Dx.Aspiration pneumonia c Respiratory failure

ลักษณะการติดเชื้อ

ข้อมูลผู้ป่วย

ชายไทยวัยสูงอายุ อายุ 66 ปี
CC : เหนื่อยมากและสำลักอาหารก่อนมารพ. 40 นาที
PI : ญาติบอกว่าขณะ Feed อาหารผู้ป่วยสำลักและอาเจียน
หอบเหนื่อย จึงเรียกกู้ชีพนำส่ง
PH : U/D = HT, DM, DLP, Old CVA Rt hemiparesis admit stroke 18/8/65-2/9/65 หลัง D/C พูดได้เป็นคำ ๆ เริ่มขยับแขนได้บ้าง

2.การหายใจเอาเชื้อเข้าสู่ปอดโดยตรง การสูดหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในอากาศในรูปละอองฝอยขนาดเล็ก เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบจากกลุ่มเชื้อไวรัส เชื้อวัณโรค และเชื้อรา

3.การแพร่กระจายของเชื้อตามกระแสโลหิต เป็นทางสำคัญที่ทำให้เกิดปอดอักเสบจากเชื้อที่ก่อโรคในอวัยวะอื่น

1.การสำลักเชื้อที่สะสมรวมกลุ่มอยู่บริเวณทางเดินหายใจส่วนบนลงไปสู่เนื้อปอด เช่น สำลักน้ำลาย อาหาร หรือสารคัดหลั่งในทางเดินอาหาร หากในระยะนี้ผู้ป่วยมีร่างกายอ่อนแอ มีการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนหรือมีโรคเรื้อรังร่วมด้วย ก็จะทำให้เกิดปอดอักเสบได้

4.การลุกลามโดยตรงจากการติดเชื้อที่อวัยวะข้างเคียงปอดเช่น เป็นฝีในตับแล้วแตกตัวเข้าสู่เนื้อปอด

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะช็อค กรณีติดเชื้อรุนแรง นำไปสู่ระบบอวัยวะภายในล้มเหลว

ภาวะฝีในปอด

การติดเชื้อแบคทีเรีย กรณีสาเหตุของปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

ภาวะการหายใจล้มเหลว

ภาวะมีน้ำหรือเป็นหนองในเยื่อหุ้มปอด

ติดเชื้อเข้าสู่เยื่อหุ้มปอด

ปัจจัยเสี่ยง

พยาธิสภาพ

บุคคลที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคถุงลมโป่งพองและโรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ปัจจัยอื่นๆ เช่น ดื่มสุราเรื้อรัง สูบบุหรี่ อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลภาวะ

บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันต่ำตามวัย คือคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป

สำลักอาหารหรือให้อาหารทางสายยาง

ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ

เชื้อในเสมหะหรือเมือกในทางเดินหายใจส่วนต้นแพร่เข้าสู่ถุงลม

ในถุงลมจะมีกลไกการป้องกัน โดยมีการโบกปิดของซีเลียและการไอเพื่อขจัดเชื้อในเสมหะหรือเมือกออกไป

ถ้าร่างกายไม่มีกลไกนี้ ปอดจะมีการอักเสบ

มีน้ำและน้ำเมือกเพิ่มขึ้นบริเวณถุงลม และไหลเข้าสู่หลอดลมฝอย

ทำให้เนื้อที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส O2และ CO2 ลดลง
และขจัดเชื้อโรคออกไปยังต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือด
เพื่อขจัดออกนอกร่างกาย

จะมี WBC และ RBC รวมตัวบริเวณที่มีการอักเสบมากขึ้น
ทำให้บริเวณถุงลมแคบและเเข็ง

น้ำและเมือกที่ติดเชื้อจะแพร่ไปยังปอดส่วนอื่น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้ ไอ อาจมีเสมหะร่วมด้วย

ขณะเดียวกัน Macrophage จะทำลายเชื้อโรคที่อยู่ในถุงลม

อาการและอาการแสดง

อาการเฉพาะที่ในระบบทางเดินหายใจ ไอ เสมหะเยอะ เสมหะสีเหลืองหรือเป็นหนอง หอบเหนื่อย หายใจลำบาก หายใจเร็ว

อาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น มีไข้ บางรายอาจจะมีหนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย ซึมลง

ผู้ป่วยไม่สามารถกลืนอาหารได้เองเป็นผู้ป่วยติดเตียงมา 3 เดือน
และมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุของการเกิด
ภาวะกลืนลำบาก จะทำให้เกิดการสำลักอาหารได้ง่าย ซึ่งจากการสำลักอาหารของผู้ป่วย เป็นการสำลักอาหารที่เกิดจากการ
สำลักอาหารทางสายยางให้อาหาร
อีกทั้งยัง ดื่มเหล้า > 10 ปี เลิกมา 4-5 ปี
และสูบบุหรี่ > 10 ปี เลิกมา 1 เดือน

