Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
9.2 การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ - Coggle Diagram
9.2 การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตกขาวผิดปกติ( Abnormal leukorrea )กิ
อาการและอาการแสดง
คันอระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด
ปากช่องคลอดเป็นผื่นแดง ช่องคลอดอักเสบ ตกขาวขุ่น คล้ายนมตกตะกอน
สาเหตุ
ทานยาปฎิชีวนะอย่างต่อเนื่อง
ได้รับฮอรโมนสเตียรอยด์และยากดภูมิต้านทาน ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายลดลง
ทานนาคุมกำเนิดชนิดปริมาณฮอร์โมนมาก
จากการเป็น AIDs หรือ ได้รับยาเคมีบำบัด
การควบคุมภาวะเบาหวานไม่ดี มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
ผลกระทบ
สตรีตั้งครรภ์
: ติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ,ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด, เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ทารก : คลอดก่อรนกำหนด, ทารกน้ำหนักแรกคลอดน้อย
การประเมิน
ซักประวัติ อาการและอาการแสดง อาการตกขาวผิดปกติ
ตรวจร่างกาย พบช่องคลอดบวมแดง และตกตะกอนขุ่น คล้ายนมตกตะกอน
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ wet mount smear, Gram stain
กิจกรรมการพยาบาล
อธิบายสาเหตุการติดเชื้อและการดูแลตนเอง
แนะนำการทายาและยาเหน็บช่องคลอดตามแพทย์สั่ง
ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและสวมชุดชั้นในที่สะอาดและแห้งเสมอ
หากติดเชื้อซ้ำ หรือสามีมีอาการแสดง ให้พาสามีมารักษา
สามารถเลี้ยงนมบุตรได้ แต่ต้องล้างมือก่อนสัมผัสบุตร และแนะนำการสังเกตฝ้าขาวในปากทารก ให้รีบมาปรึกษากุมารแพทย์
การติดเชื้อเริม (herpes simplex)
สาเหตุ
เชื้อไวรัสคือ Herpes simplex virus (HSV) เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางเยื่อบุ หรือ แผลที่ผิวหนัง เชื้อแบ่งเป็น HSV–1และ HSV–2 เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทรับความรู้สึก เชื้อนี้สามารถถูกกระตุ้นให้กลับมาที่ผิวหนังได้อีกเป็นครั้งคราว ทําให้เกิดโรคซ้ำได้เรื่อย ๆ
อาการและอาการแสดง
มักเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ โดยจะมีอาการปวดแสบปวด ร้อน และคันบริเวณที่สัมผัสโรค จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ําใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะตกสะเก็ด บางรายอาจมีอาการคล้ายหวัด ได้แก่ ไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต
การประเมิน
ซักประวัติ เกี่ยวกับการเคยติดเชื้อเริมมาก่อนหรือไม่ หรือเคยมีเพศสัมพันธ์กับ ผู้ที่เป็นเริมที่อวัยวะสืบพันธ์หรือไม่
ตรวจร่างกาย จะพบตุ่มน้ําใส หากตุ่มน้ำแตกจะพบแผลอักเสบ แดง ปวดแสบปวด ร้อนบริเวณขอบแผลค่อนข้างแข็ง
การรักษา
เป็นการรักษาแบบตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวดและ ยาปฏิชีวนะ ล้างแผลด้วย NSS ให้ Acyclovir (200 mg) รับประทานวันละ 5 ครั้ง นาน 5-7 วัน
หนองใน(gonorrhea)
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อ Neiseria gonorrheae หรือ Gonococcus (GC) เชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกต่างๆ ของอวัยวะสืบพันธุ์จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ และสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อจะแพร่เชื้อไปยังทารกได้โดยผ่านทางแผลถลอก โดยเฉพาะ บริเวณเยื่อบุตา
อาการและอาการแสดง
การอักเสบของปากมดลูกและช่องคลอดทําให้ตกขาวเป็นหนองข้นปริมาณมาก หากมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะพบอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปิดกระปรอย เป็นหนองข้น
การประเมิน
การซักประวัติ : เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อหนองใน
การตรวจร่างกาย : ตรวจทางช่องคลอดจะพบหนองสีขาวขุ่น บางรายอาจพบเลือดปน หนอง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจขั้นต้นโดยการเก็บน้ำเหลือง หรือหนองจากส่วนที่มีการอักเสบมาย้อมสีตรวจ gram stain smear หากมีการติดเชื้อจะพบ Intracellular gram negative diplocooci
