Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 โภชนาการของบุคคลในภาวะปกติ, image, image, image, 282854574…
บทที่ 6
โภชนาการของบุคคลในภาวะปกติ
โภชนาการสำหรับหญิงตั้งครรภ์
(Nutrition for pregnant women)
โภชนาการสำหรับหญิงตั้งครรภ์
▪ การตั้งครรภ์เป็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในภาวะปกติตามธรรมชาติ
▪ ไม่ใช่การเจ็บป่วย แต่มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายอย่าง
▪ มีการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ เพิ่มมากขึ้นทำให้ร่างกายต้องการสารอาหารมากขึ้น
▪ หากได้รับอาหารไม่เพียงพอ >> มีผลเสียต่อมารดาและทารกในครรภ์
การเตรียมความพร้อมด้านโภชนาการระหว่างการตั้งครรภ์
เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 250-300 กิโลแคลอรี
ไตรมาสที่ 3 ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นถึง 450-500 กิโลแคลอรี
เพิ่มอาหารมื้อว่างที่มีประโยชน์วันละ 1-2 มื้อ เช่น นม 1 แก้ว หรือผลไม้ 1 จานเล็ก สำหรับช่วงไตรมาสแรก
ไตรมาสที่ 2 และ 3 ก็เพิ่มขนาดของอาหารมื้อว่างนั้นให้ใหญ่ขึ้น เช่น แซนด์วิชไข่ ซาลาเปาหมูสับ มันและฟักทองนึ่ง หรือสลัดผลไม้ ในช่วงมื้อว่างระหว่างวัน ก็จะทำให้ได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับเกณฑ์ที่กำหนด
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระของหญิงตั้งครรภ์
มดลูกเพิ่มความจุ (จาก 10 มล. >> 5 ลิตร / น้ำหนัก
จาก 70 กรัม >> 1,100 กรัม)
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
(estrogen และ progesterone เพิ่ม)
การเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของเลือด
เมื่อครรภ์ใกล้ครบกำหนด ปริมาตรของเลือดจะเพิ่ม
ประมาณร้อยละ 45
มีการเพิ่มขึ้นของ plasma มากกว่า เม็ดเลือดแดง >>เม็ดเลือดมีความเข้มข้นลดลง >> ค่า Heamoglobin และ
Heamatocrit น้อย >> ภาวะซีด / ภาวะโลหิตจาง
การเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหาร
ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง >>กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนไหวน้อยลง>> แน่นท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน มีการย้อนกลับของน้ำย่อยเข้าสู่หลอด
อาหารทำให้มีอาการแสบยอดอก (Heartburn)
ความต้องการสารอาหารขณะตั้งครรภ์
สารอาหารที่ให้พลังงาน
คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน (จากเนื้อสัตว์ นม ไข่ ข้าว)
ควรหลีกเลี่ยง
ขนมหวานจัด น้ำอัดลม อาหารที่มีไขมันมาก ได้แก่ อาหารทอด หมูติดมัน
กะทิ (ให้พลังงานสูง >> น้ าหนักเพิ่มมากเกินไป)
สารอาหารที่ให้โปรตีน (Protein)
ควรได้จากสัตว์ประมาณ 2 ใน 3 ของโปรตีนที่ได้ทั้งหมด
เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบ ได้แก่ เนื้อ นม ไข่ และปลา
สารอาหารที่ให้แคลเซียม (Calcium)
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับแคลเซียม วันละ 1,200 mg เพิ่มจากปกติซึ่งได้รับ 800 mg/day
อาหารที่ให้แคลเซียมสูง ได้แก่ นม กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลือง เต้าหู้ เป็นต้น
ธาตุเหล็ก (Iron)
ต้องการเหล็กเพิ่มมากขึ้นเพื่อใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดงและสะสมไว้ใช้สำหรับแม่ในระยะคลอด
