Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 6 หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ, 5555555, 6666666, 7777777,…
หน่วยที่ 6 หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ
มารยาทชาวพุทธ
การแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย
พระรัตนตรัย หมายถึง พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์
วิธีแสดงความเคารพพระรัตนตรัย
คือ การกราบด้วยวิธีเบญจางคประดิษฐ์ การกราบด้วยการให้อวัยวะทั้ง ๕ ส่วน จดกับพื้น มือ ๒ เข่า๒ หน้าผาก ๑
ขั้นตอนการกราบพระรัตนตรัย
ท่าเตรียม
ชาย : นั่งท่าเทพบุตร เข่ายันพื้นห่างกันพอควร ปลายเท้าตั้งชิดกัน นั่งทับส้นเท้า
หญิง : นั่งท่าเทพธิดา เข่ายันพื้นในลักษณะชิดกัน
ปลายเท้าราบไปกับพื้น หงายฝ่าเท้านั่งทับส้นเท้า
จังหวะที่ ๑
ประนมมือระหว่างอก (อัญชลี)
จังหวะที่ ๒
ยกมือประนมขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย นิ้วหัวแม่มือจดกลางหน้าผาก (วันทา)
จังหวะที่ ๓
การกราบ (อภิวาท)
๑.ก้มลงกราบโดยทอดศอกให้แขนทั้งสองข้างลงพื้นพร้อมกัน
๒. คว่ำมือทั้งสองแบนราบกับพื้น ให้นิ้วทั้ง ๕ ชิดกัน มือทั้งสองวางห่างกันเล็กน้อย พอให้หน้าผากจดพื้นในระหว่างมือทั้งสองข้างได้
๓. ผู้ชายต้องให้ศอกต่อเข่า
:ผู้หญิงให้ศอกแนบเข่าทั้งสอง
๔. ลุกนั่งในท่าคุกเข่า ทำตามจังหวะทั้ง ๓ ติดต่อไปจนครบ ๓ ครั้ง แล้วทรงตัวขึ้น ยกมือประนมจดหน้าผากอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า จบ แล้วลดตัวนั่งในท่าปกติ
การแสดงความเคารพต่อปูชนียสถาน
ปูชนีสถาน
สถานที่อันควรแสดงความเคารพสักการะ คือ ศาสนสถาน โบสถ์ วัด
วิธีแสดงความเคารพ
ถ้าเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมีพื้นที่เหมาะสมที่จะแสดงความเคารพได้อย่างสะดวก
เช่น ในโบสถ์ วิหาร ให้ใช้วิธีการกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์
ถ้าเป็นสถานที่ไม่เหมาะแก่การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ให้ใช้วิธีประนมมือไหว้
ปูชนียบุคคล
คนที่ควรแสดงความเคารพสักการะ คือ พระภิกษุ บิดา มารดา ครู อาจารย์ ผู้ที่ควรแสดงความเคารพทั่วๆไปวิธีแสดงความเคารพต่อปูชนียบุคคล
๑) การกราบพระ
๑.๑ การกราบพระ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป หรือพระภิกษุ ใช้วิธีแสดงความเคารพเหมือนกัน
คือ กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์
๑.๒ การกราบบิดา มารดา ครู อาจารย์
ปฏิบัติดังนี้
นั่งพับเพียบเก็บปลายเท้า
เบี่ยงตัวหมอบลง ให้เข่าข้างหนึ่งอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้าง
วางแขนทั้งสองราบลงกับพื้นตลอดครึ่งแขน คือ จากศอกถึงมือ
ประนมมือวางตั้งลงกับพื้นแล้วก้มศีรษะลงให้หน้าผากแตะสันมือ
ทำครั้งเดียวไม่แบมือ แล้วทรงตัวขึ้นนั่ง
๒) การไหว้
๒.๑ การไหว้พระสงฆ์ (ขณะยืน)
ยกมือที่ประนมขึ้นจดหน้าผาก