เป็นภาวะที่ปอดไม่สามารถ​ทำงานแลกเปลี่ยนออกซิเจน​ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และมีผลให้เกิดการคั่งของ(CO2)​
และเกิดภาวะออกซิเจน​ใน​เลือดต่ำ

อาการ หายใจลำบาก เหนื่อย​หอบ Cyanosis หากมี (CO2)​
คั่งในเลือดมาก ผู้ป่วยจะมีอาการ​ซึม หัวใจเต้นเร็ว
เหงื่อออกตามตัว อาจหมดสติได้

ผู้ป่วยมีอาการไอ เสมหะเยอะสีขาวขุ่น หายใจหอบเหนื่อย และมีไข้ อ่อนเพลีย

การตรวจเพาะเชื้อจากเสมหะ Sputum culture
ตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย chryseobacterium gleum (MDR)

การรักษา

ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ Levoflox 750 mg v OD และ Tazocin 4.5 gm v q 6 hr

ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา ได้แก่ On ventilator PCV mode Pi 14 PEEP 5 TV 470 FiO2 0.8

ดูแลช่องปากและฟัน โดยการ mouth care
และ suction clear airway

การวินิจฉัย

1.มีอาการแสดง ไข้ ไอแห้งหายใจหอบเหนื่อย ฟังเสียงปอด
พบเสียง crepiptation both lung

2.ถ่ายรังสีทรวงอก Chest X-Rays: No Infiltration

3.การตรวจเพาะเชื้อจากเสมหะ Sputum culture ตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย chryseobacterium gleum (MDR)

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)

Beta Cell ตับอ่อน มีการสร้างและหลั่งอินซูลินน้อยลง
(เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน)

ระยะ

ระยะบวมคั่ง ( Stage of congestion or edema)เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ปอดจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองมีเลือดมาคั่งบริเวณที่มีการอักเสบหลอดเลือดขยายตัว มีแบคทีเรีย เม็ดเลือดแดง ไฟบริน และเม็ดเลือดขาว ออกมากินแบคทีเรีย ระยะนี้กินเวลา 24-46 ชั่วโมงหลังจากเชื้อโรคเข้าสู่ปอด

ระยะเนื้อปอดแข็ง (Stage of consolidation) ระยะแรกจะพบว่ามีเม็ดเลือดแดงและไฟบรินอยู่ในถุงลมเป็นส่วนใหญ่ หลอดเลือดที่ผนังถุงลมปอดขยายตัวมากขึ้นทำให้เนื้อปอดสีแดงจัดคล้ายตับสด ( Red heptization)

ระยะปอดฟื้นตัว (Stage of resolution) เมื่อร่างกายสามารถต้านทานโรคไว้ได้เม็ดเลือดขาวสามารถทำลายแบคทีเรียที่อยู่ในถุงลมปอดได้หมดจะมีเอนไซม์ออกมาละลายไฟบริน เม็ดเลือดขาวและหนอง ก็จะถูกขับออกมาเป็นเสมหะมีลักษณะเป็นสีสนิมเหล็ก

ผู้ป่วยรายนี้อยู่ในระยะปอดฟื้นตัว
(Stage of resolution)

น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้น

ผนังหลอดเลือดแข็งและหนาตัว
ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ

สมอง

เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ดี

ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack)

อัมพาต

กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)

ความเข้มข้นในหลอดเลือดสูง

ทำให้เลือดมีความหนืด

ความดันโลหิตสูง

หัวใจจึงบีบตัวแรงขึ้น

โรคหัวใจเต้นพริ้ว (Atrial Fibrillation)

ตรวจร่างกาย

EKG 12 Leed พบว่า AF

ไขมันในเลือดสูง

ไขมันไปเกาะในหลอดเลือด

แพทย์จึงสั่งในยา Warfarin
(anticoagulant)

เพื่อช่วยลดการเกาะกลุ่มของลิ่มเลือด หรือ
ช่วยไม่ให้ลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นแล้วมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น

อาหารที่เพิ่มฤทธิ์ยา

อาหารที่ลดฤทธิ์ยา

เดิมผู้ป่วยเป็น Old CVA Rt hemiparesis admit stroke

แปะก๊วย สทุนไพรจีน กระเทียม ขิง น้ำมันปลา โสม เป็นต้น

อาหารที่มีวิตามินเคสูง เช่น ผักใบเขียว บร็อคโครี ชะอม สะตอ กระถิ่น เป็นต้น