อาหารที่มีเหล็ก ได้แก่ ตับ ม้าม ไต เลือด ไข่แดง เนื้อแดง ผักใบเขียว
ไอโอดีน (Iodine)
ระหว่างตั้งครรภ์ต่อมไทรอยด์จะทำงานมากขึ้น >> ความต้องการไอโอดีนเพิ่มขึ้น
ถ้าได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอ >> แม่เป็นโรคคอพอก >>ทารกขาดไอโอดีน >> มีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย >> ทารกที่เกิดมาตัวเล็กแกร็นและมีสติปัญญาต่ำ (Cretinism)
อาหารที่มีไอโอดีนสูง ได้แก่ อาหารทะเลต่างๆ / ควรใช้เกลือชนิดที่มีไอโอดีนในการปรุงอาหารทุกวัน
โฟเลท (Folate)
การขาดโฟเลท
>> การเจริญเติบโตของเซลล์และการแบ่งเซลล์บกพร่อง >> เป็นสาเหตุที่ทำให้ทารกมีความผิดปกติแต่กำเนิด
อาหารที่มีโฟเลทสูง ได้แก่ ผลไม้ ผักใบเขียว ถั่ว
วิตามิน B6
ควรได้รับวิตามิน B6 เพิ่มจากเดิมวันละ 0.6 mg เป็นวันละ 2.6 mg
ช่วยในการเผาผลาญและสังเคราะห์กรดอะมิโน ช่วยสังเคราะห์ heme
วิตามิน C
ควรได้รับวิตามิน C เพิ่มเป็นวันละ 80 mg
การขาดวิตามิน C
มีความสัมพันธ์กับการเกิดครรภ์เป็นพิษ (preeclampsia)
แนวทางการบริโภคอาหารของหญิงตั้งครรภ์
เนื้อสัตว์
ควรได้รับเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อ หมู ปลา กุ้ง หอย ไก่หรือเป็ด วันละ 120-180 กรัม
หญิงตั้งครรภ์ที่กินมังสวิรัติควรบริโภคถั่วเหลืองหรือเต้าหู้แทนเนื้อสัตว์
นม
ควรดื่มนมไขมันต่ำวันละ 1-2 แก้ว หรือดื่มนมถั่วเหลืองแทน
ไข่
ควรกินไข่วันละ 1 ฟองเป็นประจ า
ผลไม้
ผลไม้ที่ควรกินเป็นประจำ ได้แก่ มะละกอสุก สับประรด กล้วย เป็นต้น
ผัก
ควรกินผักใบเขียวทุกวัน เช่น ผักบุ้ง ผักตำลึง ผักคะน้า ฟักทอง
ถั่วเมล็ดต่างๆ
ควรกินถั่วที่สุกวันละ 1/2 ถ้วยตวง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วลิสง
ไขมันหรือน้ำมัน
ควรบริโภคในระดับปานกลาง
น้ำ
ควรดื่มน้ำวันละ 1,500-2,000 มล.หรือ 6-8 แก้ว
โภชนาการสำหรับหญิงหลังคลอดและให้นมบุตร
(Nutrition for lactating women)
โภชนาการสำหรับหญิงหลังคลอดและให้นมบุตร
▪ อาหารของแม่ในระยะให้นมบุตรคล้ายกับระยะตั้งครรภ์**แต่เพิ่มปริมาณขึ้นเพราะทารกต้องการ
สารอาหารมากกว่าตอนอยู่ในท้อง
▪ ความต้องการวิตามินและแร่ธาตุ
บางชนิดเพิ่มขึ้นเช่น วิตามิน A, C,
B6, folate เป็นต้น
▪ อาจพบแร่ธาตุในมวลกระดูกลดลง
เช่น Ca, P
ความต้องการของสารอาหารในระยะให้นมบุตร
พลังงาน
▪ ควรกินอาหารประเภท ข้าว / แป้ง / เนื้อสัตว์ / นม / ไข่ เป็นส่วนใหญ่
▪ ควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่มีไขมันมาก ของหวาน กะทิ เพราะให้พลังงานสูง
โปรตีน (Protein)
▪ ควรได้รับโปรตีน เพิ่มขึ้น 25 g/day >> ใช้ผลิตน้ำนมและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ของแม่ที่สูญเสียไประหว่างคลอด
▪ ควรเลือกโปรตีนคุณภาพดี ไขมันต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ถั่ว เต้าหู้ ไข่ นม
แคลเซียม (Ca)
▪ แม่จะต้องการแคลเซียมมากเพื่อใช้ในการสร้างน้ำนมสำหรับทารก
▪ ใน 1 วัน ควรได้รับแคลเซียม 1,200 mg/day เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแคลเซียมเพียงพอ
▪ ถ้าแม่ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ >> แคลเซียมจากกระดูกของแม่จะถูกดึงมาใช้
ธาตุเหล็ก (Iron)
▪ ระยะให้นมบุตรแม่จะต้องการธาตุเหล็กจากอาหารวันละ 15 mg
