Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Job Development of Nurse Director, อ้างอิง วนิดา สิงหชาติปรีชากุล. (2563…

- - - - แบ่งประเภทผู้ป่วยของ Warsler ซึ่งได้แบ่ง ประเภทผู้ป่วยเป็น 5 ประเภท
        
        ประเภทที่ 1 สามารถดูแลตนเองได้ (self care) ต้องการพยาบาล 1-2 ชั่วโมง เฉลี่ย 1.5 ชั่วโมง
        
        ประเภทที่ 2 อาการป่วยเล็กน้อย (minimal care) ต้องการพยาบาล 3-4 ชั่วโมง เฉลี่ย 3.5 ชั่วโมง
        
        ประเภทที่ 3 อาการป่วยปานกลาง(intermediate care) ต้องการพยาบาล 5-6 ชั่วโมง เฉลี่ย 5.5
        ชั่วโมง
        
        ประเภทที่ 4 อาการระดับต่ํากว่าระดับวิกฤติ (modified care) ต้องการพยาบาล 7-8 ชั่วโมง เฉลี่ย
        7.5 ชั่วโมง
        
        ประเภทที่ 5 อาการในระยะวิกฤติหรือผู้ป่วยอาการหนัก (intensive care) ต้องการพยาบาล 10-14 ชั่วโมง เฉลี่ย 12 ชั่วโมง ซึ่งประเภทนี้ จะรับไว้รักษาในเพราะเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลพิเศษเฉพาะทาง ได้แก่ ICU
      - วัตถุประสงค์
        
        เพื่อกําหนดปริมาณอัตรากําลังให้มีบุคลากรทางการพยาบาลดูแลผู้ป่วยและให้บริการสุขภาพ อย่างเพียงพอ เหมาะสม และสมดุลกับภาระงานในแต่ละช่วงเวลาตลอด 24 ชั่วโมง
        
        เพื่อสรรหาบุคลกรทางการพยาบาลที่มีคุณสมบัติตามที่กําหนดสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้ ความชํานาญของบุคลากรทางการพยาบาลอย่างเต็มที่ และจัดสัดส่วนการผสมผสานอัตรากําลัง (Staffing mixed) อย่างเหมาะสม
        
        เพื่อออกแบบการจัดตารางเวลาการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการพยาบาลให้เหมาะสมกับ ภารกิจของหน่วยงาน หรือ กําลังคนในแต่ละวันหรือแต่ละผลัด
      - จากงานวิจัย วนิดา สิงหชาติปรีชากุล.(2563)
        
        จากผลการวิจัยที่ได้ ควรนาเอารูปแบบการจาแนกประเภทผู้ป่วย จานวนผู้ป่วยแต่ประเภทไปใช้ในการมอบหมายงานให้เหมาะสม สามารถปรับสัดส่วนของบุคลากรแต่ละระดับที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้เหมาะสมกับปริมาณงาน ใช้ข้อมูลดังกล่าวตัดสินใจในการจัดสรรเปลี่ยนแปลงการวางแผนกำลังคนให้เหมาะสมกับปริมาณภาระงานในแต่ละช่วงเวลาวางแผนการจัดอัตรากาลังต่อไปในอนาคต
      - กระบวนการ
        
        การวางแผนอัตรากําลัง (Staffing plan) เป็นการคาดการณ์เกี่ยวกับ ประเภท คุณภาพ คุณสมบัติของบุคลากร เพื่อตอบสนองเป้าหมายขององค์กร
        
        การจัดตารางการปฏิบัติงาน(Scheduling) เป็นกระบวนการควบคุมและประเมนกิจกรรม การจัดอัตรากําลัง เพื่อให้มีอัตรากําลังที่เหมาะสม เพียงพอในการให้บริการพยาบาล
        
