปฏิบัติในการจัดอาหารเด็กวัยเรียน
ฝึกวินัยในการรับประทานอาหารให้เป็นเวลา
ฝึกให้เด็กรู้จักความพอดีในการรับประทานอาหารแต่ละประเภท
ควรให้เด็กเป็นผู้เสนอรายการอาหารบ้าง เพื่อให้รู้สึกถึงการมีส่วนร่วม
ควรมีอาหารสำรองไว้บ้าง เป็นอาหารที่เตรียมได้ง่ายๆ แต่มีประโยชน์
จัดอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในแต่ละวัน โดยมีปริมาณพอเหมาะกับความต้องการ
โภชนาการสำหรับวัยรุ่น
(Nutrition in adolescents)
โภชนาการสำหรับวัยรุ่น
วัยรุ่นชายจะรับประทานอาหารมากกว่าวัยรุ่นหญิง
ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายอย่าง
การสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ มากขึ้น
กระดูกขนาดใหญ่ขึ้นทำให้ร่างกายสูงขึ้น น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
ต่อมไร้ท่อต่างๆ ทำงานมากขึ้น
ทำให้ความต้องการสารอาหารมากขึ้น
วัยรุ่นจะรู้สึกหิวบ่อยและรับประทานอาหารมากขึ้น
ความต้องการสารอาหารของวัยรุ่น
พลังงาน
วัยรุ่นชายควรได้รับพลังงาน 2,300-2,400 kcal/วัน
วัยรุ่นหญิงควรได้รับพลังงาน 1,850-2,000 kcal/วัน
โปรตีน
ปัจจุบันมีการกำหนดความต้องการโปรตีนตามความสูงของวัยรุ่น
ควรได้รับโปรตีนอย่างน้อยวันละ 1-2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 kg
น้ำ
ควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว
วิตามิน
วิตามิน A =ใช้ในการเจริญเติบโตและคงสภาพเยื่อบุต่างๆ
วิตามิน B2 = เป็นเอนไซม์ในการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย
วิตามิน C = เป็นส่วนประกอบของเซลล์ใช้ในการสร้างคอลลาเจน
ความสำคัญของอาหารในเด็กวัยรุ่น
กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ
เด็กวัยรุ่นที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
ควรกินอาหารทุกมื้อและถูกต้องตามหลักโภชนาการ
ควรจำกัดอาหารที่ให้พลังงานมาก และให้ประโยชน์น้อย
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
เกลือแร่
ธาตุเหล็ก >> ร่างกายต้องการเหล็กมากขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงในระยะมีประจำเดือน
ไอโอดีน >> ต่อมไธรอยด์มีการผลิตฮอร์โมนมากขึ้น >> ต้องการไอโอดีนมากขึ้น
แคลเซียมและฟอสฟอรัส