การรักษา
ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ (VDRL)
หากพบว่ามีเชื้อให้ยา Ceftriaxone,Azithromycin, Penicillin ได้ทั้งรับประทานและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาคือ 1% Silver nitrate (AgNO3) หยอดตาตาทารก เพื่อป้องกัน การติดเชื้อที่ตา
ทารกที่พบว่ามีการติดเชื้อหนองในควรได้รับยาปฏิชีวนะ Ceftriaxone ตามแผนการรักษาของกุมารแพทย์
การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Gardnerella vaginalis ติดต่อทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่
อาการและอาการแสดง
อาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด เจ็บขณะร่วมเพศ ตกขาวสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา (Fishy smell) โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์แล้ว
ผลกระทบ
มารดา :
ทําให้มีการติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น
เกิดการแท้งติดเชื้อ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกําหนด และเจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด
หลังคลอดอาจมีไข้ ปวดท้องมากและมีอาการแสดงของเยื่อบุมดลูกอักเสบ
ทารก
น้ำหนักตัวน้อย และทารกคลอดก่อนกําหนด ซึ่งอาจตรวจพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียในหลอดลมทําให้มีภาวะหายใจลําบาก
การรักษา
ให้ยา Metronidazole (250 mg) วันละ 3 ครั้ง หรืออาจให้ Metronidazole (500 mg) วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7-10 วัน
ให้ Ampicillin (500 mg) วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
กิจกรรมกาพยาบาล
รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และมาตรวจตามนัด
รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกไม่ให้อับชื้นโดยใช้น้ำธรรมดา
แนะนําให้พาสามีไปตรวจและรักษาโรคพร้อมกัน
แนะนําการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยเน้นเรื่องการล้างมือทุกครั้ง
หากมีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันที
การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ
สาเหตุ : ติดเชื้อพยาธิ หรือเชื้อโปรโตซัว T. vaginalis
อาการและอาการแสดง
ตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง(Foam discharge)มีกลิ่นเหม็น มี strawberry spot
ผลกระทบ
สตรีตั้งครรภ์
ติดเชื้อได้ง่าย ถ้าไม่ได้รักษา
เกิดการแท้งติดเชือ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
มีไข้ ปวดท้องมาก มีอาการแสดงของเยื่อบุมดลูกอักเสบ
ทารก
น้ำหนักตัวแรกคลอดน้อย, คลอดก่อนกำหนด, หายใจลำบาก
การประเมิน
ประวัติการมีตกขาว
เป็นฟองเหม็น คัน
ตรวจร่างกาย
: ทางช่องคลอดพบตกขาวเป็นฟองเขียว
ตรวจทางห้องปฎิบัติ
wet smear พบ WBCมาก หรือพยาธิเคลื่อนไหวไปมา
การรักษา
Metronidazole แต่ห้ามใช้ในไตรมาสแรก ไตรมาสแรกให้ใช้ Clotrimazole 100mg
หลังไตรมาสแรกใช้ metronidazole 2g
กิจกรรมการพยาบาล
แนะนำการเหน็บยา ทานยาตามแผนการรักษา
แนะนำการมีเพศสัมพันธุ์อย่างปลอดภัยโดยถุงยางอนามัย
แนะนำให้ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและใส่ชุดชั้นในแห้งสะอาด
เลี้ยงนมบุตรได้แต่ต้องล้างมือก่อนสัมผัสบุตรทุกครั้ง
ซิฟิลิส
สาเหต
เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum มีระยะฟักตัวประมาณ 10-90 วัน สามารถติดจากคนสู่คนโดยการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือเยื่อบุที่มีรอยถลอกเล็ก ๆ
สามารถผ่านเชื้อนี้ไปให้ทารกที่อยู่ในครรภ์ได้
อาการแบะอาการแสดง
ซิฟิลิสระยะแรก (Primary stage) หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วัน จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียว่าแผล chancre บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
ซิฟิลิสระยะที่สอง (Secondary stage) จะพบผื่นกระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้า โดยผื่นที่พบบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ จะยกนูน ร่วมกับมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ปวดศีรษะ น้ำหนักลด
ระยะแฝง (Latent syphilis) ระยะนี้จะไม่มีอาการใด ๆ แต่กระบวนการติดเชื้อยังดําเนินอยู่และสามารถแพร่กระจายเชื้อได้
ซิฟิลิสระยะที่ 3 (Tertiary syphilis) เชื้อจะเข้าไปทําลายระบบหัวใจและหลอดเลือด ทําให้เกิด Aortic aneurysm และ Aortic insufficiency ถ้าเชื้อเข้าสู่ระบบประสาทจะเกิดผิวหนังอักเสบ กระดูกผุ เยื่อบุสมองอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด
ผลกระทบ
สตรีตั้งครรภ์ :
ทําให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ เจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด และแท้งบุตร
ทารก :
ทารกคลอดก่อนกําหนด ตายคลอด ทารกแรกเกิดติดเชื้อซิฟิลิส (Neonatal syphilis)
การประเมิน
ตรวจร่างกาย : พบไข้ต่ำๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ตรวจอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกพบแผลที่มีลักษณะขอบแข็ง กดไม่เจ็บ อาจพบผื่นบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า
ตรวจห้องปฏิบัติการ :
ระยะที่เป็นแผล วินิจฉัยโดยการตรวจหาเชื้อ T. Pallidum จากแผล chancre หรือผื่น มาตรวจด้วยกล้อง Dark-field microscope
3.2 หากไม่มีแผลหรือผื่น
3.2.1 การตรวจหา Antibody ที่ไม่จําเพาะต่อเชื้อ (Nontreponemal test) ได้แก่ การตรวจ Rapid plasma Reagin (RPR), Venereal Disease Research Laboratory (VDRL) test และ The toluidine red unheated serum test หาก Nontreponemal test ให้ผลบวก
3.2.2 การตรวจหา Antibody เพื่อยืนยันการติดเชื้อซิฟิลิส ที่จําเพาะต่อเชื้อ Treponema pallium โดยตรง ได้แก่ CMIA, EIA, ICS
3.3 การคัดกรองส่วนใหญ่นิยมใช้การตรวจด้วยวิธี VDRL ใช้คัดกรองในสตรีตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรก
การรักษา
ให้ยา Penicillin G ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์ และ ป้องกันการติดเชื้อของทารก
การรักษาในระยะ Primary, Secondary และ Early latent syphilis รักษาด้วย Benzathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกครั้งเดียว
การรักษาในระยะ Late latent syphilis จะรักษาด้วย Benzathine Penicillin G Sodium (2.4 ล้านยูนิต) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพก
3 สัปดาห์ติดต่อกัน
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อ Human Papilloma Virus (HPV)
อาการและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ขนาตแตกต่างกัน มักเกิตบริเวณอับชื้น เช่น ปาก ช่องคลอด หรือในช่องคลอด เป็นต้น การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่ มีผิวขรุยระคล้ายดอกกะหล่ำและยุ่ยมาก
การประเมิน
ซักประวัติ ประวัติเคยติดเชื้อหูดหงอนไก่มาก่อน หรือเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่
ตรวจร่างกาย จะพบรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ผิวขรุขระคล้ายดอก กะหล่ำบริเวณปากช่องคลอด
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ : ควรวินิจฉัยแยกโรคออกจากซิฟิลิสและ Genital cancer (CA vulva) โดยการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา หรือตรวจ Pap smear หรือตรวจหาเชื้อ HPV โดยวิธี Polymerase Chain Reaction (PCR) หรือการตรวจ DNA (DNA probe)
การรักษา
ทาบริเวณรอยโรคด้วย 85% Trichlorracetic acid หรือ Bichloroacetic acid ทุก 7-10 วัน
ใช้ยาท่าร่วมกับการจี้ Laser หรือ Cryosurgery หรือ Electrocoagulation with curettage
แนะนําการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการอับชื้นบริเวณอวัยวะ สืบพันธุ์ภายนอก
ระยะคลอดหากหูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่ อาจพิจารณาผ่าตัดคลอด เพื่อหลีกเลี่ยงการคลอดติดขัดและการตกเลือดหลังคลอด
การพยาบาล
ยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
หลีกเลี่ยงการทําหัตถการทางช่องคลอด เช่น การตรวจทางช่องคลอด การเจาะถุงน้ำคร่ำ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ทารก