ให้ไปหัวแม่มือจดระหว่างคิ้ว ค้อมศีรษะลงให้ปลายนิ้วชี้จดตีนผม แนบมือให้ชิดหน้าผาก ค้อมตัวให้มาก
ผู้ชาย ให้ยืนส้นเท้าชิด ปลายเท้าแยกเล็กน้อย
ผู้หญิง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าเพื่อยันพื้นกันล้ม ย่อตัวค้อมศีรษะลงไหว้ ไหว้ตรงๆ ไม่เอียงซ้ายหรือขวา
๒.๒) การไหว้บิดามารดา (ขณะยืน)
ยกมือที่ประนมขึ้นจดส่วนกลางของหน้า
ให้ปลายนิ้วหัวแม่มือจดปลายจมูก ค้อมศีรษะให้ปลายนิ้วชี้จดระหว่างคิ้ว
ผู้ชาย ให้ยืนส้นเท้าชิด ปลายเท้าแยกเล็กน้อย ค้อมแต่ส่วนไหล่และศีรษะ
ผู้หญิง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าย่อตัวลงไหว้ ค้อมศีรษะต่ำรับปลายนิ้ว
๒.๓) การไหว้ผู้ใหญ่
ยกมือที่ประนมจดส่วนล่างของหน้า ให้ไปหัวแม่มือจดปลายคาง ให้นิ้วชี้จดจมูกส่วนบน กรมศีรษะรับปลายมือให้พองาม
๒.๔) การรับไหว้
ยกมือทั้งสองมาประนมไว้ที่อกแล้ว
ค้อมให้ผู้ไหว้เล็กน้อย
การปฏิสันถารตามหลักปฏิสันถาร
การปฏิสันถาร
การต้อนรับแขก การทักทายปราศรัย
ในสังคมไทย มีคำกล่าวว่า " เป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ.."
๑) อามิสสปฏิสันถาร
การต้อนรับด้วยสิ่งของ เช่น เมื่อแขกมาพบให้หาน้ำมารับรองก่อนแล้วก็รับรองด้วยอาหาร ตามสมควร ในอดีตมีคำกล่าวทักทายกันติดปากว่า " ไปไหนมา กินข้าวหรือยัง มากินกันก่อน " แสดงให้เห็นว่า คนไทยให้ความสำคัญกับการต้อนรับแขกด้วยอาหาร มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ
๒) ธรรมปฏิสันถาร
การต้อนรับด้วยธรรม หมายถึง การต้อนรับที่ทำพอดีสมควรกับฐานะของแขก เช่น ถ้าแขกมาพบก็ต้องลุกขึ้นยืนต้อนรับ ถ้าแขกมีเรื่องเดือดร้อนใจมาขอคำปรึกษาก็ต้องเป็นผู้ฟัง และให้คำแนะนำช่วยแก้ปัญหาตามแต่อัตภาพของตน
การปฏิสันถาร
ถือเป็นมารยาทไทยที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกกับกาลเทศะ บุคคล สถานที่ อย่าให้ดูน้อยหรือมากจนเกินงามและแสดงออกด้วยความเต็มใจ จริงใจ
หน้าที่ชาวพุทธ
คือ สิ่งที่ชาวพุทธทั่วไปควรเรียนรู้ เพื่อจะได้ทราบและปฏิบัติตามได้ถูกต้อง
การบรรพชาและการอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
การบรรพชา แปลว่า การยกเว้นความชั่วทุกอย่าง
อุปสมบท แปลว่า การเข้าถึงสภาวะอันสูง หรือ การบวชเป็นภิกษุ
ประเภทของการบรชาและอุปสมบท
๑.เอหิภิขุอุปสัมปทา การบวชที่พระพุทธเจ้าประทานให้เองโดยการเปล่งวาจา
๒.ติสรณคมนูปสัมปทา การบวชด้วยวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สาวกทำในยุคต้นพุทธกาล
๓.โวาทปฏิคคหณูปสัมปทา การบวชด้วยการรับพระโอวาท
๔.ปัณหาพยากรณูปสัมปทา การบวชด้วยการตอบปัญหาของพระพุทธเจ้า
๕.ครุธรรมมปฏิคคหณปสัมปทาน การบวชด้วยการรับครุธรรม 8ประการ
๖.ทูเตนอุปสัมปทา การบวชด้วยทูต
๗.อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทา การบวชจากสงฆ์สองฝ่าย คือ ภิกษุ และภิกษุณี
๘ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา การบวชโดยคณะสงฆ์
