Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน้าที่ในการชำระหนี้ให้ถูกต้อง - Coggle Diagram
หน้าที่ในการชำระหนี้ให้ถูกต้อง
1.1หน้าที่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง
1)วัตถุแห่งหนี้
คือการที่ลูกหนี้ปฏิบัติการชำระหนี้ แบ่งเป็น 3 อย่าง
หนี้กระทำการ
เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องไปทำการงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง แก่เจ้าหนี้ เช่นไปสร้างบ้านให้ไปวาดรูปให้ตามสัญญาจ้างทำของ ไปทำการงานต่างๆให้แก่นายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน เช่นขุดดินทำ ทำงานบ้าน
หนี้งดเว้นกระทำการ
วัตถุในนี่นั้นอาจกำหนดให้ลูกหนี้ไม่ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ตกลงกันไว้ก็ได้ เช่นทำสัญญาเช่าที่ดินเค้าสร้างอาคารพาณิชย์เพื่อทำการค้าขาย เจ้าของที่ดินไม่ต้องการให้อาคารพาณิชย์ที่จะสร้างขึ้น บังวิวทิวทัศน์ ของบ้านตนจึงตกลงห้ามสร้างอาคารสูงเกิน 2 ชั้น ถ้าผู้เช่าสร้างอาคารสูงเกินกว่าที่ตกลงไว้ ผู้เช่าซึ่งเป็นลูกหนี้ก็ฝ่าฝืนหน้าที่ในการชำระหนี้และอาจถูกบังคับให้หรือถอนการที่ได้ทำลงนั้นตามมาตรา 213 วรรคสาม
หนี้ส่งมอบทรัพย์ หมายถึหมายถึงหนี้ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์แก่เจ้าหนี้
เช่น ซื้อขายข้าวกระเพรา ผู้ขายมีหน้าที่ส่งมอบข้าวกระเพรา ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคา
2)วัตถุแห่งหนี้กับวัตถุประสงค์แห่งนิติกรรม
วัตวัตถุไอ้นี่กับวัตถุประสงค์เห็นนิติกรรมอาจมีความใกล้เคียงกันอยู่เช่นทำสัญญาซื้อขายม้ากันหนึ่งตัว วัตถุประสงค์ของนิติกรรมคือการโอนกรรมสิทธิ์ในม้าจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ ในขณะที่เมื่อนิติกรรมการซื้อขายเกิดแล้ว วัตถุแห่งหนี้ในเรื่องนี้ก็คือการส่งมอบมาให้แก่ผู้ซื้อและผู้ซื้อก็มีหนี้ที่มีวัตถุแห่งหนี้เป็นการส่งมอบคืนเงิน
3)ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
หมายถึงทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้ คือ ทรัพย์ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ต้องส่งมอบแก่เจ้าหนี้
(1)ทรัพย์ที่ส่งมอบเป็นทรัพย์สินทั่วไป
1.การทีทรัพย์นั้นจะเป็นวัตถุชำระหนี้ กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 195 วรรคสอง 2กรณี
2)ลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ แล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ เช่น มีลูกค้ามาซื้อลูกสุนัขจากฟาร์มเลี้ยงสุนัข เมื่อเจ้าของฟาร์มได้เลือกลูกสุนัขที่ลูกค้าเห็นชอบแล้วตัวนั้นก็เป็นซับอันเป็นวัตถุแห่งหนี้ตั้งแต่เวลานั้น
