Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่1 หน้าที่ในการชำระหนี้, เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้วก็มีผลตามมาจากการผิดนัด…
บทที่1 หน้าที่ในการชำระหนี้
1.1หน้าที่ในการชำระหนี้ให้ถูกต้อง
1.1.1วัตถุแห่งหนี้
1.หนี้กระทำการ
การกระทำทั้งหลายที่ลูกหนี้มีความผูกพัน จะต้องทำเพื่อการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ อาจมีได้ทั้งหนี้ที่ลูกหนี้กระทำด้วยตนเองและหนี้ที่ลูกหนี้อาจไม่ต้องกระทำด้วยตนเอง มีได้ทั้งมูลหนี้จากสัญญาและมูลหนี้ละเมิด
ตัวอย่างเช่น
นายแดงรับจ้างตัดผมให้แก่นายขาว นายแดงจึงเป็นลูกหนี้ต้องทำการตัดผมให้แก่นายขาว
วัตถุแห่งหนี้
คือ การตัดผม ซึ่งเป็นหนี้กระทำการ
2.หนี้งดเว้นกระทำการ
ลูกหนี้ไม่ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ตกลงกันไว้ก็ได้ตามมาตรา 213 วรรคสาม
ตัวอย่างเช่น
ลูกหนี้ทำสัญญาว่าจะไม่ทำการค้าขายแข่งขันกันกับเจ้าหนี้ เจ้าหนี้สั่งศษลสั่งรื้อถอนร้านค้าของลูกหนี้ไม่ได้เพราะร้านค้าไม่ใช่วัตถุแห่งหนี้
วัตถุแห่งหนี้
คือ การห้ามค้าขายแข่งกันเจ้าหนี้จึงขอให้ศาลสั่งห้ามลูกหนี้ทำการค้าขายนั้น
3.หนี้ส้งมอบทรัพย์สิน
หนี้ที่ลูกหนี้จะต้องส่งมอบทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่เจ้าหนี้ ซึ่งอาจจะเป็นการโอนกรรมสิทธิ์หรือส่งมอบการครอบครองทรัพย์นั้น
ตัวอย่างเช่น
นายขาวทำสัญญาขายเรือให้แก่นายดำนายขาวเป็นลูกหนี้จะต้องส่งมอบเรือดำน้ำให้แก่นายดำ
วัตถุแห่งหนี้
คือ การส่งมอบเรือ
1.1.2วัตถุแห่งหนี้กับวัตถุประสงค์แห่งนิติกรรม
วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
คือ การโอนกรรมสิทธิ์ในม้าจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ เหมือนนิติกรรมการซื้อขายเกิดแล้ว
วัตถุแห่งหนี้
ในเรื่องนี้ก็คือการส่งมอบหมายให้แก่ผู้ซื้อและผู้ ซื้อก็มีหนี้เป็นการส่งมอบหมายให้แก่ผู้ซื้อและผู้ ซื้อก็มีหนี้เป็นการส่งสอบ (เงิน)
ดังนั้น
วัตถุแห่งหนี้กับวตถุประสงค์แห่งนิติกรรมนั้นมีความแตกต่างกันหลายประการ
2
วัตถุประสงค์ของนิติกรรมนั้นก็มีเฉพาะในนิติกรรม เท่านั้น วัตถุแห่งหนี้มีในหนี้ทุกชนิด เช่น เกิดจากนิติกรรมหรือเจ้าหนี้ที่เกิดจากละเมิด จัดการงานนอกคำสั่ง และลาภมิควรได้
3
วัตถุประสงค์ของนิติกรรมมีได้ไม่จำกัดขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ทำนิติกรรมว่าต้องการจะผูกนิติสัมพันธ์กันในเรื่องใด
ดังนั้น
วัตถุประสงค์ของนิติกรรมจึงมีได้มากกมายไม่จำกัด แต่วัตถุแห่งหนี้ไม่ว่าจะเป็นหนี้เกิดจากอะไร ก็จะมีเพียง3อย่างคือ หนี้การกระทำ หนี้งดเว้นการกระทำ และหนี้ส่งมอบทรัพย์สิน
1
วัตถุประสงค์ของนิติกรรมนั้นเป็นที่มาแห่งหนี้ประมาณหนึ่ง วัตถุแห่งหนี้เป็นผลเมื่อนิติกรรมเกิดและเกิดหนี้ขึ้นจึงมีวัตถุแห่งหนี้ขันมา
1.1.3ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
ทรัพย์ที่ส่งมอบนี้เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุที่จะใช้ส่งมอบ คือหนี้ในกรณีวัตถุแห่งหนี้คือการส่งมอบทรัพย์สิน ทรัพย์สินนั้นจึงเป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้มิใชเป็นวัตถุแห่งหนี้ แม้ถ้อยคําใช้คําว่าทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ก็หมายความถึงทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้ ในมาตรา 195 ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ ก็หมายถึงทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งการชำาระหนี้ คือทรัพย์ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ต้องส่งมอบแก่เจ้าหนี้ นั่นเอง
ทรัพย์ที่จะส่งมอบเป็นทรัพย์สินทั่วไป อาจเป็นได้ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และจัดเป็นทรัพยากรและสิ่งหรือไม่ใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่งก็ได้ และแม้จะเป็นทรัพย์ในอนาคต ในขณะที่เกิดหนี้กันนั้น ลูกหนี้ยังไม่มีทรัพย์นั้นอยู่เลยก็ได้ เช่นลองทำสัญญาขายเก้าอี้100ตัว ให้แก่ขาว กําหนดส่งมอบใน1เดือน
1.1.4กรณีวัตถุแห่งหนี้ที่เลือกจะชำระได้
1.สิทธิในการเลือก
แยกสิทธิในการเลือกออกได้เป็น4กรณีดังนี้
ก. ถ้ากําหนดไว้ให้ผู้ใดเป็นผู้เลือก เจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกก็ได้ ต้องเป็นไปตามมาตราที่ตกลงกันไว้มาตรา198 มาตรา มาตรา201
ง. ถ้ากําหนดให้ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายเลือกฝ่ายที่มีสิทธินั้นไม่เลือกภายในเวลาที่กำหนด สิทธิในการเลือกย่อมตกไปแก่อีกฝ่ายหนึ่ง
ข. ถ้าไม่ได้กำหนดไว้ว่าใครจะเป็นผู้เลือก สิทธิการเลือกชำระหนี้ตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ มาตรา198
ค. ถ้ากําหนดให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เลือกและผู้นั้นไม่
อาจเลือกได้ เช่น ป่วยหนักไม่รู้สึกตัวหรือไม่เต็มใจจะเลือก สิทธิการเลือกชำระหนี้ตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ หากมีข้อตกลงต่างหาก
ถ้าบุคคลภายนอกไม่อาจเลือกหรือไม่เต็มใจจะเลือก ให้สิทธิจะเลือกตกแก่ฝ่ายเจ้าหนี้ ย่อมต้องเป็นไปตามข้อตกลงนั้น ตามมาตรา198
2.วิธีการเลือก
ก. กรณีฝ่ายลูกหนี้หรือเจ้าหนี้หนี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกมาตรา199วรรคแรก
การเลือกนั้นท่านให้ทำด้วยแสดงเจตนาแก่ฝ่ายเจ้าหนี้แต่ถ้าฝ่ายเจ้าหนี้การเลือกก็ต้องแสดงเจตนาแก่ฝ่ายลูกหนี้
ข. กรณีบุคคลภายนอกเป็นผู้มีสิทธิเลือก มาตรา201 วรรคแรก ถ้าบุคคลภายนอกจะพึงเป็นผู้เลือกเเผนให้กระทำแสดงเจตนาแก่ลูกหนี้และลูกหนี้จะต้องแจ้งความนั้นแก่เจ้าหนี้
3.ระยะเวลาในการเลือก
ก. มีกำหนดระยะเวลาให้เลือกไฟล์ที่มีสิทธิ์ที่จะเลือกก็ต้องเลือกเสียภายในเวลาที่กำหนด
ถ้าไม่เลือกในเวลาที่กำหนดสิทธิการเลือกก็จะตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ีง
ข. กรณีมิได้กำหนดเวลาให้เลือกกฎหมายได้กำหนดว่าเมื่อหนี้ถึงกำหนดเวลาให้เลือกกฎหมายได้กำหนดว่าเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระทราบที่ไม่มีสิทธิที่จะเลือกอาจกำหนดเวลาพอสมควรแก่เหตุแล้ว ให้ฝ่ายโน้นใช้สิทธิที่จะเลือกเป็นผู้กำหนดเวลาโดยเงื่อนไขว่า ต้องเป็นกรณีหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วและระยะเวลาที่กำหนดนั้นต้องพอสมควรแก่เหตุ
4.ผลของการเลือก
การจะเกิดผลของการเลือกต้องหมายถึงว่าเลือกนั้นมีผล แล้วตามหลักการแสดงเจตนาในมาตรา168และมาตรา169 แล้ว
ผลของการเลือกเริ่มเมื่อมีการแสดงเจตนาเลือกมีผลแล้ว ผลการเลือกมีผลย้อนหลังไปถึงการเริ่มต้นแห่งหนี้
5.กรณีการชำระหนี้บางอย่างเป็นพ้นวิสัย
2.กรณีการเวนคืนต้องทำเพื่อชำระหนี้บางอย่างกลายมาเป็นพ้นวิสัยในภายหลัง
การชำระหนี้บางอย่างที่กลายเป็นพ้นวิสัยที่เกิดขึ้นหลังจากก่อหนี้ แต่ก่อนที่ผู้มีสิทธิจะใช้สิทธิเลือกนี้ยังต้องแบ่งเป็น2กรณี
ข. กรณีที่การชำระหนี้บางอย่างกลายเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิที่จะเลือกต้องรับผิดชอบ กรณีนี้ผู้มีสิทธิเลือกก็ไม่ถูกจํากัดให้ต้องเลือกส่วนที่พ้นวิสัย การชำระหนี้โดยตรงก็ไม่สามารถทำได้ก็ต้องบังคับตามมาตรา218
คือลูกหนี้ก็ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากตัวอย่างในข้อ ก.
ก. กรณีที่การชำระหนี้บางอย่างเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิที่จะเลือกไม่ต้องรับผิดชอบ เช่น แดงตกลงซื้อลูกสุนัขจากใต้ที่มีอยู่3ตัว คือสีดำ สีขาว และสีด่าง โดยตกลงกันให้แดงเลือกเอาตัวใดก็ได้ โดยให้แจ้งแก่ต้อยก่อนส่งมอบในอีก7วันข้างหน้า ปรากฏว่าก่อนที่แดงจะแจ้งว่าจะเลือกตัวใด ลูกสุนัขตัวสีขาวถูกรถของคนข้างบ้านทับตายเสียก่อน เช่นนี้การชำระหนี้จึงจำกัดไว้เฉพาะลูกสุนัขอีก2ตัวที่เหลือ เท่านั้น แดงจะเลือกตัวสีขาวไม่ได้
1.กรณีตกเป็นอันพ้นวิสัยจะทำได้มาแต่ต้น คือการชำระหนี้บางอย่างพ้นวิสัยมาก่อนทำนิติกรรมแล้ว แม้จะมีการตกลงกันก็ย่อมเป็นโมฆะตามมาตรา150
เช่นแดงเฝ้าบ้านต้อยมีลูกสุนัขอยู่3ตัว ดูตัวสีดำ ตัวสีขาว และอีกตัวหนึงด่าง แปลงปลูกอ้อยที่ตลาดจึงขอซื้อลูกสุนัขตัวหนึ่งตกลงข ายให้โดยให้แดงเลือกเอาตัวใดก็ได้ใน3ตัว ปรากฏว่าขณะที่ตกลงซื้อขายกันนั้น ลูกสุนัขสีขาวที่อยู่บ้านได้ตายเสียก่อนแล้ว โดยพี่แดงและก้อยก็ไม่ทราบ กรณีเช่นนี้สัญญาส่วนที่ตกลงมาถึงลูกสุนัขสีขาวจึงตก เป็นโมฆะแดงก็จะเลือกได้เพียงตัวสีดำา และตัวสีด่างเท่านั้น
1.2.กำหนดเวลาชำระหนี้
1.2.1หนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้
-เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ทันที
-ลูกหนี้ก็มีสิทธิชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ได้ทันทีเช่นเดียวกัน
มาตรา203วรรคแรก
ถ้าเวลาอันพึงจะชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลันและฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน
1.2.2หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้
มาตรา203วรรคสอง
เช่น ตกลงกันให้ชำระหนี้ทุกวันที่30ของเดือนเจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนกำหนดวันที่ 30 แต่ลูกหนี้มีสิทธิชำระหนี้เมื่อใดก็ได้จนถึงวันที่30
(1.)กำหนดเวลาชำระแต่เป็นที่สงสัย
กรณีอันสงสัย
คือ เจ้าหนี้เรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นได้หรือไม่ ดังนี้ท่านให้สันนิฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนดเวลาหาได้ไม่
(2.)กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ไม่เป็นที่สงสัย
-กำหนดเวลาชำระหนี้ที่ได้กำหนดตามวันแห่งปฏิทิน
-กำหนดเวลาชำระหนี้ที่อาจคำนวณนั้นได้ตามวันแห่งปฏิทิน
-กำหนดเวลาชำระหนี้ที่จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าชั่วระยะหนึ่งก่อน
เช่น
กำหนดชำระหนี้ในวันที่10สิงหาคมหรือกำหนดชำระหนี้ในวันสงกรานต์
1.3การผิดนัดไม่ชำระหนี้
1.3.1การผิดนัด(ลูกหนี้)
การผิดนัดมีความสำคัญต่อลูกหนี้และเจ้าหนี้ทำให้มีความรับผิดบางอย่างเพิ่มขึ้นแก่ลูกหนี้
1.ลูกหนี้ผิดนัดโดยต้องตักเตือนก่อน
(1.)หนี้กำหนดชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน
มาตรา204วรรคแรก
ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว
เช่น ฎ.599/2535
จำเลยยืมปุ๋ยและของอื่นจากโจทก์เพื่อใช้ทำไร่ยาสูบ แม้สัญญายืมของดังกล่าวจะไม่กำหนดเวลาคืนไว้ แต่การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวก็เพื่อใช้ในฤดูกาลทำใบยาสูบเมื่อสิ้นฤดูการแล้วก็ต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมดส่วนที่ใช้ไปแล้วไม่อาจส่งคืนได้ก็ต้องใช้ราคา ดังนี้ เป็นกรณีที่ไม่ได้กําหนดเวลาชำาระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เป็นเพียงอนุมานจากพฤติการณ์ การที่จําเลยไม่ส่งคืนของที่ยืมเมื่อสิ้นระยะเวลาที่อนุมาน พฤติการณ์ใดนั้นก็ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จําเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่กำหนด จําเลยไม่คืนจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันถัดจากวันที่กำหนดนั้น
(2.)หนี้ที่ไม่มีกำหนดชำระหนี้ มาตรา203หนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้และอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้นั้นทมาตรา203กำหนดให้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน
และลูกหนี้ก็มีสิทธิจะชำระหนี้ของตนได้โดนพลันดุจกันนั้นแม้จะมองได้ว่าแสดงว่ากฎหมายให้ถือเอาหนี้ประเภทนี้ถึงกำหนดทันทีที่นับแต่ก่อหนี้
2.ลูกหนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือน
หนี้ทั้งสองประเภทดังกล่าว ลูกหนี้จะผิดนัดได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ได้เตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว แต่หนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือนเลยหนี้กลุ่มนี้มี2ประเภท
(1.)หนี้ที่กำหนดชำระตามวันแห่งปฏิทิน
มาตรา204วรรคสอง
เช่น กำหนดชำระหนี้ในวันที่10สิงหาคม
กำหนดชำระหนี้ในวันสงกรานต์
เช่นวันนี้วันที่กำหนดไว้นั้นมีความแน่นอนชัดเจนรู้ได้ตรงกันอยู่แล้ว
ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดว่าถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดลูกหนี้ก็ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย
(2.)หนี้ละเมิด
มาตรา206
ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด
เพราะกฎหมายเห็นว่าเมื่อการทำละเมิดทำให้
เขาเสียหาย
ก็มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนทันทีที่ทําละเมิด จึงถือว่าผิดนัดมาแต่เวลาทําละเมิดทันที โดยไม่ต้องเตือนแต่อย่างใดทั้งสิ้น รวมถึงค่าเสียหายในอนาคตก็ต้องเสียดอกเบี้ย ตั้งแต่เวลาที่ทําละเมิด
3.กำหนดชำระหนี้กับการผิดนัด
กำหนดชำระหนี้นั้น
เป็นกำหนดที่ลูกหนี้ต้องชำระหนี้แต่การผิดนัดเป็นผลของการไม่ชำระหนี้ตามกำหนด
การผิดนัด
แม้จะถึงกำหนดเวลาชำระหนี้และมีเงื่อนไขอื่นที่อาจทำให้ลูกหนี้ผิดนัด เช่น การเตือนของเจ้าหนี้
4.กรณีที่ไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด
1.เป็นเหตุที่เกิดจากเจ้าหนี้เอง
การที่เจ้าหนี้ผิดนัด
อาจด้วยเพราะไม่รับชำระหนี้ตามมาตรา207 หรือเพราะไม่เสนอชำระหนี้ตอบแทนเมื่อตนมี หน้าที่ต้องชาระหนี้ตอบแทนตามมาตรา210ก็ดี
ก็ถือเป็นการชาระหนี้ที่ยังมิได้กระทําลงเพราะ พฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิด ลูกหนี้จึงไม่ผิดนัด
2.เหตุเกิดจากบุคคลภายนอก
เหตุเกิดจากบุคคลภายนอก
เช่น ตกลงกันทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โดยตกลงกันว่าลูกหนี้จะรังวัดแบ่งแยกที่ดิน ที่จะซื้อขายและไปโอนให้แก่ผู้ซื้อภายในเวลาที่กำหนด
ปรากฏว่า ลูกหนี้ได้พยายามดำเนินการเพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามสัญญาเต็มความสามารถแล้ว แต่รังวัดแบ่งแยกไม่เสร็จเพราะเจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจดำเนินการได้ทัน ถือว่าลูกหนี้ไม่ผิดนัด
3.เกิดจากภัยธรรมชาติ
การที่ลูกหนี้ไม่อาจชำระหนี้ได้ทันตามกำหนดอาจมีสาเหตุจากภัยธรรมชาติ เช่นรังวัดแบ่งแยกให้ไม่ทัน เพราะน้ำท่วมรังวัดไม่ได้จึงไม่สามารถโอนที่ดินได้ตามกำหนดก็ถือว่าลูกหนี้ไม่ผิดนัด
1.3.2ผลของการผิดนัดของลูกหนี้
1.ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแต่การผิดนัด
ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอันเกิดแต่การผิดนัด มีข้อสังเกต2ประการ
-เป็นค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นจากการผิดนัดโดยตรง
-เป็นความรับผิดที่เพิ่มขึ้นจากการชำระหนี้ปกติที่แม้ลูกหนี้ผิดนัด ลูกหนี้ก็ต้องรับผิดชำระหนี้ไม่เกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทน
มาตรา215
เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้
เช่น
ทําสัญญารับจ้างสร้างบ้านให้เขาตกลงว่าจะ สร้างเสร็จใน6เดือน แต่สร้างไม่เสร็จล่าช้าไป ทำให้ผู้ว่าจ้างต้องไปเช่าบ้านเขาอยู่ต้องเสียค่าเช่าบ้านในระหว่างนั้น ส่งคืนบ้านเช่าช้ากว่ากำหนดทำให้ต้องเสียหายไม่ได้ค่าเช่าที่ควรจะได้
2.เจ้าหนี้อาจไม่รับชำระหนี้
ต้องเป็นหนี้ที่กำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญ
หนี้ประเภทนี้ให้สิทธิเเก่เจ้าหนี้ในการปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ในกรณีผิดนัดได้ในมาตรา216
ถ้าโดยผิดนัด การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้
เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้
3.ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดระหว่างผิดนัดเพิ่มขึ้น
ความเสียหายในเรื่องนี้เกิดขึ้นจาก2สาเหตุ
1.ความประมาทเลินเล่อของลูกหนี้อย่างหนึ่ง
-จะพิสูจน์ให้ไม่ต้องรับผิดมิได้
2.เกิดจากอุบัติเหตุอีกอย่างหนึ่ง
-พิสูจน์ให้ไม่ต้องรับผิดได้
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดลูกหนี้ยังอาจต้องรับผิดในความเสียหายในความประมาทเลินเล่อ และการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดด้วย ตามมาตรา217
เช่น
ลูกหนี้ผิดนัดไม่ส่งนํ้าตาลแก่ผู้ชื้อตามกำหนด เพราะตกลงราคาไม่ได้ ต่อมารัฐบาลห้ามส่งน้ำตาลออกนอกประเทศ การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย ลูกหนี้ต้องรับผิด
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้วก็มีผลตามมาจากการผิดนัดชำระหนี้นอกจากหน้าที่ที่ต้องชำระหนี้ที่มีอยู่เดิม
นายธนาธิป บัวดัง 64012310259 เลขที่79 เซค2