▪ เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ไข่ ผักใบเขียว
ไอโอดีน (Iodine)
▪ แม่ควรได้รับไอโอดีนให้เพียงพอ >> ป้องกันการขาดและให้ทารกได้รับไอโอดีนที่เพียงพอ
▪ แม่ควรได้รับไอโอดีน เพิ่มอีกวันละ 50 μg
วิตามิน (Vitamins)
▪ วิตามิน A เป็นส่วนประกอบที่ส าคัญของน้ านม แม่ควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 375 μg
(ไข่แดง ตับสัตว์ ผักใบเขียว ผักสีเหลือง)
▪ วิตามิน D ควรได้รับในปริมาณที่ปกติเท่ากับก่อนตั้งครรภ์ คือ 5 μg (ไข่แดง ตับปลา)
▪ วิตามิน B1 ควรได้รับเพิ่มอีก 0.3 mg (เนื้อหมู ถั่วเมล็ดแห้ง)
▪ วิตามิน B2 ควรได้รับเพิ่มอีก 0.5 mg
(เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ ถั่ว ผักใบเขียว)
▪ วิตามิน C ควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 35 mg
(ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว)
โฟเลท (Folate)
▪ ระยะให้นมบุตร ต้องการวันละ 500 μg
▪ ช่วยสังเคราะห์โปรตีนและสารพันธุกรรม
▪ ช่วยฟื้นฟูเซลล์และผลิตเซลล์ใหม่ในร่างกาย
▪ จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดงป้องกันโรคโลหิตจาง
▪ ตับ ผักใบเขียว บร็อคโครี่ มันเทศ ขนมปังที่ทำจากข้าวสาลี
น้ำ (Water)
▪ แม่ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น วันละ 8-10 แก้ว
▪ เพื่อให้การหลั่งน้ำนมมากขึ้น
ปัญหาโภชนาการในหญิง
ให้นมบุตร
ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารแสลง
ความยากจน
นิสัยการบริโภคไม่ดี
ขาดความรู้ด้านโภชนาการ
แนวทางการบริโภคอาหารของหญิงให้นมบุตร
ประเภทของอาหาร
▪ เนื้อสัตว์ >> ควรเป็นเนื้อสัตว์ไม่ติดมันหรือมีมันน้อย เช่น เนื้อปลา ไก่ หมู
▪ ดื่มนมสด อย่างน้อยวันละ 2 แก้วหรือมากกว่า
▪ รับประทานผัก อย่างน้อยวันละ 6 ทัพพี
▪ ผลไม้ เช่น ส้ม มะละกอสุก สับประรด ฝรั่ง กล้วย อย่างน้อยวันละ 6 ส่วน
▪ ไขมันหรือน้ำมัน ควรรับประทานวันละ 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลไม่เกินวันละ 5 ชัอนชา
ข้อแนะนำเกี่ยวกับอาหารในหญิงให้นมบุตร
▪ กินอาหารครบ 5 หมู่ และปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
▪
หลีกเลี่ยง
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมถึง เหล้าดองยา ชา กาแฟ
▪
หลีกเลี่ยง
การกินขนมหวานต่าง อาหารทอดอาหารมัน
▪ ดื่มน้ำให้เพียงพอ
▪ ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทานยา
▪ พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
โภชนาการสำหรับวัยทารก
(Nutrition in infancy)
โภชนาการของวัยทารก
▪อาหารที่เหมาะสมสำหรับทารก ทั้งชนิดและปริมาณเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาและการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง เพราะทารกเป็นระยะที่ร่างกายเติบโตอย่างรวดเร็วน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
▪ เมื่ออายุ 4-5 เดือน ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด
▪ เมื่ออายุ 1 ปี น้ำหนักควรเพิ่มเป็น 3 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด
▪ ร้อยละ 80 ของจำนวนเซลล์สมองของคนเราจะถูกสร้างขึ้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์จนถึงอายุ 2 ปี
ความต้องการสารอาหารในทารก
▪ แรกเกิด-6 เดือนแรก ทารกได้พลังงานและสารอาหารจากนมแม่อย่างเดียว