        การกระจายอัตรากําลัง(Staff allocation) เป็นกระบวนการกระจาย และการผสมผสาน อัตรากําลังในแต่ละประเภทที่มีอยู่ในแต่ละหน่วยงาน ให้เหมาะสม เพียงพอกับปริมาณภาระงานและความ ตอ้ งการการพยาบาลของผู้ป่วยในช่วงเวลาปฏิบัติการนั้น
      - ความสำคัญ
        (วนิดา สิงหาชาติปรีชากุล, 2563)
        
        การจัดอัตรากำลังทางการพยาบาล เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งในกระบวนการบริหารการพยาบาลเพราะบุคลากร เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญต่อการบริหารองค์กร การจัดการด้านบุคลากรที่ดี จะต้องมีบุคลากรที่เพียงพอ ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ สามารถใช้คนได้เต็มกำลังความสามารถ โรงพยาบาลที่ขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อในโรงพยาบาล และเกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มมากขึ้น อัตราการตายในโรงพยาบาลสูงขึ้นและระยะเวลาการนอนในโรงพยาบาลของผู้ป่วยนานขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
      - ความหมาย
        (วราพร หาญคุณพเศรษฐ์, 2559)
        
        เป็นภารกิจหลักที่สำคัญของผู้บริหารที่ต้องบริหารจัดการอย่าง เหมาะสมเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า คุ้มทุนในการจัดการ - องค์กรมีขนาดกำลังคนที่เหมาะสมใช้กำลังคนให้สอดคล้อง กับภารกิจเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าผู้ปฏิบัติมีความเข้าใจที่มาที่ไป ของกําลังคนทั้งในเชิงตัวเลขอัตรากำลังและความเหลี่ยมโหว ของบุคลากรทำให้สามารถปรับใช้แผนกำลังคนและบริหาร กรอบอัตรากําลังด้อย่างเหมาะสม
      - ผลการวิจัยของ ขวัญใจ ภูมิเขต. (2562) พบว่าหัวหน้าหน่วยงานทางการพยาบาลท่ีได้รับรางวัลพยาบาลดีเด่นระดับบริหาร มีประสบการณ์ความสาเร็จในการบริหารงานด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย 1) การบริหารงานบุคคล โดยการพัฒนา บุคลากร การให้ขวัญกาลังใจ การสร้างการทางานเป็นทีม การยืดหยุ่นในการทางาน การใช้กฎระเบียบในการควบคุม และการตักเตือนเมื่อเกิดความผิดพลาด ความยุติธรรมและความโปร่งใส 2) การบริหารงบประมาณ 3) การบริหาร ทรัพยากร 4) การบริหารจัดการ ในด้านการวางแผน การจัดองค์การ การนา และการประเมินผล นอกจากน้ียังพบ ปัญหาในการบริหารงาน ได้แก่ ปัญหาด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ในการดาเนินงาน และด้าน การให้บริการผู้ป่วย โดยหัวหน้าหน่วยงานทางการพยาบาลมีความเห็นว่าการก้าวสู่ตาแหน่งหัวหน้าหน่วยงานทางการพยาบาลต้องมีการเตรียมคน เตรียมความพร้อมในการบริหาร และมีภาวะผู้นา จึงจะทาให้ประสบความสาเร็จ ในการบริหารงาน
  - - - ร่วมกําหนดพันธกิจ นโยบาย เป้าหมายในการจัดทําและจัดสรรงบประมาณ
      - จัดทํางบประมาณของกลุ่มการพยาบาล
      - ร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณางบประมาณ
      - บริหารงบประมาณ ควบคุมค่าใช้จ่าย
      - จัดทําคู่มืองบประมาณ
      - วางแผน/จัดให้มีการพัฒนาความรู้เกี่ยวกันการเงินและงบประมาณ
    - - 1) ขั้นเตรียมงบประมาณ (Budget preparation)
      - 2) ขั้นตอนอนุมัติงบประมาณ (Budget adoption)
      - 3) ขั้นการบริหารงบประมาณ (Bugget execution)
    - - แบบงบยอดรวม (Global budget/Block grant) เป็นงบประมาณยอดรวมแบบปลายปิด ที่กําหนดไว้ แล้วว่าจะให้เท่าไร มีฐานข้อมูลจากจํานวนเตียงผู้ป่วย จํานวนผู้ป่วยนอก/ใน ปัญหาพื้นที่ โรคต่างๆ หรือ อื่นๆ มาเป็นตัวกําหนด เป็นการจ่ายงบประมาณก่อนที่จะมีการปฏิรูประบบสุขภาพ และเปลี่ยนมาใช้หลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ
      - แบบเหมาจ่ายรายหัวประชากร (Capitation) เป็นงบประมาณที่กําหนดมาจากจํานวนประชากรใน พื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยกําหนดค่าราคาต่อหัวประชากรไว้เท่ากันทุกคน ทั่วทั้งประเทศ เป็นงบประมาณที่ใช้ใน ระบบบริการสุขภาพภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