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
แนะนํามารดาหลังคลอดเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดร่างกาย เพื่อการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ประเมินอาการติดเชื้อของทารกแรกเกิด ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง ชัก หรือมีแผล herpes ซึ่งหากทารกสัมผัสกับเชื้อเริมควรแยกทารก
การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์ (Human Immunodeficiency Virus [HIV] during pregnancy)
อาการและอาการแสดง
ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ HIV จะเริ่มมีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ระยะนี้ร่างกายจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่หากตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และ Antibody ต่อเชื้อ HIV และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ระยะติดเชื้อโดย ไม่มีอาการจะนาน 5-10 ปี บางรายอาจนานมากกว่า 15 ปี
ระยะติดเชื้อที่มีอาการ มีอุณหภูมิร่างกาย สูงมากกว่า 37.8 เป็นพักๆ หรือติดต่อกันทุกวัน ท้องเดินเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง น้ำหนักลดเกิน 10% ของน้ำหนักตัว เป็นงูสวัด และพบเชื้อราในปากหรือฝ้าขาว (Hairy leukoplakia) ในช่องปาก
ระยะป่วยเเอดส์ จะมีอาการดังต่อไปนี้ คือ ไข้ ผอม ต่อมน้ําเหลืองโตหลายแห่ง ซีด อาจพบลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา แผลเริมเรื้อรัง ผิวหนังเป็นแผลพุพอง ระยะนี้ระบบ ภูมิคุ้มกันจะเสื่อมเต็มที่ ทําให้เชื้อโรคฉวยโอกาสเข้ามาในร่างกาย ทําให้เกิดวัณโรคปอด ปอดอักเสบ สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ :
การประเมิน
ซักประวัติ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
ตรวจร่างกาย ตรวจพบ มี ไข้ ไอ ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลในปาก มีฝ้าในปาก ติดเชื้อราในช่องคลอด
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ : การตรวจเชื้อ HIV (HIV viral testing) , การตรวจหา Antibody ต่อเชื้อ HIV โดยใช้วิธี ELISA, ตรวจนับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 lymphocyte และการตรวจวัดปริมาณ Viral load
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์และสามีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยให้คําปรึกษาก่อนและหลังการตรวจเลือด โดยสตรีตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับการตรวจหาการติดเชื้อ HIV จํานวน 2 ครั้ง
ให้ข้อมูลแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับการดําเนินของโรค เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาสู่ทารก
แนะนําให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อประเมินสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับหลักมาตรฐานในการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ผลการตรวจ CD4 หากน้อย กว่า 200 copies/mL แสดงถึงความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสสูง
ระยะคลอด
ยึดหลัก Universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ทําคลอดด้วยวิธีที่ทําให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดและทารกน้อยที่สุด
หากปริมาณ Viral load ≤ 50 copies/mL แพทย์อาจพิจารณาเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อชักนําการคลอด
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาต้านไวรัสตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาไปสู่ทารก
หลังคลอด
หลีกเลี่ยงเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ทารก
แนะนําวิธีป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลอื่น การกําจัดสารคัดหลั่งอย่างถูกวิธี
อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจและตระหนักถึงความสําคัญในการดูแลตนเองและการมาตรวจตามนัด
ไม่แนะนําให้ใช้ยาฆ่าอสุจิ เพราะจะทําให้เยื่อบุปากมดลูก และช่องคลอดเกิดการระคายเคือง
หากมีบุตรเพียงพอแล้ว แนะนําให้ทําหมันชายหรือหญิง