1)ลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำเพื่อส่งมอบทรัพย์สินนั้นทุกประการแล้ว เช่น ลูกค้ามาซื้อข้าวสารสองกระสอบ จากข้าวสารในร้านที่มีมากมายผู้ขายได้จัดการ ขนข้าวสารจำนวน 2 กระสอบขึ้นรถของลูกค้าแล้ว เช่นนี้ข้าวสารจำนวน 2 กระสอบบนรถนั้นก็เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
2.กรณีทรัพย์ที่จะต้องส่งมอบได้ระบุไว้เป็นเพียงประเภท
จะต้องพิจารณาถึงสภาพแห่งนิติกรรมหรือเจตนาของคู่กรณีก่อนว่าสภาพนิติกรรมนั้นจะต้องส่งมอบซับชนิดใด เช่นซื้อข้าวสารเพื่อส่งไปประกวดคุณภาพระดับโลกเช่นนี้ก็ย่อมต้องสงเคราะห์ส่งมอบข้าวชนิดดีเยี่ยม
แต่แต่เมื่อไม่อาจกำหนดชนิดของซับนั้นได้ตามสภาพของนิติกรรมหรือตามเจตนาของคู่กรณีแล้วกฏหมายจึงกำหนดหน้าที่ว่าลูกหนี้จะต้องส่งมอบซับชนิดปานกลางคือลูกหนี้ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องส่งมอบข้าวศาลซื้อดีเยี่ยมให้หรือต้องส่งมอบข้าวคุณภาพต่ำสุดให้ต้องให้ข่าวที่มีคุณภาพปานกลาง
(2)ทรัพย์จะส่งมอบเป็นเงินตรา
1.กรณีหนี้เงินและแสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศ
มาตรา 196 บทกฎหมายนี้ให้สิทธิ์แก่ลูกหนี้ที่จะชำระหนี้เป็นเงินต่างประเทศตามที่แสดงไว้ก็ได้หรือจะใช้เป็นเงินไทยก็ได้
2.กรณีเงินตราที่จะพึงส่งใช้เป็นอันยกเลิกไม่ใช้แล้ว
กฏหมายจึงได้กำหนดทางแก้ไขไว้ในมาตรา 197 เป็เป็นบทบัญญัติที่บังคับแก่ทั้งสองฝ่ายคือทั้งฝ่ายลูกหนี้และฝ่ายเจ้าหนี้ คือกฎหมายให้ถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เงินตราชนิดนั้นตัวอย่างเช่น กู้เงินมาเป็นเงินหมาเยอรมัน แต่เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้เงินมาคืนมันไม่ใช้แล้วเพราะเปลี่ยนมาใช้เงินยูโรร่วมกันกับภูมิภาคในยุโรปแล้ว ดังนี้ พรุ่งนี้ก็จะชำระหนี้ด้วยเงินมั้งพิมพ์ไม่ได้เจ้าหนี้ก็จะเรียกให้ชำระด้วยเงินมากไม่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน ไมิใช่ให้สิทธิ์เฉพาะแก่ลูกหนี้เท่านั้น
4)กรณีวัตถุแห่งหนี้ซึ่งเลือกที่จะชำระได้
หนี้เดี่ยว เช่นกู้ยืมเงินก็มีหน้าที่ต้องชำระเงินกู้คืน
หนี้ผสม เป็นหนี้ที่มีวัตถุแห่งหนี้หลายอย่างแต่ลูกหนี้ต้องทำทุกอย่าง
เช่นตามสัญญาเช่าผู้ให้เช่าอาจมีหนี้ส่งมอบทรัพย์สินที่ให้เช่ามีหนี้กระทำการคือต้องซ่อมแซมทรัพย์สินที่ให้เช่าและมีหนี้เกินคือต้องไม่กระทำการอันเป็นการรบกวนครอบครองซับของผู้เช่า ในขณะที่ผู้เช้าก็มีหนี้กระทำการคือดูแลรักษาทรัพย์สินที่ให้เช่า นี่งดเว้นกระทำการคือต้องไม่นำทรัพย์สินที่เช่าไปใช้เพื่อการอย่างอื่น
หนี้เป็นหนี้ผสมอาจเป็นหนี้ที่เลือกชำระได้ซึ่งหมายถึง หนี้ที่มีวัตถุหลายอย่างแต่ไม่ต้องทำทุกอย่าง ตัวอย่างเช่นยืมเงินมา 2000 เจ้าของเงินบอกว่าจะนำเงินมาคืนเขา 2000 บาทหรือถ้าสุนัขออกลูกสุนัขหนึ่งตัวมาให้เค้าแทนก็ได้เช่นนี้จะเห็นได้ว่าวัตถุแห่งหนี้มีสองอย่างเราสามารถเลือกทำเพียงอย่างเดียวเท่านั้นไม่ต้องทำทั้งสองอย่างก็ได้ กฎหมายได้กฎหมายได้วางหลักเกณฑ์ในการชำระหนี้ในเรื่องของผู้มีสิทธิ์เลือกวิธีการ และกรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยไว้ในมาตรา 198 ถึง 202 ดังนี้