      - แบบอัตราคงที่ เช่น การรับเข้านอนโรงพยาบาล (Fixed rate)
      - แบบตามรายโรคที่ป่วย ดูตาม DRGs(Cases-based budget) ซง่ึ เป็นวิธีการจัดกลุ่มการวินิจฉัยโรค ร่วมและใช้น้ําหนักสัมพัทธ์ ในการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน โดยการกําหนดอัตราราคาพื้นฐาน(Base rate) ไว้ล่วงหน้า (Prospective payment system) โดยให้อัตรานั้นเท่ากับหนึ่งหน่วย RW ซึ่งในการเบิกจ่าย ขึ้นอยู่กับค่าน้ําหนักสัมพัทธ์ หรือ Adjusted RW (AdjRW) ตามวันนอน (Length of stay = LOS) และตาม Medical & Surgical DRGs
      - แบบรายวัน เช่น บริษัทประกันชีวิต ค่าชดเชยรายวัน (Daily rate)
      - แบบรายกิจกรรม มีหรือไม่มีราคากลาง (Fee-for-service and price schedule) กําหนดค่าราคาใน แต่ละกิจกรรม (Procedure/Service) ที่ให้กับผู้ป่วยในแต่ละประเภท
- - - - ช่วยให้องค์การมีกรอบและทิศทางที่ชัดเจน
      - 2.ช่วยให้ผู้บริหารคิดอย่างเป็นระบบโดยการพิจารณาถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์การ
      - 3.ช่วยสร้างความพร้อมให้องค์กร
      - ช่วยสร้างประสิทธิภาพในการแช่งขันความได้เปรียบทางการแข่งขันนี้สามารถเกิดขึ้นจากการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ
      - ช่วยให้การทำงานเกิดความสอดคล้องในการปฏิบัติหน้าที่
      - ช่วยให้องค์การมีมุมมองที่ครอบคลุม
    - - 1.การกำหนดกลยุทธ์
      - 2.การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์
      - 3.การนำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ
      - 4.การประเมินเเละควบคุมกลยุทธ์
  - - - ทฤษฎีการบริหารเชิงกลยุทธ์ของแอนซอฟ (Ansoff, 1979)
        เน้นการออกแบบกลยุทธ์ ให้ความสำคัญอย่างมากกับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ โดยเขานำเสนอว่าการออกแบบกลยุทธ์และการวิเคราะห์ปัจจัยสภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ ช่วยให้การบริหารกลยุทธ์บรรลุเป้าหมาย โดยเขาเสนอว่าการบริหารเชิงกลยุทธ์จะต้องประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
        (1) การวางแผนกลยุทธ์
        (2) ความสามารถในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง
        (3)ความสามารถในการจัดการกับปัจจัยภายในที่เป็นตัวต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
      - ทฤษฎีการบริหารเชิงกลยุทธ์ของพอตเตอร์ (Porter, 1980) เขาเสนอทฤษฎีกลยุทธ์การแข่งขัน (Competitive strategy) โดยกล่าวว่า องค์การควรจะมีการกำหนดกลยุทธ์ 3 ทางเลือก
        เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ คือ กลยุทธ์ผู้นำ ต้นทุน (Cost leadership)
        กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง (Differentiation strategy)
        กลยุทธ์มุ่งเน้น เฉพาะส่วน (Focus strategy) และได้เสนอการวิเคราะห์โครงสร้างอุตสาหกรรม ภาวการณ์แข่งขัน และศักยภาพการทำกำไรของอุตสาหกรรมโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Five forces model ได้แก่ (1) สภาพการแข่งขันภายในตัวธุรกิจนั้นเอง (2) สภาพการแข่งขันจากภายนอกธุรกิจนั้น (3) สภาพ แรงกดดันจากคู่แข่งทางอ้อมหรือสินค้าทดแทน (4) อำนาจต่อรองจากผู้ขายวัตถุดิบให้กับธุรกิจ (5) อำนาจต่อรองจากผู้ซื้อ รวมทั้งนำเสนอแนวคิดเรื่องการวิเคราะห์กิจกรรมสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value chain analysis)
        ประกอบด้วย กิจกรรมหลักขององค์การ 5 ประการ ได้แก่
        (1) Inbound logistics
        (2) Operations
        (3) Outbound logistics
        (4) Marketing and sales
        (5) Services และกิจกรรม
- - - - เป็นหนึ่งในกระบวนการบริหารหอผู้ป่วย โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการพยาบาลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีความพึงพอใจทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ
        