ปัจจุบันการบวชมีอยู่ ๒ แบบเท่านั้น คือ ติสรณคมนูปสัมปทา ใช่สำหรับการบวชสามเณร และญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา ใช้สำหรับการบวชให้ภิกษุ
ประโยชน์ของการบวชบรรพชา
๑.เพื่อเรียนรู้พระธรรมวินัยฝึกฝนตนเอง
๒.เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป
๓.เพื่อฝึกฝนอบรมให้รู้จักอดทน อดกลั้น
๔.เพื่อดำรงตนให้เป็นพลเมืองดีของสังคม
การบวชเป็นชี ธรรมจาริณี หรืออเนกขัมมนารี
ชี = สตรีนุ่งขาว ห่มขาว โกนผม โกนคิ้ว
ธรรมจาริณี หรือ อเนกขัมมนารี = สตรีนุ่งขาว ห่มขาว ไม่โกนผม ไม่โกนคื้ว
วิธีการบวช
๑.ผู้ขอบวชต้องแต่งกายชุดขาว พร้อมสไบขาว
๒.ตัวแทนผู้ขอบวชถวายธูปเทียนแพแด่พระสงฆ์จำนวน ๑ รูป หรือ ๔ รูปขึ้นไป
๓.กราบ3ครั้ง
๔.กล่างคำบูชาพระรัตนตรัย
๕.กล่าวคำอาราธนาศิล ๘
๖.รับไตรสรณคมน์
๗.สมาทานศิล ๘
๘.นำเครื่องสักการะไปถวายพระอาจารย์ รับฟังโอวาท เป็นอันเสร็จพิธี
ประโยชน์ของการบวช
๑.เพื่อฝึกฝนอบรมตน
๒.เพื่อเพิ่มพูนบุญกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
๓.เพื่อให้จิตสงบนิ่ง ปราศจากความฟุ้งซ่าน
๔.เพื่อปลดเปลืองตนให้พ้นจากความทุกข์
การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์และธรรมศึกษา
ความเป็นมาของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ในประเทศไทยเริ่มมาจากแนวคิดของพระพิมลธรรมองค์สภานายกมหาจุฬาลงกรณ์ณราชวิทยาลัยหลังจากได้เดินทางไปดูงานด้านพระพุทธศาสนาที่ประเทศพม่าและศรีลังกาได้พบเห็นการสอนพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ในประเทศนั้นๆและเห็นว่ามีผลดีมากเมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทยจึงได้นำแนวคิดดังกล่าวมาหารือร่วมกับผู้บริหารโดยได้ดำเนินการเปิดสอนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๐ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร
วัตถุประสงค์ของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
๑.เพื่อให้นักเรียนและเยาวชนมีความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนา
๒.เพื่อส่งเสนริมความรู้ และปลูปฝังศิลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้กับเด็กและเยาชน
๓.เพื่อให้เด็กและเยาวชนใกล้ชิดกับพระภิกษุและสามเณร
๔.เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดปรพโยชน์
วัตถุประสงค์ของการจัดธรรมศึกษา
๑.เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนมีโอกาสศึกษา พุพทธประวัติ พุทธสาวก เป็นต้น
๒.เพื่อให้คฤหัสถ์สามารถนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
๓.เพื่อความมั่นคงและแพร่หลายยิ่งๆขึ้นไป
๔.เพื่อสร้างสังคมคุณภาพ
การปลูกจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมในสังคมพุทธ
สังคม =การอยู่ร่วมกันของสมาชิก ต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน
สังคมพุทธ =การอยู่ร่วมกันของสมาชิกที่ประกอบด้วยพุทธบริษัท ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