(1)สิทสิทธิ์ในการเลือก 4กรณี
1.ถ้ากำหนดไว้ให้ผู้ใดเป็นผู้เลือกอาจเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้บุคคลภายนอก
2.ถ้าไม่ได้กำหนดไว้ว่าใครเป็นคนเลือกการเลือกตกแก่ลูกหนี้
3.ถ้ากำหนดให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เลือกและไม่หาเรื่องได้สิทธิ์การเลือกตกแก่ฝ่ายลูกหนี้
4.ถ้ากำหนดให้ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายเลือกและฝ่ายมีสิทธิ์ไม่เลือกภายในเวลาที่กำหนด สี่จะตกแก่อีกฝ่ายหมายถึงแค่ลูกหนี้และเจ้าหนี้เท่านั้น ไม่หมายถึงบุคคลภายนอก
(2)วิธีการเลือก กฎหมายได้กำหนดวิธีการเลือกไว้โดยแยกเป็น 2 กรณี
•กรณีฝ่ายลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นผู้มีสิทธิ์เลือก
•กรณีบุคคลภายนอกเป็นผู้มีสิทธิ์เลือก
การเลือกต้องแสดงเจตนาแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง แต่บุคคลภายนอกต้องแสดงเจตนาแก่ลูกหนี้และลูกหนี้ต้องแจ้งความนั้นแก่เจ้าหนี้
(3)ระยะเวลาในการเลือกแบ่งเป็น 2 กรณี
•มีกำหนดระยะเวลาให้เลือก ถ้าไม่เลือกภายในเวลาที่กำหนดสิทธิการเลือกจะตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง
•ไม่ได้กำหนดเวลาให้เลือก เมื่อหนี้ถึง กำหนดชำระฝ่ายที่ไม่มีสิทธที่จะเลือกตามกำหนดเวลาพอสมควรแก่เหตุแล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายโน้นใช้สิทธิเลือกภายในเวลานั้น
(4)ผลของการเลือกผลของการเลือก ตามมาตรา 199 วรรคสอง การชำระหนี้ได้จะต้องเป็นอย่างไรแล้วท่านให้ถือว่าอย่างนั้นอย่างเดียวเป็นการชำระอีกอันกำหนดให้กระทำมาแต่ต้นมา ส่ส่วนเรื่องนั้นมีผลย้อนหลังไปถึงการตัวนี้ครั้งแรกและถือว่านี่นั้นอย่างเดียวกันกำหนดให้กระทำมาแต่แรก
(5)กรณีการชำระหนี้บางอย่างเป็นพ้นวิสัย
1.เป็นพ้นวิสัยมาแต่ต้น ตกเป็นโมฆะ จำกัดไว้เพียงงานกรณีอย่างสูงที่ให้พ้นวิสัยเท่านั้น
2.พ้นวิสัยในภายหลัง หมายถึงพ้นวิสัยภายหลังเกิดและก่อนใช้สิทธิ์เรือแบ่งเป็น 2 กรณี
•กรณีฝ่ายไม่มีสิทธิ์เลือกไม่ต้องรับผิดชอบ กรณีนี้ท่านให้จำกัดหนี้ไว้แต่เพียงอย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัยเท่านั้น
•กรณีฝ่ายไม่มีสิทธิ์เลือกต้องรับผิดชอบ คือ กรณีนี้ผู้มีสิทธิ์เลือกก็ไม่ถูกจำกัดไม่ต้องเลือกส่วนที่เป็นวิสัยเท่านั้น แต่ถ้าเค้าเลือกส่วนที่เป็นพ้นวิสัยการชำระหนี้โดยตรงก็ไม่สามารถทำได้ก็ต้องบังคับตามมาตรา 215 คือลูกหนี้ต้องชดใช้ค่าสินใหม่ทดแทน
1.2กำหนดเวลาชำระหนี้
1.หนี้มิได้มีกำหนดเวลาชำระหนี้ ตามมาตรา203 วรรคแรก
หนี้จะต้องไม่มีกำหนดเวลาทั้งโดยปริยายที่อนุมานจากพฤติการณ์ได้ เช่นกู้ยืมเงินไปโดยไม่ได้กำหนดวันชำระคืนไว้โดยไม่มีรายละเอียดอะไร ไม่สามารถอนุมานได้
ผล เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้เลยและถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ลูกหนี้ก็จะผิดนัดทันที
2.หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระ
2.1กำหนดเวลาชำระหนี้แต่เป็นที่สงสัย มาตรา203วรรค2
เจ้าหนี้ไม่สามารถเรียกชำระหนี้ก่อนกำหนดได้แต่ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ก่อนกำหนดได้
2.2กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ไม่เป็นที่สงสัย แบ่งเป็น 2 อย่าง
1.กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน 204 ว.2
•เป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้โดยแจ้งชัดตามวันแห่งปฏิทิน
•กรณีการกำหนดชำระหนี้ในกรณีต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนชำระหนี้
2.กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน 204 ว.1
เช่นยืมเงินไปและกำหนดว่าจะใช้คืนเมื่อขายข้าวได้
1.3การผิดนัดไม่ชำระหนี้
1.การผิดนัด
1.ลูกหนี้ผิดนัดโดยต้องเตือนก่อน 2 กรณี คือ
2) หนี้ที่ไม่มีกำหนดชำระหนี้ ตามมาตรา203
เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ และ ลูกหนี้ก็มีสิทธิชำระหนี้ แต่ถ้าเจ้าหนี้ยังไม่เรียกชำระหนี้ ลูกหนี้ก็ยังไม่มีหน้าที่ต้องชำระก็ได้ และลูกหนี้มีสิทธิจะชำระทันทีตั้งแต่ก่อหนี้ได้ การเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก็คือการเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั่นเองดังนั้น หากไม่มีการเตือนให้ชำระหนี้จากเจ้าหนี้ลูกหนี้ก็ยังไม่ผิดนัด
1)หนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน ตามมาตรา204
คือหนี้ที่ไม่ได้กำหนดเวลาตามปฏิทินเช่นกำหนดชำระหนี้เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ กำหนดชำระแล้วกฏหมายจึงได้กำหนดใหเเจ้าหนี้ต้องให้คำเตือนลูกหนี้ก่อนเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระตามที่เจ้าหนี้เตือนลูกหนี้จะผิดนัด
การเตือนให้ลูกหนี้ชำระต้องเป็นการเตือนเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว
การเตือน เตือนเป็นหนังสือหรือวาจาก็ได้
การเตือนเจ้าหนี้เตือนด้วยตนเองหรือมีตัวแทนไปเตือนก็ได้และต้องเตือนต่อลูกหนี้โดยตรง
ตัวอย่างเช่น นายแดงได้ยืมเงินนายดำได้ตกลงว่าจะชำระเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จเมื่อถึงกำหนดชำระนายแดงก็ยังไม่ชำระหนี้นายดำ ภายหลังนายดำได้ให้คำเตือนแล้ว นายแดงก็ยังไม่ชำระหนี้นายแดงจึงผิดนัด ตามมาตรา204 ว.1
2.ลูกหนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือน
1)หนี้ที่กำหนดชำระตามวันแห่งปฏิทิน มาตรา204 ว.2
•หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เช่นกำหนดชำระหนี้ในวันที่ 10 สิงหาคม กำหนดชำระหนี้ในวันสงกรานต์
•ถ้าไม่ชำระหนี้ตามกำหนดก็ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยไม่ต้องเตือน
•หนี้ที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้คำนวณนับได้โดยปฏิทิน เช่นแดงเจอดำจึงขอยืมเงินดำ โดยดำบอกว่าถ้าเจอแดงครั้งหน้าเมื่อไหร่ดำจะทวงเงิน และอีก 7วัน หลังจากทวงเงิน แดงค่อยมาชำระหนี้ ดังนั้นเมื่อครบ 7วัน ซึ่งคำนวณนับได้ตามปฏิทิน เช่นนี้ถ้าแดง ไม่นำเงินมาชำระหนี้ก็ถือว่าผิดนัดโดยมิต้องเตือนเลย
2)หนี้ละเมิด
ลูกหนี้ผิดนัดมาตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิด กฎหมายเห็นว่าเมื่อการทำละเมิด ทำให้เขาเสียหายก็มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าสิน ไหมทดแทนทันทีที่ทำละเมิดจึงถือว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิดทันทีโดยไม่ต้องเตือนแต่อย่างใด
3.กำหนดชำระหนี้กับการผิดนัด
การไม่ชำระหนี้เป็นข้อเท็จจริงส่วนการผิดนัดเป็นข้อกฎหมาย
4.กรณีที่ไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด
เป็นเหตุที่เกิดจากเจ้าหนี้เอง
เช่นเจ้าหนี้ผิดนัด
เหตุเกิดจากบุคคลภายนอก
เช่น ตกลงกันตกลงกันทำสัญญาซื้อขายที่ดิน โดยตกลงกันว่าจะรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่จะซื้อขายแล้วไปโอนให้แก่ผู้ซื้อภายในเวลาที่กำหนดปรากฏว่าลูกหนี้ได้พยายามดำเนินการเพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามสัญญาเต็มความสามารถแล้วแต่มัแต่ยังไม่เสร็จเพราะจำเลยงานที่ดินไม่อาจดำเนินการได้ทันถือว่าลูกหนี้ผิดนัด
เกิดจากภัยธรรมชาติ
เช่นรังวัดแบ่งแยกให้ไม่ทันเพราะน้ำท่วมรังวัดไม่ได้จึงไม่สามารถโอนที่ดินได้ตามกำหนด
2.ผลของการผิดนัด
1.ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแต่การผิดนัด
การที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดและตกเป็นผู้ผิดนัดในการชำระหนี้ล่าช้าเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็อาจเรียกค่าสินใหม่ทดแทนได้ตามมาตรา 215
• เป็นผลโดยตรงจากการผิดนัด
• เป็นความรับผิดที่เพิ่มขึ้นมาจากการชำระหนี้ปกติ
นอกจากการชำระหนี้ตามปกติแล้ว ยังต้องรับผิดที่เพิ่มขึ้นจากความเสียหาย เช่น จากการสร้างบ้านล่าช้า จึงต้องไปเช่าบ้าน
ตัวอย่างเช่น ทำสัญญารับจ้างสร้างบ้านเขาตกลงว่าจะสร้างเสร็จในหกเดือน แต่สร้างไม่เสร็จล่าช้า ทำให้นายจ้างต้องไปเช่าบ้านทำให้ต้องเสียค่าเช่าบ้านในระหว่างนั้น
2.เจ้าหนี้อาจไม่รับชำระหนี้
การชำระหนี้บางอย่างกำหนดเวลาชำระหนี้ก็เป็นสาระสำคัญถึงขนาดที่หากเลยกำหนดเวลานั้นไป แล้วการชำระหนี้ตกเป็นไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้
คือการชำระหนี้ แต่เลยกำหนดเวลา แล้วการชำระหนี้นั้นไม่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว เจ้าหนี้ก็อาจไม่รับชำระหนี้ก็ได้
ตัวอย่างเช่น ตกลงเช่าห้องริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อดูขบวนเสด็จหากไม่ส่งมอบห้องเช่า ล่าช้าไปจนกระบวนเสด็จผ่านไปหมดแล้ว ก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว
3.ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดระหว่างผิดนัดเพิ่มขึ้น มาตรา217
ความเสียหายในเรื่องนี้เกิดจาก 2 สาเหตุ คือ
1.ความประมาทเลินเล่อ
คือการระมัดระวังตามหน้าที่ของตน ที่ต้องใช้ความระมัดระวังนั่นเอง
ความระมัดระวังกฎหมายกำหนดไว้หลายระดับ ตามมาตรา 659 วรรคแรก คือ ไม่มีบำเหน็จต้องระมัดระวังเท่าที่ตนเองประพฤติในกิจการของตน วรรคสอง คือ มีบำเหน็จ คือระดับของวิญญูชน วรรคสาม คือ ต้องใช้ความระมัดระวังระดับของผู้มีวิชาชีพนั้นเช่น ร้านรับฝากรถ
ระหว่างผิดนัด ถ้าลูกหนี้ใช้ความระมัดระวังเท่าเดิม และเกิดความเสียหายขึ้น ถือว่าลูกหนี้ประมาทเลินเล่อลูกหนี้ต้องรับผิด
ตัวอย่างเช่น นายแดงได้ฝากรถไว้กับนายดำโดยไม่มีค่าฝาก นายดำจึงต้องใช้ความระมัดระวังเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตน เมื่อถึงวันที่ต้องคืนรถ นายดำกับไม่คืนรถเอารถไว้ใช้ นายดำจึงตกเป็นผู้ผิดนัด นายดำจึงต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นจากระดับเดิม แต่หากนายดำใช้ความระมัดระวังเท่าเดิมแต่รถเกิดความเสียหาย ถือว่านายดำประมาณเลินเล่อแล้ว
2.เกิดจากอุบัติเหตุ
คือเกิดขึ้นมาจากการกระทำของคนเท่านั้น ไม่รวมถึงภัยธรรมชาติ
เรียกกัน Act of god ลูกหนี้ต้องรับผิดเฉพาะเมื่อการชำระหนี้กลายเป็น
พ้นวิสัยเกิดจากต้นเหตุจากการกระทำของคน
เว้นแต่ความเสียหายนั้นถึงแม้ว่าตนจะได้ชำระหนี้ทันเวลาที่กำหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง เป็นข้ออ้างให้ไม่ต้องรับผิด
ตัวอย่างเช่น แดง ฝากรถดำโดยไม่มีค่าฝากโดยกำหนดวันคืนรถคือวันที่ 30 ธันวาคมเมื่อถึงกำหนดแดงไม่คืนรถวันรุ่งขึ้น ได้มีถังแก๊ซจากบ้านข้างเคียงระเบิดและได้ลามไหม้ไปโดนรถของนายแดงที่จอดอยู่ในบ้านนายดำและ ได้ลามไปถึงบ้านนายแดง เช่นนี้ดำสามารถพิสูจน์ได้ว่า แม้จะคืนรถตามกำหนด รถก็คงอยู่ที่บ้านนายแดง แล้วก็ถูกไฟไหม้ไปด้วยนั่นเอง นายดำจึงไม่ต้องรับผิด ตามมาตรา 217
ตัวอย่างเช่น นายแดงและฝากรถไว้กับนายดำ พอถึงวันคืนรถนายดำไม่ได้นำไปคืนแต่จอดไว้ในรั้วบ้าน นายแดงจึงตกเป็นผู้ผิดนัด ระหว่างนั้นมีรถบรรทุกวิ่งมาลื่นน้ำมันพุ่งชนเข้ามาในรั้วบ้านไปโดน รถของนายแดงเสียหายใช้ไม่ได้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอุบัติเหตุที่เกิดระหว่างผิดนัด ลูกหนี้จึงต้องรับผิด