▪ หลังจาก 6 เดือนถึงขวบปีแรก ทารกจะได้รับพลังงานและสารอาหารจากอาหารอื่นร่วมกับนมแม่
ความพร้อมในการให้อาหารสำหรับทารก
ความพร้อมของระบบทางเดินอาหาร
ความพร้อมของไต อัตราการกรองของไตของทารก = ร้อยละ 15 ของผู้ใหญ่ และจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นและจะเท่ากับผู้ใหญ่เมื่ออายุ 2 ปี
ความพร้อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทารก 4-6เดือน
มีความพร้อมในการกินอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลว ทารกสามารถควบคุมการทรงตัวของศีรษะและล าตัวได้ดี
ข้อแนะนำการให้อาหารสำหรับทารก
▪ ให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน ไม่ต้องให้อาหารอื่นแม้แต่น้ำ
▪ เริ่มให้อาหารเสริมเมื่ออายุครบ 6 เดือน เต็มควบคู่ไปกับนมแม
▪ เมื่อลูกอายุ 10-12 เดือน ให้อาหารที่มีคุณภาพและครบ 5 หมู่ทุกวัน >> เพิ่มจำนวน
มื้ออาหารเมื่ออายุลูกเพิ่มขึ้น จนครบ 3 มื้อ
อาหารที่ให้สำหรับทารกใน 1 วัน
อายุ 6 เดือน
▪ นมแม่และอาหาร 1 มื้อ ผลไม้เป็นอาหารว่าง
▪ ข้าวบดละเอียด 3 ช้อนกินข้าว
▪ ไข่แดงครึ่งฟอง สลับกับตับบด 1 ช้อนกินข้าว หรือ เนื้อปลาบด 2 ช้อนกินข้าว
▪ ผักบดครึ่งช้อนกินข้าว
▪ ผลไม้สุก 2 ชิ้น หรือกล้วยน้ าว้าสุก 1 ผล
▪ กินนมแม่ตามจนอิ่ม
อายุ 7 เดือน
▪ นมแม่และอาหาร 1 มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง
▪ ข้าวบดละเอียด 4 ช้อนกินข้าว
▪ ไข่ทั้งฟอง สลับกับเนื้อปลา 2 ช้อนกินข้าว หรือเนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว
▪ ผักบด 1 1/2 ช้อนกินข้าว
▪ ผลไม้สุก 2-3 ชิ้น หรือส้ม 1 ผล
▪ กินแม่ตามจนอิ่ม
อายุ 8-9 เดือน
▪ นมแม่และอาหาร 2 มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง
▪ ข้าวสุกนิ่มๆ 5 ช้อนกินข้าว
▪ ไข่ทั้งฟอง และเนื้อปลา 2 ช้อนกินข้าว หรือเนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว
▪ ผักบด 2 ช้อนกินข้าว
▪ ผลไม้สุก 2-3 ชิ้น หรือส้ม 1 ผล
▪ กินแม่ตามจนอิ่ม
อายุ 10-12 เดือน
▪ นมแม่และอาหาร 3 มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง
▪ ข้าวสุกนิ่มๆ 5 ช้อนกินข้าว
▪ ไข่ทั้งฟอง และเนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว หรือตับ 1 ช้อนกินข้าว
▪ ผักบด 2 ช้อนกินข้าว
▪ ผลไม้สุก 3-4 ชิ้น หรือกล้วยน้ำว้า 1 ผล
▪ กินแม่ตามจนอิ่ม
นมสำหรับทารก
▪ มารดาที่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เช่น แม่ป่วย มีโรคติดเชื้อต่างๆ เต้านมอักเสบ หรือน้ำนมน้อย ต้องให้นมผสมแทน
นมผงดัดแปลงสำหรับทารก (สูตร 1) เป็นนมผงที่เหมาะสำหรับทารกวัย 0-12 เดือน
นมผงดัดแปลงสูตรต่อเนื่องสำหรับทารกและเด็กเล็ก (สูตร 2)** สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ปี
นมผงดัดแปลงสูตร 3 และ สูตร 4 (นมผงครบส่วน) / whole cow’s milk
** นมผงสูตร 3 >> เหมาะสำหรับเด็กอายุ 1 ปี
** นมผงสูตร 4 >> เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไปจนถึงผู้ใหญ
โภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน
(Nutrition in pre-school children)
โภชนาการของเด็กวัยก่อนเรียน
▪เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองช้ากว่าในวัยทารก