๑. การบวช:วิธีหนึ่งของการสร้างสมาชิกให้กับสังคมพุทธ คือการที่ผู้ชายต้องทำหน้าที่บวชเรียนพระธรรมวินัยเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไป
๒.ศึกษาคำสอนและปฏิบัติตามคำสอน สังคมพุทธเน้นการศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อเรียนรู้และเข้าใจธรรมะจึงต้องปฏิบัติอย่างถูกต้อง
เช่นเมื่อเรียนรู้กฎแห่งกรรมก็จะต้องรับกรรมชั่วทำแต่ความดี
๓.เผยแพร่คำสอน ทั้งพระและฆราวาสควรเข้าใจและนำหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาไปใช้อย่างถูกต้อง เช่นเชื่อกรรมว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตัวเองผู้ทำกรรมต้องรับผลกรรมของตนไม่สามารถแก้กรรมหรือลบล้างชำระบาปไม่ให้ส่งผลแก่ผู้กระทำได้
๔.ปกป้องและรักษาพระพุทธศาสนา สังคมพุทธไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสต่างก็มีหน้าที่ต้องสอดส่องดูแลถ้าพบว่ามีผู้ใดทำผิดลบหลู่พระพุทธศาสนาก็จะต้องหาทางช่วยปกป้องและรักษาพระพุทธศาสนา
การปฏิบัติตนที่เหมาะสมในฐานะผู้ปกครองและผู้อยู่ในปกครองตามหลักทิศเบื้องล่างในทิศ ๖
สำหรับผู้ปกครองพึงปฏิบัติดังนี้ ๑ จัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลังความสามารถ ๒ ให้อาหารและให้รางวัล ๓ รักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ ๔ แจกของที่มีรสแปลกให้กิน ๕ มีวันหยุดพักผ่อนตามโอกาสบ้าง
สำหรับผู้อยู่ในปกครองพึงปฏิบัติต่อผู้ปกครองดังนี้
๑ เริ่มงานก่อนนาย
๒ เลิกงานทีหลังนาย
๓ ถือเอาแต่ของที่นายให้
๔ ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น
๕นำเกียรติคุณของนายไปเผยแพร่
การเข้าค่ายพุทธธรรม
ประโยชน์ของการเข้าค่ายธรรมะ ๑)ปลูกฝังนิสัยที่ดีงามตามหลักพระธรรมศาสนา
๒) รู้จักการอยู่ร่วมกันสังคม ๓) เรียนรู้หลักธรรมและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน ๔) ได้ฝึกอบรมจิตฝึกใช้ชีวิตครองตนถือเพศพรหมจรรย์
การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
1การมอบตัวกับพระอาจารย์ ผู้ปกครองหรือครูนำเด็กไปพบพระอาจารย์พร้อมดอกไม้ธูปเทียน
2 สถานที่ ควรจัดในสถานที่ที่เหมาะสมเช่นพระอุโบสถพระวิหารศาลาการเปรียญหอประชุมเป็นต้น
3 พิธีการให้ผู้แสดงตนหรือตัวแทนจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยจากนั้นปฏิบัติตามขั้นตอน
การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาคือวิธีการในการประกอบพิธีหรือกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ความสำคัญของการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ๑ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคม
๒ เป็นจุดนัดหมายให้ตั้งใจเริ่มต้นเตรียมตัวให้พร้อม
๓. เป็นเครื่องควบคุมกายวาจาและใจให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว
๔.เป็นอุบายที่ทำให้คนหมู่มากอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข