Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ - Coggle Diagram
หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ
หน้าที่ชาวพุทธ
การบวชเป็นชี ธรรมจาริณี หรือเนกขัมมนารี
วิธีการบวช
1.ผู้ขอบวชต้องแต่งกายชุดขาว พร้อมสไบขาว
ตัวแทนผู้ขอบวชถวายธูปเทียนแพแด่พระสงฆ์จำนวน 1 รูป หรือ 4 รูปขึ้นไป
กราบ 3 ครั้ง
กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย
กล่าวคำอาราธนาศีล 5
รับไตรสรณคมน์
7.สมาทานศีล8
8..นำเครื่องสักการะไปถวายพระอาจารย์ รับฟังโอวาท เป็นอันเสร็จพิธี
ชี หมายถึง สตรีผู้นุ่งขาวห่มขาว โกนผม โกนคิ้ว สมาทานและรักษาศีล8
ธรรมจาริณี หรือเนกขัมมนารี หมายถึง สตรีที่นุ่งขาวห่มขาว ไม่โดนผม ไม่โกนคิ้ว สมาทานและรักษาศีล 8
ประโยชน์ของการบวช
1.เพื่อฝึกฝนอบรมตนเอง
2.เพื่อเพิ่มพูนบุญกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไป
3.เพื่อให้จิตสงบ ปราศจากความฟุ้งซ่าน
4.เพื่อปลดเปลื้องตนเองให้พ้นจากความทุกข์
ประโยชน์ของการบรรพชาและอุปสมบท
1.เพื่อเรียนรู้พระธรรมวินัย ฝึกฝนพัฒนาตนเอง
เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป
เพื่อฝึกฝนอบรมให้รู้จักอดทน อดกลั้น
เพื่อดำรงตนให้เป็นพลเมืองดีของสังคม ในการฝึกอบรมทั้งกาย วาจา และใจ ให้รู้จักเกรงกลัวและละอายต่อบาป แยกแยะถูกผิดดีชั่ว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญของพลเมืองดีในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมต่อไป
การบรรพชาและอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
การบรรพชา แปลว่า การเว้นจากความชั่วทุกอย่าง หมายความว่าการบวชเป็นภิกษุ เช่น ระยะแรกที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช ก็ใช้คำว่า เสด็จออกบรรพชา เป็นต้น
อุปสมบท แปลว่า การเข้าถึงสภาวะอันสูง หมายถึง การบวชเป็นภิกษุ
ประเภทของบรรพชาและอุปสมบท
เอหิภิกขุอุปสัมปทา การบวชที่พระพุทธเจ้าประทานให้เองโดยการเปล่างพระวาจาว่า “จงเป็นภิกษุ มาเถิด ธรรมที่เรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด”
2.ติสรณคมนูสัมปทา การบวชด้วยวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสาวกทำในยุคต้นพุทธกาล
โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา การบวชด้วยการรับพระโอวาท [เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่พระมหากัสสปะ]
ปัญหาพยากรณูสัมปทา การบวชด้วยการตอบปัญหาของพระพุทธเจ้า เป็นสิธีที่ทรงอนุญาตแก่โสปากสามเณร
ครุธรรมปฏิคคหณูปสัมปทา การบวชด้วยการรับครุธรรม 8 ประการ
ทูเตนอุปสัมปทา การบวชด้วยทูต เป็นวิธีที่ทรงอนุญาตแก่นางคณิกา ชื่อ อัฑฒากาลี
อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทา การบวชจากสงฆ์สองฝ่ายคือ ภิกษุ ภิกษุณี
ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา การบวชโดยคณะสงฆ์
การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และธรรมศึกษา
ความเป็นมาของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
เริ่มมาจากแนวคิดของพระพิมลธรรม(อาจ อาสภมหาเถร) องค์สภานายกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้พบเห็นการสอนพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ในประเทศนั้นๆ เห็นว่ามีผลดี จึงได้นำแนวคิดดังกล่าว มาเปิดสินเป็นครั้งแรก
การปลูกจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมในสังคมพุทธ
สังคม หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสมาชิก ต้องมีการปฏิสัมพันธ์ และมีหน้าที่สร้างสมาชิกใหม่ ถ่ายทอดลักษณะของสังคม ประเพณี ความน่าเชื่อถือ
สังคมพุทธ หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสมาชิก ซึ่งกระกอบด้วยพุทธบริษัท4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา
1.การบวช : วิธีหนึ่งของการสร้างสมาชิกให้กับสังคมพุทธ
ในสังคมพุทธการสร้างสมาชิกใหม่ คือการที่ผู้ชายต้องทำหน้าที่บวชเรียนพระธรรมวินัยเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไป โดยผู้บวชจะต้องตระหนักว่า นอกเหนือจากความเชื่อที่ว่าบวชเพื่อให้เกิดอานิสงส์แก่พ่อแม่ บุพการีเกาะชายผ้าเหลืองแล้ว ผู้บวชจะต้องเรียนรู้พระธรรมวินัยฝึกฝนพัฒนาให้เป็นชาวพุทธที่ดี
2.ศึกษาคำสอนและปฏิบัติตามคำสอน สังคมพุทธเน้นการศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเรียนรู้และเข้าใจธรรมะ จึงต้องปฏิบัติอย่างถูกต้อง
3.เผยแผ่คำสอน ทั้งพระและฆราวาส ควรเข้าใจและนำหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาไปใช้อย่างถูกต้อง
4.ปกป้อง และรักษาพระพุทธศาสนา สังคมพุทธไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสต่างก็มีหน้าที่สอดส่องดูแล ถ้าพบว่าผู้ใดทำผิด ลบหลู่พระพุทธศาสนาก็จะต้องหาทางช่วยปกป้องและรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไป
ธรรมศึกษา
การจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาสำหรับคฤหัสถ์ เริ่มขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2472 แบ่งเป็นการเรียน3ระดับ คือ ธรรมศึกษาชั้นตรี ธรรมศึกษาชั้นโท และธรรมศึกษาชั้นเอก
วัตถุประสงค์ของการจัดธรรมศึกษา
1.เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนมีโอกาสศึกษา พุทธประวัติ พุทธสาวก
2.เพื่อให้คฤหัสถ์สามารถนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
3.เพื่อความั่นคงและแพร่หลายยิ่งๆขึ้นไป
4.เพื่อนสร้างสังคมคุณภาพ
การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา คือ วิธีการในการประกอบพิธีหรือกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่นพิธีเวียนเทียน พิธีเข้าพรรษา พิธีถวายเทียนพรรษา
ความสำคัญของการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
1.เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคม
2.เป็นจุดนัดหมายให้ตั้งใจเริ่มต้นเตรียมตัวให้พร้อม
3.เป็นเครื่องควบคุมกาย วาจา และใจให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
4.เป็นอุบายที่ทำให้คนหมู่มากอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
ขั้นตอนที่ 1 กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย
ขั้นตอนที่ 2 กล่าวคำปฏิญาณตน
ขั้นตอนที่ 3 ฟังโอวาทจากประธานสงฆ์ในพิธี
ขั้นตอนที่ 4 ขอเผดียงสงฆ์
การเข้าค่ายพุทธธรรม
คือ ค่ายที่จัดขึ้นเพื่อฝึกอบรมส่งเสริมคุณธรรมให้กับนักเรียน เพื่อให้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกปฏิบัติเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
ประโยชน์ของการเข้าค่ายคุณธรรม-ปลุปฝังนิสัยที่ดีงามตามหลักพระพุทธพุทธศาสนา
-รู้จักอยุ่รวมกันในสังคม
-ได้ฝึกอบรมจิต ฝึกใช้ชีวิตครองตนถือเพศพรหมจรรย์
มารยาทชาวพุทธ
มารยาทหมายถึง กิริยาวาจาที่ชาวพุทธประพฤติ ปฏิบัติที่ถือว่าเรียบร้อย เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาในการกล่าวถึงมารยาทชาวพุทธจึงเกี่ยวโยงกับมารยาทไทยโดยทั่วๆไปด้วย ส่วนมารยาทต่างชาติเป็นวัฒนธรรมของคนต่างชาติย่อมมีการแสดงออกในด้านต่างๆ แตกต่างจากมารยาทไทย เช่น การแสดงความเคารพ การทักทาย การแสดงความยินดีโดยการจับมือ
การแสดงความเคารพพระรัตนตรัย
คือ การกราบด้วยวิธีเบญจางคประดิษฐ์
พระรัตนตรัย หมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ขั้นตอนการกราบพระรัตนตรัย มีดังนี้
ท่าเตรียม
-ผู้ชาย นั่งท่าเทพบุตร เข่ายันพื้นห่างกันพอสมควร ปลายเท้าตั้งชิดกัน นั่งทับส้นเท้า
-ผู้หญิง นั่งท่าเทพธิดา เข่ายันพื้นในลักษณะชิดกัน ปลายเท้าราบไปกับพื้นหงายเท้า นั่งทับส้นเท้า
จังหวะที่1 ประนมมือระหว่างอก
จังหวะที่2 ยกมือที่ประนมขึ้นพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย นิ้วหัวแม่มือ จดกลางหน้าผาก{ปลายนิ้วชี้สูงกว่าศีรษะ}
จังหวะที่3 การกราบ
-ก้มลงกราบโดยทอดศอกให้แขนทั้งสองข้างลงพื้นพร้อมกัน
-คว่ำมือทั้งสองแบนราบกับพื้น ให้นิ้วทั้ง5ชิดกัน มือทั้งสองวางห่างกันเล็กน้อย พอให้หน้าผากจดพื้นระหว่างมือทั้งสองข้างได้
-ผู้ชาย ให้ศอกต่อเข่า ผู้หญิงให้ศอกแนบเข่าทั้งสอง
-ลุกนั่งในท่าคุกเข่า ทำตามจังหวะทั้ง3 จนครบ 3ครั้ง แล้วทรงตัวขึ้น ยกมือประนมจดหน้าผากอีกครั้ง เรียกว่าจบ แล้วลดตัวลงนั่งในท่าปกติ
การแสดงความเคารพต่อปูชนียสถาน
หมายถึง สถานที่อันควรเคารพ ได้แก่ โบสถ์ วัด
วิธีแสดงความเคารพ
1.ถ้าเป็นสถานที่ที่ประดิษฐ์ฐานพระพุทธรูปมีพื้นที่เหมาะสมที่จะแสดงความเคารพได้อย่างสะดวกเช่น ในโบสถ์ วิหาร หรือศาลาการเปรียญ ให้ใช้วิธีกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์
2.ถ้าเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะแก่การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ให้ใช้วิธีประนมมือไหว้
การแสดงความเคารพต่อปูชนียบุคคล
หมายถึง บุคคลที่ควรสักการะ ได้แก่ พระภิกษุ บิดา มารดา ครู อาจารย์ผู้ที่ควรเคารพทั่วๆไป
1.การกราบพระ
ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป หรือพระภิกษุ ใช้วิธีเคารพเหมือนกัน คือ การกราบเบญจางคประดิษฐ์
การกราบบิดา มารดา ครู อาจารย์
1.นั่งพับเพียบเก็บปลายเท้า
2.เบี่ยงตัวหมอบลง ให้เข่าข้างหนึ่งอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้าง
3.วางแขนทั้งสองราบลงกับพื้นตลอดครึ่งแขน คือ จากศอกถึงมือ
4.ประนมมือวางตั้งลงกับพื้นแล้วตั้งศีรษะลงให้หน้าผากแตะสันมือ
5.ทำครั้งเดียวไม่แบมือ แล้วทรงตัวขึ้นนั่ง
การไหว้
การไหว้พระสงฆ์
1.ยกมือประนมขึ้นจดหน้าผาก
2.ให้ปลายหัวแม่มือจดระหว่างคิ้ว ค้อมศีรษะลงให้ปลายนิ้วชี้จดตีนผม แนบมือให้ชิดหน้าผาก ค้อมตัวให้มาก
3.ผู้ชาย ให้ยืนส้นเท้าชิด ปลายเท้าแยกเล็กน้อย ผู้หญิงก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าเพื่อยันพื้นกันล้ม ย่อตัวค้อมศีรษะลงไหว้ ไหว้ตรงๆ ไม่เองซ้ายและขวา
การรับไหว้
ยกมือทั้งสองมาประนมไว้ที่อก แล้วค้อมตัวศีรษะให้ผู้ไหว้เล็กน้อย
การไหว้ผู้ใหญ่
ยกมือประนมจดส่วนล่างของหน้า ให้ปลายหัวแม่มือจดปลายคาง ให้นิ้วชี้จดจมูก ส่วนบน ก้มศีรษะรับปลายมือให้พองาม
การไหว้บิดามารดา
1.ยกมือประนมขึ้นจดส่วนกลางของหน้า
2.ให้ปลายนิ้วหัวแม่มือจดปลายจมูก ค้อมศีรษะให้ปลายนิ้วชี้จดระหว่างคิ้ว
3.ผู้ชาย ให้ยืนส้นเท้าชิด ปลายเท้าแยกเล็กน้อย ค้อมแต่ส่วนไหล่และศีรษะ ผู้หญิงก้าวเท้าไปข้างหน้าย่อตัวลงไหว้ ค้อมศีรษะต่ำรับปลายนิ้ว
การปฏิสันถารตามหลักปฏิสันถาร
หมายถึง การต้อนรับแขก การทักทาย
-อามิสปฏิสันถาร คือ การต้อนรับด้วยสิ่งของ
-ธรรมะปฏิสันถาร คือ การต้อนรับด้วยธรรม