        บูรณาการการดูแลผู้รับบริการให้ครบ องค์รวมทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ และ ครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสภาพ
      - การพัฒนารูปแบบการมอบหมายงานพยาบาล หอผู้ป่วยสามัญอายุรกรรม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
        
        สร้างการมีส่วนร่วมพัฒนา โดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การจัดทําแผนปฏิบัติการในการพัฒนารูปแบบการมอบหมายงานพยาบาลเพื่อ เอื้ออํานวยการใช้กระบวนการกลุ่ม ทําให้เกิด การมีส่วนร่วมแก้ไขหรือพัฒนาร่วมกัน
        
        สร้างทีมนําการพัฒนา และพัฒนาแนวปฏิบัติการมอบหมายงานพยาบาล โดยใช้การประชุมระดมสมอง จัดอบรมทบทวนความรู้เรื่อง การมอบหมายงานพยาบาลและบทบาทหน้าที่ในทีมการพยาบาล
        
        สร้างความตระหนักในการพัฒนา โดยใช้กลวิธีการพัฒนา โดยใช้กลวิธีการนําเสนอข้อมูลจากการศึกษาสถานการณ์ปัญหาการมอบหมายงานพยาบาลในปัจจุบัน และการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการเพื่อให้เกิดการสะท้อนคิดทําให้ได้ข้อตกลงในการพัฒนาร่วมกัน
  - - - การพัฒนารูปแบบการมอบหมายงานในหอผู้ป่วยในชายโรงพยาบาลโพนพิสัย
  - - - ระดับการติดต่อสื่อสารและความไว้วางใจระหว่างผู้บริหารกับลูกน้องมีมากขึ้น
      - • โอกาสบรรลุเป้าหมายของงานมีเพิ่มขึ้นหากได้รับความร่วมมือจากผู้รับมอบหมายงาน
        • มีแรงจูงใจในการทํางานมากขึ้น อันเนื่องมาจากการได้มีส่วนร่วมในการทํางานมากขึ้น
        • โอกาสในการพัฒนาทักษะการทํางานมีมากขึ้น
      - • ค่าใช้จ่ายลดลง หากงานนั้นถูกมอบหมายให้กับคนที่เหมาะสม และถูกมอบหมายใน ระดับความรับผิดชอบที่เหมาะสมที่สุด
      - • ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของผลงานโดยรวมเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ในองค์การอย่างคุ้มค่าที่สุด