Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ, 1.ปลูกฝังนิสัยที่ดีงามตามหลักพระพุทธศาสนา,…
หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ
มารยาทชาวพุทธ
มารยาทในการยืน
การยืนกับผู้ใหญ่ - ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรยืนตรงไหน้าผู้ใหญ่ แต่ควรยืนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ดังนี้คือ ขาชิดปลายเท้าห่างกันเล้กน้อยมือทั้งสองแนบชิดข้าง ท่าทางสำรวม
การยืนตามลำพัง - ขาทั้งสองข้างชิดกันหรือยู่ในท่่าพักแขน ปล่อยแนบลำตัว หรือ ประสานไว้ข้างหน้าเล็กน้อย อย่ายืนกลางขาแกว่งแขนหันหน้าไปมา
มารยาทในการแต่งกาย
มารยาทในการแต่งกาย คือ ความคิดเกี่ยวกับการแต่งกายทั้งของเดิมที่มีมาในอดีตที่มีมาในอดีตและของสังคมตะวันตกที่คนไทยรับมาปฏิบัติความถูกต้องรู้จักและเลือกแสดงให้เหมาะสมแก่เทศกาลและบุคคลโดยตำนึงถึงโอกาสและกิจกรรมเป็นหลักสำคัยเกี่ยวกับการแต่งกาย
1.ความสะอาด ร่างกายควรให้สะอาดหมดจดทุกสัดส่วนตั้งแต่ ผม ปาก ฟัน หน้าตา มือ แขน ลำตัว ขาและเท้าเล็บมือและเล็บเท้า ความสะอาดที่พึงเอาใจใส่เป็นพิเศษในเรื่องการแต่งกาย
2.ความสุขภาพเรียบร้อย ควรมีตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า รวมทั้ง เครื่องประดับ กระเป๋า ถุงน่อง รองเท้
3.ความถูกต้องตามกาลเทศะ การเลือกแต่งกายให้ถูกต้องเหมาะสมกับเวลา ยุค และสมัยนิยม และลเือกแต่งกายให้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานที่จะไปนั้น
มารยาทชาวพุทธ - เป็นการแสดงออกที่มีแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติ ซึ่งเป็นแนวทางที่ที่ทำให้สมาชิกในสังคมสามารถดำรงอยู่ร่วมกันด้วยดี โดนเฉพาะมานยาทชาวพุทธ ที่หล่อหลอมมมาจาก หลักะรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา เป็นกริยาวาจาบุคคลในสังคมพึงปฏิบัติต่อกัน อันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและสังคมที่มีลักาณะของชาวพุทธในประเทศไทยแม้จะไม่สำคัญเท่าหลักธรรมคำสอนโดยตรงแต่มีส่วนในการสร้างความรัก
มารยาทในการเดิน
1.การเดิยควรเดินอย่างสุภาพ หลังตรง
2.การเดินกับผู้ใหญ่ ควรเดินเยื้องไปทางซ้ายหลังผู้ใหญ่ห่างกันพอประมารตามสภาพของสถานที่แต่ให้อยู่ในลักษณะนอลน้่ิอม
3.การเดินผ่านผู้ใหญ่ในการเดินทา่งซ้ายให้เดินข่อมหัวมาน้อยตามอาวุโส ถ้าผู้ใหญ่ทักทายให้หยุดเดินน้อมกายลงพูดด้วย เมื่อจบแล้วไหว้ครั้งนึงแล้วน้อมตัวเดินออกไป
หน้าที่ชาวพุทธ
1.งานบรรพชาและอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
1.1ประเภทของการบรรพชาและอุปสมบท
1.เเอหิภิกขุอุปสัมปทา
2.ติสรณคมนุปสัมปทา
3.โอวาทปฏฺิคคหรูปสัมทา
4.ปัญหาพยากรณูปสัมทา
5.ครุะรรมปปฏิคคหณูปสัมทา
6.ทูเตนอุปสัมปทา
7.อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทา
8.ฐัตติจุตตถกัมอุปสัมปทา
1.2ประโยชน์ของการบรรพชาและอุปสมบท
1.เพื่อเรียนรู้พระธรรมวินัย ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ผู้ป่วยจะต้องเรียนรู้พระธรรมวินัยควบคู่ไปกับการปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่มาของคำว่า บววชเรียน
2.เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป เพราะถ้าไม่มีพระสงฆ์ พระรัตนตรัยก็จะไม่ครบองค์3
3.เพื่อฝึกฝนอบรมให้รู้จักอดทน อดกลั้น ในอดีตผู้ที่บวชเรียนแล้วจะเรียกว่า'ทิด'
4.เพื่อดำรงตนให้เป็นพลเมืองดีของสังคม เพราะผู้ที่ผ่านการบวชเรียนแ้ลวย่อมจะได้รับโอกาสในการฝึกอบรมทั้งกาย วาจาและใจ
หน้าที่ชาวพุทธคือสิ่งที่ชาวพุทธทั่วไปต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้ทราบและปฏิบัตตนได้ถูกต้องในที่นี้จะกล่าวถึงเรื่องการบรรพชาและอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
อุปสมบท การเข้าถึงสภาวะอันสูง หมายถึง การบวชเป็รภือษุ
การบรรพชา การเว้นจากความชั่วทุกอย่าง เดิมคำว่าบรรพชาหมายความว่าการยวชเป็นภือษุ
6.การเข้าค่ายพุทธธรรม
ค่าย คุณธรรม ค่าที่จัดขึ้นเพื่อฝึกอบรมส่งเสริมคุณธรรมให้กับนักเรียน เพื่อให้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
ประโยชน์ของการเข้าค่ายคุณธรรม
5.การปฏิบัติตนที่เหมาะสมในฐานะผู้ปกครอง และผู้อยู่ในปกครองตามหลักทิศเบื้องล่างในทิศ6
4.การปลูกฝังจิตสำนึกและการมีส่วนรวมใรสังคมพุทธ
สังคม หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสมาชิก ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กัน
1.การบวช วิธีหนึ่งของการสร้างสมาชิกให้กับสังคมพุทธคือการที่ผู้ชายต้องทำหน้าที่บวชเรียนพระธรรมวินัยเพื่อสิบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไปหวังใดมี
2.ศึกษาคำสอนและปฏิบัติตามคำสั่ง เรียนรู้กฆแห่งกรรมก็จะต้องละเวรกรรมชั่วทำแต่กรรมดี เมื่อเรียนเรื่องความหลุดพ้นจากกิเลส ก็จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นผู้หลุดพ้นตามแนวคำสอนของพระพุทธศาสนา
3.เผยแพร่คำสอน
4.ปกป้องและรักษาพระพุทธศาสนา
สังคมพุทธ หมายถึง การอยู่น่วมกันของสมาชิก ซึ่งประบกอบด้วยพุทธบริษัท 4 ได้แก่ ภิกษุ ภืกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา
2.การบวชชี ธรรมจาริณี หรือเนกขัมมารี
2.2ประโยชน์ของการบวช
1.เพื่อฝึกฝนอบรมตน
2.เพื่อเพิ่มพูนบุญกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไป
3.เพื่อให้จิตสงบ ปราศจากความฟุ้งซ่าน
4.เพื่อปลดเปลืี้องตนให้พ้นจากความทุกข์
ซี หมายถึง สตรีผู้นุ่งขาว โกนผม โกนคิ้ว สมาทาานและรักษาศีล 8
ธรรมจาริณร หรือเนกดขัมมารี หมายถึง สตรีที่นุ่งขาวห่มขาว ไม่โกนผม ไว้โกนคิ้ว สมาทานและรักษาศีล 8
2.1วิธีการบวช
1.ผู้ขอบวชต้องแต่งกายชุดขาว พร้อมสไบขาว 2.ตัวแทนผู้ขอบวชถวายธูปเทียนแพแด่พระสงฆ์ตำนวน1รูปหรือ4รูปขึ้นไป 3.กราบ3ครั้ง 4.กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย 5.กล่าวคำอาราธนาศีล 8 6.รับไตรสรณคมน์ 7.สมาทานศีล8 8.นำเครื่องสักการะไปถวายพระอาจารย์ รับฟังโอวาท เป็นอันเสร็จพิธี
3.การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และธรรมศึกษา
3.1วัตถุงประสงค์ของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
1.เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ด้านพระพุทธศาสนา 2.ผู้ส่งเสริมความรู้และผู้ฟังศีลธรรม วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้กับเด็กและเยาวชน 3.เพื่อให้เด้กและเยาวชนได้ไกล้ชิดกับพระภิกษุสงฆ์และสามเณร 4.เพื่อให้เด้กและเยาวชนได้รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
3.2วัตถุฃประสงค์ของการจัดธรรมศึกษา
1.เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนที่เป็นคฤหัสถ์มีโอกาสศึกษาพุทธประวติ ประวติพุทธสาวก พระธรรม พระวินัย พุทธศาสนาสุภาษิต ศาสนาพิธีอย่างถูกต้อง 2.เพื่อให้คฤหัสถ์สามารถนำหลักธรรมมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต 3.เพื่อความมั่นคงและแพร่หลายยิ่งขึ้นไปของพระพุทธศาสนา 4.เพื่อสร้างสังคมคุณภาพ รวมทั้งพัฒนาพระสงฆ์ให้มีความสามารถในการเผยแพร่หลักธรรม
7.การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
1.การมอบตัวกับพระอาจารย์ ผู้ปกครองหรือครูนำตัวเด็กไปพบพระอาจารย์พร้อมดอกไม้ธูปเทียน
2.สถานที่ ควรจัดในสถานที่ที่เหมาะสม เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ หอ ประชุม เป็นต้น
3.วิธีการ ให้ผู้แสดงตน หรือตัวแทน จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จากนั้นปฏิบัติตามขั้นตอน
8.การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพุทธศาสนา
พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา คือ วิธีการในการประกอบพิธีหรือกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น พิธีเวียนเทียน เข้าพรรษา ถวายเทียนพรรษาความสำคัญของการประหกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
1.เป็นเครื่องยึดเหี่ยวจิตใจของคนในสังคม
2.เป็นจุดนัดหมายให้ตั้งใจเริ่มต้นเตรียมตีวให้พร้อม
3.เป็นเครื่องควบคุมกาย วาจา และใจให้เรียบร้อย
4.เป็นอุบายที่ทำให้คนหมู่มากอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนามีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้1.เรียบง่าย 2.ไม่ฟุมเฟือย 3.ไม่ยุ่งยาก 4.ถูกต้อวตามประเพณีนิยม
1.ปลูกฝังนิสัยที่ดีงามตามหลักพระพุทธศาสนา
2.รู้จักการอยู่นวมกันในสังคม
3.เรียนรู้หลักธรรมและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน
4.และฝึกอบรมจิต ฝึกใช้ชีวิตของตนถือเพศพรหมจรรย์