Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ระบบกฎหมายอังกฤษ, Q ข้อแตกต่างระหว่าง Common Law กับ Civil Law, Q…
ระบบกฎหมายอังกฤษ
2) Norman
(1066-1485)
ดุ๊คแห่งนอร์มังดี (William) ชนะกองทัพของ Harold ที่เมือง Hasting
ปราบดาภิเษกเป็น King ที่โบสถ์ เวสต์มินสเตอร์ = William the Conqueror
จัดตั้ง Curia Regis = สภาที่ปรึกษาของ King
(สมัย Anglo-Saxon ชื่อ สภา Witan)
มีศาลชายร์ เปิดทำการทุกเดือน
ศาลฮันเดร็ด ทุก 4 d
วิธีพิจารณาคดี
พิสูจน์ด้วยไฟหรือน้ำ
ให้ผีสางเทวดา เป็นผู้วินิจฉัย
ถ้าบริสุทธิ์จริง เทวดาจะคุ้มครอง
1) ถือเหล็กเผาไฟร้อนแดง เดินหรือวิ่ง 9 ฟุต วางเหล็กแล้วเอาผ้าพันมือ ประทับตรา 3 วัน 3 คืน แล้วแกะผ้าออก ถ้าไม่มีแผล = บริสุทธิ์
2) มือจุ่มกระทะน้ำเดือดเพื่อเอาหินขึ้นมา
หลังจากนั้น 3 วันถ้ามือไม่มีรอยถูกน้ำลวก = บริสุทธิ์
3) โยนจำเลยลงน้ำเย็น ถ้าจม = บริสุทธิ์
(ลอย = มีความผิด เพราะเทวดาอุ้มไว้ไม่ให้จม)
4) กลืนอาหาร เช่น ขนมปัง หรือเนยแข็ง แล้วแช่งให้ติดคอ ถ้ากลืนได้ = บริสุทธิ์
คดีอุฉกรรจ์ มหันตโทษ
ต่อสู้กันด้วยกำลังกาย
แพ่ง เอาคนที่อยู่ในที่ดินตัว และจงรักภักดีมาสู้
ต่อมาเอานักต่อสู้อาชีพมาสู้แทน
อาญา เอาตัวโจทย์และจำเลยสู้กันเอง
ถ้าจำเลยแพ้ แต่ไม่ตาย จะถูกจับแขวนคอต่อทันที
ยุค พระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 ให้คู่ความมีสิทธิปฏิเสธต่อสู้ หากไม่ชำนาญการใช้อาวุธ และใช้วิธีหาคนร่วมสาบานแทน
สาบานตัวว่าจำเลยเป็นบุคคลที่เชื่อถือ
(Compurgation)
จำเลยต้องหาคนมาศา 12 คน หรือแล้วแต่ศาลกำหนด กล่าวสาบานต่อศาลว่าจำเลยเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ (แต่ไม่ได้สาบานว่าข้อเท็จจริงในคดีเป็นไปตามที่จำเลยกล่าวอ้างนะ)
ถ้าหาคนมาเป็น compurgator ไม่ได้ ก็แพ้คดีไปเลย
สมัยก่อนจริงจังกับคำสาบาน
ต้องพูดให้เป๊ะ ไม่ติดขัด
แต่ละคนน้ำหนักไม่เท่ากัน
e.g. ขุนนางชั้นบารอน = สามัญชน 6 คน
ระบบ Feudalism
(ระบบการถือครองที่ดินโดย
มีพันธะผูกพันซึ่งกันและกัน)
King เป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมด
คนอื่นเป็นผู้เช่าโดยได้รับพระราชทานอีกที
พระเจ้า Willian ยกที่ดินให้คน French ผู้สวามิภักดิ์ที่ช่วยรบถือครอง
แต่ก็ไม่ให้เยอะไป เดี๋ยวมีอำนาจเกิน
ต้องตอบแทนโดยส่งทหารให้ King ตามที่ดินที่ได้
เพื่อสร้างกองทัพส่วนกลาง
พอจำนวนเพิ่มมากขึ้น จำเป็นต้องมีกฎระเบียบข้อบังคับให้ทหารอยู่ร่วมกันโดยมีระเบียบวินัย
จุดเริ่มแรกของ COMMON LAW
มีรากฐานจากจารีตประเพณี+
ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ผสมกับ กมโรมัน +
กม คริสต์ศาสนา (Canon Law)
พระเจ้า WIlliam ให้ผู้สวามิภักดิ์ สามารถพิพากษาคดีแต่ละท้องที่ได้ด้วย โดยยึดตามจารีตประเพณีแต่ละชนเผ่า ซึ่งไม่เหมือนกัน
และมีปัญหาอื่น ๆ
3 more items...
สมัยหลัง ๆ King ไม่ค่อยอยู่ในประเทศ
สมัยพระเจ้าริชาร์ดที่ 1
ตั้งหัวหน้าศาล ทำงานแทน
1 more item...
แบ่งที่ดินให้ราษฎรเข้าทำประโยชน์ และจ่ายเงินตอบแทนคืน
Magna Carta
พระเจ้าจอห์น (1199-1216)
มีปัญหาหลายอย่างมาก
เสียดินแดนให้ฝรั่งเศสหลายแห่ง
ขัดแย้งกับสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3
ขับไล่พระองค์ออกจากศาสนาเลย
เหล่าขุนนางเอง แข็งข้อ
King เอาทหารไปทำสงครามทีฝรั่งเศสตลอด แต่ขุนนางไม่อยากไป อ้างว่าช่วยรบแค่ในประเทศ
แพ้บ่อย
เก็บเงินช่วยเหลือ/ภาษีจากขุนนางเพิ่มขึ้น
ขุนนางก่อกบฏสำเร็จ และบังคับให้ลงนามใน Magna Carta ที่ Runnymede ปี 1215
มี 63 ข้อ เป็นจุดเริ่มต้นของกมรัฐธรรมนูญ
เพื่อริดรอนอำนาจและกำจัดการกระทำที่ไม่ชอบของพระเจ้าจอห์น
1) Anglo-Saxon
(600-1066)
เยอรมัน 3 เผ่า (แองเกิล แซกซอน จูทส์) เข้ามาครอง Eng + ทำลายกมโรมัน + ใช้กมเยอรมันแทน
กมจารีตประเพณี ว่าด้วยคสพในสังคม
กำจัดการแก้แค้นกันเอง ให้คู่ความฝ่ายที่ทำให้เกิดความเสียหายชดใช้เป็นเงินตรา
ขึ้นกับค.รุนแรงค.ผิด + ฐานะของคนที่ได้รับความเสียหาย
แต่ละท้องถิ่นมีประเพณีที่แตกต่างกัน
การตัดสินก็จะไม่เหมือนกันทั้งประเทศ
ยังไม่นับเป็น common law
แบ่งการปกครอง
Shire
ศาลชายร์
ยุคนอร์แมน เรียกศาลเคาน์ตี้
Hundred
ศาลฮันเดร็ด
3) Equity
(1485-1832)
เกิดจากศาลหลวงตัดสินคดีแล้ว ไม่สามารถให้ความเป็นธรรมแก่คู่ความได้อย่างแท้จริง
เพราะยังยึดมั่นกับวิธีการ Common Law ที่ยืดหยุ่น และล้าสมัย
เช่น ผิดสัญญาว่าจ้าง ไม่ก่อสร้างตามสัญญา หรือไม่โอนที่ดินให้ ศาลตัดสินแค่จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทน แต่ผู้ว่าจ้างต้องการการก่อสร้างหรือที่ดินมากกว่า
เลยไปร้องถวายฎีกาต่อกษัตริย์โดยตรง ให้ทรงวินิจฉัยให้หน่อย
ตอนแรกผ่าน Chancellor (ราชเลขาธิการในพระองค์) ก่อน รับไปพิจารณาในคณะองคมนตรี ที่มี king เป็นประธาน
ตอนหลังเยอะเกิน Chancellor เลยได้อำนาจตัดสินเอง ในศาลที่เรียกว่า Chancery Court
ยึดหลักความยุติธรรม (Equity) เช่น ศาลชานเซอรี่บังคับให้ก่อนสร้างหรือโอนขายที่ดินตามสัญญาได้ ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น -->
เลยเรียกวาศาลเอ็คคิวตี้
ข้อแตกต่างจาก Common Law 5 ข้อ
การวิวัฒนาการ
เอ็คคิวตี้ มาจากศาลชานเซอรี่
Common Law มาจากศาลหลวง เวสต์มินสเตอร์
การใช้กฎหมาย
เอ็คคิวตี้ ใช้ในศาลชานเซอรี่ เท่านั้น
Common Law ใช้ในศาล Common Law
วิธีพิจารณาความ
เอ็คคิวตี้ ใช้กมคริสตศาสนา (Canon Law) + กมโรมัน
Common Law ใช้คณะลูกขุน
ดุลพินิจ
เอ็คคิวตี้ ให้อิสระในการตัดสิน
(ให้อยู่ในดุลพินิจของชานเซลเลอร์ได้เลย)
Common Law ไม่มีอิสระ ยึดตามจารีตประเพณีเท่านั้น
การเยียวยา
เอ็คคิวตี้ เยียวยาโดยการบังคับให้ทำได้ เป็นการชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง (Specific performance) ตามที่ระบุในสัญญา
Common Law ให้เยียวยาได้แค่ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินตราเท่านั้น
4) ยุคปัจจุบัน
(1832-now)
แนวคิดในสังคมเปลี่ยนแปลงจากเสรีนิยม
เป็นสังคมนิยม
เกิดปัญหาใหม่ ๆ และซับซ้อน ที่ common law และ equity ไม่สามารถตัดสินได้
เพิ่มกมลายลักษณ์อักษร มี 2 ประเภท
กม ฝ่ายนิติบัญญัติ
โดยรัฐสภา มี 2 สภา คือสภาสูง หรือ สภาขุนนางกับ สภาล่าง หรือสภาสามัญ
ออกเป็น พรบ (Act of Parliament หรือ Act)
กม ฝ่ายบริหาร
ได้รับมอบหมายจากรัฐสภาอีกที
ออกเป็น พรก (The order in Council)
สรุปคำพิพากษาของศาล
มีพันธะต้องยึดตามแนวคำพิพากษา
เรื่องเดียวกันที่เคยตัดสินในอดีตก่อนเป็นบบรทัดฐาน (อิง Common Law ก่อน)
หากไม่มีคำพิพากษาก่อนกำหนดไว้
ให้ศาลกำหนดกมขึ้นใหม่ อิงตามจารีตประเพณี
ถ้าไม่มีอีก ก็ใช้หลักยุติธรรมหรือ เอ็คคิวตี้
อิงตามศักดิ์ของศาลด้วย คือต้องยึดตามศาลที่ศักดิ์สูงกว่าหรือเท่าเทียมเสมอ และสามารถแก้คำพิพากษาของศาลล่างได้เสมอ
Q ข้อแตกต่างระหว่าง Common Law กับ Civil Law
ที่มาของกฎหมาย
Common law มาจากจารีตประเพณี ที่ใช้บังคับเป็นกม และคำพิพากษาเดิมของศาลที่เคยตัดสินคดีต่าง ๆ ให้ใช้เป็นบรรทัดฐานที่ศาลต่อมาต้องยึดถือและพิพากษาตาม (๋Judge made law)
ร่วมกับหลักความยุติธรรม (Equity)
Civil law ส่วนใหญ่เป็นกมลายลักษณ์อักษร และประมวลกมต่าง ๆ
วิธีพิจารณาคดี
Common Law มีลูกขุน = วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อเท็จจริง แต่ผู้พิพากษา = วางหลักกมและชี้ขาดปัญหาข้อกม
สำหรับคดีอาญาที่อุกฉกรรจ์
พิจารณาด้วยวาจา
ให้คู่ความต่อสู้คดีกันเต็มที่ โดยนำพยานหลักฐานมานำสืบให้ศาลเชื่อตามที่กล่าวอ้าง ศาลจะเป็นคนความคุมให้สู้กันในหลักเกณฑ์ที่กำหนด = การพิจารณาคดีระบบปรปักษ์ (Adversary System)
Civil Law ผู้พิพากษา =
วินิจฉัยชี้ขาดทั้งข้อเท็จจริงและหลักกม
(ไม่มีลูกขุน)
ใช้ระบบเสาะหาข้อเท็จจริง (Inquisitorial system) หรือระบบไต่สวน
ระบบกล่าวหา (Accusitorial system)
การจำแนกประเภทกฎหมาย
Common Law แยกแค่ Common Law
กับ Equity
ไม่มีศาลปกครอง ทั้งแพ่ง อาญา คดีปกครอง อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรมเพียงศาลเดียว
ระบบศาลเดี่ยว
Civil Law แยกเป็นกม เอกชนและมหาชน
มหาชน - คดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างราษฎร กับ เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง ขึ้นศาลปกครอง
เอกชน - คดีแพ่งหรืออาญา ขึ้นศาลยุติธรรม
ระบบศาลคู่ (คือมีทั้งศาลปกครอง
และศาลยุติธรรม)
ผลของคำพิพากษา
Common Law พิจารณาจากข้อเท็จจริงในคดีนั้นมากำหนดเป็นหลักเกณฑ์อันเป็นบรรทัดฐานหรือแบบอย่าง = กม ไปเลย
ศาลต่อ ๆ มาต้องผูกพันคำพิพากษาไปในแนวทางเดียวกัน
Civil Law เอาตัวบทกม ที่เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปอยู่แล้ว มาปรับกับคดีเป็นเรื่อง ๆ
คำพิพากษาที่ตัดสินแล้ว ไม่ถือว่าเป็นบรรทัดฐานที่ศาลต่อมาต้องพิพากษาไปในแนวเดียวกัน ศาลชั้นต้น ก็ไม่จำเป็นต้องยึดตามแนวคำพิพากษาของศาลชั้นสูง
การศึกษากฎหมาย
Common Law ต้องศึกษาจากคำพิพากษาที่ศาลตัดสินไว้เป็นบรรทัดฐาน
เน้นฝึกวิเคราะห์ข้อเท็จจริงในคดีเพื่อแยกแยะเอาหลักเกณฑ์นำมาใช้เป็นแบบอย่างคดีต่อ ๆ มา
Civil Law เน้นที่ตัวประมวลกมต่าง ๆ
ศึกษาความหมายของตัวบทกม ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามแนวความคิดของนักนิติศาสตร์ หรือนักปราชญ์ทางกฎหมาย หรือ คำพิพากษาของศาลสูงก็ดี
Q ทำไมไทยไม่ใช้ Common Law?
ได้รับอิทธิพลจากกมอินเดียว ตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ผสมกับจารีตประเพณีไทย = กมของไทยเอง
รัตนโกสินทร์ = กมตราสามดวง ใช้จนถึงยุคที่มีการติดต่อค้าขายต่างประเทศมากขึ้น
แต่ยังไม่รู้กมดีพอ จนมีศาลต่างประเทศเข้ามาตั้งในไทย ถ้าชาวต่างชาติทำผิด ไม่ต้องขึ้นศาลไทย
ร.5 ปรับปรุงโดยการ
รวมทุกศาลในประเทศ มาอยู่ในกระทรวงยุติธรรม
ส่งลูกไปเรียนกมที่ต่างประเทศ
ร.6 ปรับปรุงกมให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้ Civil Law ตามเยอรมัน ญี่ปุ่น เพื่อให้ได้รับเอกราชทางศาลโดยเร็ว
ให้ร่างประมวลกมขึ้นหลายฉบับ
แม้จะไม่ได้ใช้ Common law แต่ก็ยังเอาจารีตประเพณีมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย
รูปแบบพิจารณาคดี ก็เป็นแบบผสมผสาน คือ ไม่มีลูกขุนนั่งฟังแบบ Civil Law แต่ผู้พิพากษาก็มีสถานะเป็นคนกลางนั่งฟังพยานหลักฐานด้วย ไม่ได้ไต่สวนพยานเอง (วิธีการพิจารณาหลัก = ระบบกล่าวหา)