** ในระยะแรกๆ ของวัยนี้การเจริญเติบโตค่อนข้างเร็วและจะช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น
▪ เด็กวัยนี้เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารเนื่องจากเด็กยังไม่โตพอที่จะเข้าโรงเรียนและพ่อแม่ต้องไปทำงานจึงต้องเตรียมอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการของเด็ก
▪ หากขาดสารอาหาร จะทำให้ความเจริญเติบโตหยุดชะงัก ร่างกายอ่อนแอขาดภูมิต้านทานโรค ป่วยบ่อย
การสร้างนิสัยการรับประทานอาหารที่ดีแก่เด็กก่อนวัยเรียน
▪ เด็กมีการเจริญเติบโตของร่างกาย และมีการเล่นออกกำลังกาย ทำให้สูญเสียพลังงาน
▪ เด็กมีการเจริญเติบโตของร่างกาย และมีการเล่นออกกำลังกาย ทำให้สูญเสียพลังงาน
▪ ไม่ควรบังคับหรือฝืนใจเด็ก ควรหาวิธีปรุงอาหารตามที่เด็กชอบ
▪ ควรฝึกให้รับประทานอาหารหลักวันละ 3 มื้อ ให้มีอาหารว่างระหว่างมื้อเช้าและบ่าย
▪ ดื่มนมสด หรือนมถั่วเหลืองวันละ 2-3 แก้ว
▪ ควรหัดให้เด็กรับประทานอาหารทุกชนิด ผักและผลไม้สดทุกวัน
▪ ให้เด็กลองรับประทานอาหารใหม่ ๆ
▪ ควรให้ครั้งละน้อย ๆ ปรุงรส และสีสันให้น่ากิน
โภชนาการสำหรับเด็กวัยเรียน
(Nutrition in school-age children)
โภชนาการของเด็กวัยเรียน
▪ เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากเด็กก่อนวัยเรียน
▪ อัตราการเจริญเติบโตในช่วงวัยเรียนตอนต้นจะเป็นไปอย่างช้าๆ ในช่วงวัยเรียนตอนปลายอัตราการเจริญเติบโตของร่างกายจะสูงมากอีกครั้ง
▪ เพศหญิง เริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่น เมื่ออายุ 10 ปี เร็วกว่าเพศชายประมาณ 2 ปี
▪ การเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ สมอง และระบบประสาทจะไม่มีการเจริญเติบโตเพิ่มขนาดแต่จะมีพัฒนาการด้านการเสริมสร้างเชาวน์ปัญญา
▪ พฤติกรรมการกินที่เป็นปัญหาของเด็กวัยนี้
จะไม่ลองกินอาหารที่ไม่เคยกิน
กินอาหารไม่เป็นเวลา มัวแต่เล่นจนลืมกิน
** เล่นมากจนเพลียไม่อยากกินอาหาร
ข้อปฏิบัติในการจัดอาหารเด็กวัยเรียน
▪ จัดอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในแต่ละวัน โดยมีปริมาณพอเหมาะกับความต้องการ
▪ ควรให้เด็กเป็นผู้เสนอรายการอาหารบ้าง เพื่อให้รู้สึกถึงการมีส่วนร่วม
▪ ฝึกวินัยในการรับประทานอาหารให้เป็นเวลา ไม่รับประทานอาหารจุบจิบ หรืออาจจะยอมให้เด็กกินอาหารผิดเวลาบ้างในวันหยุดเพื่อผ่อนคลายความกดดันที่โรงเรียน
▪ ฝึกให้เด็กรู้จักความพอดีในการรับประทานอาหารแต่ละประเภท ไม่ควรตามใจหรือให้อาหารเป็นสิ่งต่อรองให้เป็นรางวัลหรือทำโทษ
▪ ควรมีอาหารสำรองไว้บ้าง เป็นอาหารที่เตรียมได้ง่ายๆ แต่มีประโยชน์ (เนื่องจาก >>เด็กกินอาหารไม่เป็นเวลาเพราะห่วงเล่น หรือยังไม่หิว)
โภชนาการสำหรับวัยรุ่น
(Nutrition in adolescents)
โภชนาการสำหรับวัยรุ่น
▪ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายอย่าง
ต่อมไร้ท่อต่างๆ ท างานมากขึ้น
มีการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ มากขึ้น
กระดูกขนาดใหญ่ขึ้นท าให้ร่างกายสูงขึ้น น้ าหนักเพิ่มมากขึ้น
▪ วัยรุ่นจะรู้สึกหิวบ่อยและรับประทานอาหารมากขึ้น
▪ วัยรุ่นชายจะรับประทานอาหารมากกว่าวัยรุ่นหญิง
ความต้องการสารอาหารของวัยรุ่น
พลังงาน
▪ วัยรุ่นชายควรได้รับพลังงาน 2,300-2,400 kcal/วัน
▪ วัยรุ่นหญิงควรได้รับพลังงาน 1,850-2,000 kcal/วัน
โปรตีน
▪ ควรได้รับโปรตีนอย่างน้อยวันละ 1-2 กรัมต่อน้ าหนักตัว 1 kg
▪ ปัจจุบันมีการก าหนดความต้องการโปรตีนตามความสูงของวัยรุ่น
น้ำ
▪ ควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว
วิตามิน
▪ วิตามิน A >> ใช้ในการเจริญเติบโตและคงสภาพเยื่อบุต่างๆ
▪ วิตามิน B2 >> เป็นเอนไซม์ในการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย
▪ วิตามิน C >> เป็นส่วนประกอบของเซลล์ใช้ในการสร้างคอลลาเจน
เกลือแร
▪ แคลเซียมและฟอสฟอรัส
▪ ธาตุเหล็ก >> ร่างกายต้องการเหล็กมากขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงในระยะมีประจ าเดือน
▪ ไอโอดีน >> ต่อมไธรอยด์มีการผลิตฮอร์โมนมากขึ้น >> ต้องการไอโอดีนมากขึ้น
ความสำคัญของอาหารในเด็กวัยรุ่น
▪ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
▪ กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ
▪ เด็กวัยรุ่นที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
** ควรกินอาหารทุกมื้อและถูกต้องตามหลักโภชนาการ
** ควรจำกัดอาหารที่ให้พลังงานมาก และให้ประโยชน์น้อย ได้แก่ น้ำหวาน น้ำอัดลมและอาหารที่ให้ไขมันมาก ให้กินผักผลไม้ให้มากขึ้น
โภชนาการสำหรับวัยผู้ใหญ่
(Nutrition in Adult)
โภชนาการในวัยผู้ใหญ่
▪ วัยนี้ร่างกายจะไม่มีการเสริมสร้างเพื่อการเจริญเติบโต แต่ยังมีการเสริมสร้างเซลล์ต่างๆเพื่อรักษาสมรรถภาพการทำงานในร่างกายให้คงที่
▪ เมื่ออายุมากขึ้นการทำงานของเซลล์ต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ต่างๆ จะลดลง ขึ้นอยู่กับภาวะโภชนาการและความแข็งแรงของร่างกาย
▪ ผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการดี สามารถทำให้อายุขัยยืนยาว มีชีวิตที่มีคุณภาพ และเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีสุขภาพดีสมบูรณ์แข็งแรง
ความต้องการสารอาหารในวัยผู้ใหญ่
พลังงาน
▪ ผู้ชายต้องการพลังงานมากกว่าผู้หญิงเพราะในผู้หญิงมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าและทำกิจกรรมน้อยกว่าผู้ชาย
▪ พลังงานทั้งหมด = คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 55 + โปรตีนร้อยละ 15 + ไขมันร้อยละ 30
โปรตีน
▪ วัยนี้ต้องการโปรตีนเพื่อเสริมสร้างเซลล์ต่างๆ ให้ทำงานปกติ
▪ ควรได้รับโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 kg
วิตามินและเกลือแร่
▪ วัยนี้มีความต้องการพอๆ กับวัยรุ่นยกเว้นแคลเซียมและฟอสฟอรัสต้องการน้อยลงเหลือ800 mg/day เนื่องจากในระยะนี้ไม่มีการสร้างกระดูกเพิ่มขึ้น
▪ ผู้ชายต้องการเหล็กลดลงเหลือ 10.4 ในขณะที่ผู้หญิงต้องการเท่าเดิมจนกว่าจะถึง
วัยหมดประจำเดือน
น้ำ
▪ ต้องการประมาณ 1,500-2,000 ml/day
โภชนาการสำหรับวัยผู้สูงอายุ
(Nutrition in the elderly)
การเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุที่มีผลต่อภาวะโภชนาการ
การทำงานของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ลดลง ได้แก่ การมองเห็น การรับรส การดมกลิ่น การได้ยิน และการสัมผัส
ภาวะสุขภาพปากและฟัน
ฟันผุหรือไม่มีฟัน / ต่อมน้ำลายทำงานลดลง
การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง
ประสิทธิภาพการเผาผลาญกลูโคสลดลง
การทำงานของระบบไหลเวียนและไตลดลง
กล้ามเนื้อ อวัยวะต่างๆ และเนื้อเยื่อกระดูกลดลง
เนื้อกระดูกลดลงเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและจิตสังคม
ความต้องการสารอาหารในผู้สูงอายุ
พลังงาน
▪ ผู้สูงอายุมีความต้องการพลังงานน้อยกว่าวัยหนุ่มสาว
▪ ข้อกำหนดความต้องการสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันของผู้สูงอายุ
โปรตีน
▪ มีความสำคัญในการสร้างและคงสภาพของเนื้อเยื่อในร่างกาย
▪ เป็นแหล่งกรดอะมิโนที่จำเป็นของกล้ามเนื้อ ระบบประสาทและภูมิต้านทาน
▪ ผู้สูงอายุควรได้รับโปรตีน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 kg/day
▪ ความต้องการโปรตีนจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อถ้าร่างกายมีความเครียดจากการบาดเจ็บการติดเชื้อ การผ่าตัด หรือการเจ็บป่วย
▪ ควรดื่มนมวันละ 1 แก้ว
▪ รับประทานไข่อาทิตย์ละ 3 ฟอง
ไขมัน
▪ ควรลดปริมาณไขมันที่บริโภค โดยเฉพาะกรดไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอล เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
▪ การย่อยไขมันในผู้สูงอายุจะลดลงจากวัยผู้ใหญ
▪ ความต้องการไขมันในผู้สูงอายุไม่ควรเกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด
คาร์โบไอเดรต
▪ ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิด ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและโรคเบาหวาน
▪ อาหารที่มีน้ำตาลทรายต่ำ / มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน / ใยอาหารที่ละลายน้้ำสูง >>ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้น
▪ ผู้สูงอายุจะมีเอนไซม์lactase ลดลง
ภาวะท้องอืด ท้องเสีย และเป็นตะคริวเมื่อดื่มนม
▪ ควรได้รับร้อยละ 55 ของพลังงานทั้งหมด
** ถ้าได้รับน้อยกว่า 50-100 กรัมต่อวัน >>
เกิดการคั่งของ Ketone body (Ketosis)
วิตามิน A
ผู้สูงอายุชายต้องการ 700 และหญิงต้องการ 600 μgRE
วิตามิน D
มีความสำคัญในการสร้างกระดูก (ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ลำไส้)ผู้สูงอายุชายและหญิงควรได้รับ วันละ 5 μg
วิตามิน E
antioxidation / ชะลอกระบวนการแก่ และป้องกันการเกิดมะเร็งผู้สูงอายุชายและหญิงควรได้รับ วันละ 10 และ 8mg
วิตามิน K
พบในผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืช เนื้อ นมและสังเคราะห์จากแบคทีเรียในลำไส้ผู้สูงอายุชายและหญิงควรได้รับ วันละ 80 และ 65 μg
วิตามิน C
จำเป็นต่อการสร้างกระดูก เลือด และคอลลาเจน >>
ผู้สูงอายุชายและหญิง ควรได้รับ วันละ 60 mg
วิตามิน B6
เป็นโคเอนไซม์ของกรดอะมิโน ถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการชาและซีดผู้สูงอายุชายและหญิง ควรได้รับ วันละ 2.2 และ 2.0 mg
วิตามิน B12
จำเป็นในการสังเคราะห์ DNA ถ้าขาดจะทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ผู้สูงอายุชายและหญิง ควรได้รับ วันละ 2.0 μg
โฟเลต
จำเป็นในการสังเคราะห์ DNA ถ้าขาดจะทำให้เกิดภาวะซีด
ผู้สูงอายุชายและหญิง ต้องการ วันละ 175 และ 150 μg
แคลเซียม
ผู้สูงอายุจะสูญเสียเนื้อกระดูก (Osteoporosis) โดยเฉพาะผู้หญิงความต้องการส าหรับหญิงวัยหมดประจำเดือนวันละ 1,000-1,500 mg
เหล็ก
การขาดธาตุเหล็กในผู้สูงอายุมีสาเหตุมาจากการได้รับเหล็กไม่เพียงพอผู้สูงอายุชายและหญิงต้องการวันละ
10mg
สังกะสี
ช่วยส่งเสริมการได้รับกลิ่น การรับรส ความอยากอาหารดีขึ้นและส่งเสริมการหายของแผล ผู้สูงอายุชายและหญิง ต้องการ วันละ 15 mg