โรคหอบหืดในระยะเฉียบพลัน(Acute asthmatic attack)
เกิดจากการทำงานร่วมกัน ของการอักเสบของเซลล์(inflammatorycell)สารตัวกลาง (mediator) และเนื้อเยื่อบุผิวทางเดินหายใจ (airway epithelium) ก่อให้เกิดการอักเสบของหลอดลมหลังจาก ได้รับสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง โดยสารก่อภูมิแพ้ หรือสารระคายเคืองจะกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ หลั่งสารอิมมูโนโกลบูลินอี(IgE) โดยที่IgE ที่หลั่งออกมา จะไปเกาะที่ตัวรับที่ผิวแมสต์เซลล์(mast cell) ทำให้ แมสต์เซลล์แตกตัว
พยาธิสภาพโรคหอบหืด
และหลั่งสารคัดหลั่งภายในได้แก่ interleukin ออกมา ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมมีการหดตัวอย่างเฉียบพลัน เยื่อบุหลอดลมบวม และมีสารน้ำรั่วออกมาจากหลอดเลือดมากขึ้นในทันทีเรียกว่าปฏิกิริยาในระยะเฉียบพลัน (acute phase reaction)จากนั้นสารตัวกลางที่หลั่งออกมาจะกระตุ้นเม็ดเลือดและเกิดการอักเสบของหลอดลมในอีก 6-8 ชั่วโมงต่อมา ซึ่งเรียกว่า ปฏิกิริยาในระยะท้าย(latephase reaction)
เมื่อหลอดลมตีบ ทำให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจนในเลือด (hypoxemia) ในผู้ป่วยที่มีการตีบของหลอดลมอย่างรุนแรงและเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อการหายใจจะล้า จนเกิดภาวะการระบายอากาศในถุงลมลดลง(alveolar hypoventilation)มีการคั่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเกิดภาวะกรดจากการหายใจ (respiratory acidosis)
1.ปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค
สาเหตุของโรค
2.โรคหืดส่วนหนึ่งเกิดจากโรคภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญ ได้แก่ ไรฝุ่นบ้าน ขนแมว ขนสุนัข แมลงสาบ และสปอร์เชื้อรา
3.ตัวไรฝุ่นที่แพร่พันธุ์ได้ดีในสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้น วงจรชีวิตของมันจะค่อนข้างสั้น คือ มีอายุอยู่ได้แค่ 6-7 เดือน แต่อุจจาระของมันสามารถอยู่แพร่เชื้อได้นานถึง 1-2 ปี หากไม่ทำความสะอาดเครื่องนอน จะยิ่งมีอาการแพ้เพิ่มมากขึ้นตามลำดับอาหารของตัวไรฝุ่นเป็นสะเก็ดผิวหนัง ขี้รังแคของมนุษย์
4.ขี้แมลงสาบที่แห้งเกรอะกรังตามหลืบตามมุม เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญ เช่นเดียวกับขนและรังแคของสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น แมว สุนัข
5.เชื้อรามีทั้งในห้องที่เปียกชื้น และชั้นบรรยากาศทั่วไป
6.บางคนเกิดอาการเมื่อออกแรงหรือออกกำลังกาย สัมผัสกับอากาศที่เย็นจัด หรือเมื่อเกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนต้น
- หอบ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ไอ หายใจมีเสียงวี๊ดหรือเสียงฮื้ด
อาการและอาการแสดง
- หน้าอกโป่งถ้าเป็นเรื้อรังมานาน
- มักจะมีอาการของโรคภูมิแพ้อื่นๆ ร่วมด้วย เชน ผื่นแพ้อาหาร ผื่น
ผิวหนัง อักเสบจากภูมแพ้ เยื่อบุจมูกอักเสบจากฎมแพ้
การวินิจฉัยโรค
- การซักประวัติเกี่ยวกับความรุนแรงและระยะเวลา ที่เริ่มมีอาการหืดกำเริบ ปัจจัยกระต้นให้เกิดอาการ การตอบสนอง ของผู้ป่วยหลังได้รับยาพ่นขยายหลอดลม ประวัติการใช้ยา
- การตรวจร่างกาย ได้แก่หายใจสบาก ได้ยินเสียงหวัดขณะหายใจออกไอบ่อย มีเสมหะมาก แน่นหน้าอก ประเมิน สภาพปอดโดยการไช้หูฟังจะได้ยินเสียงหวัดที่ปอดทั้งสองข้าง
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการและอื่นๆ ได้แก่ การตรวจสมรรถภาพปอดเพื่อประเมินความรนแรงของโรค โดยการเป่าpeakilowmetenเพื่อดูค่าPEFR การตรวจภาพรังสิทรวงอก (chest X-ray)
การรักษา
1.ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพ และระดับความอิ่มตัวของออกซิเจน ทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อติดตาม
อาการอย่างใกล้ชิด หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์
การพยาบาล
1) การให้ยาขยายหลอดลม เพื่อแก้ไข
ภาวะหลอดลมหดเกร็ง
2) การให้ออกซิเจน เพื่อแก้ไข
ภาวะพร่องออกซิเจน
3) การให้ยาสเตียรอยด์เพื่อลด การบวมและการอักเสบของหลอดลม หากผู้ป่วยไม่ตอบสนอง ต่อการรักษาเบื้องต้นในห้องฉุกเฉิน ควรเตรียมความพร้อม ในการย้ายผู้ป่วยไปยังหอผู้ป่วยวิกฤต เพื่อให้การรักษา เพิ่มเติมต่อไป
2.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ในรายที่มีอาการรุนแรงควรติดตามระดับออกซิเจนใน เลือดแดงร่วมด้วย
3.จัดท่านอนศีรษะสูงประมาณ 30 องศา โดยใช้ผ้าหนุนให้คอแหงนเล็กน้อยในเด็กเล็ก เพื่อให้ ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก ส่วนเด็กโต ควรจัดท่านอนกึ่งนั่ง เพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดีและมีการระบายอากาศที่ดี
4.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา รักษาระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนให้ได้มากกว่าหรือ เท่ากับ 95%
5.สังเกตภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจ หอบมากขึ้น หายใจลำบาก หายใจหน้าอกบุ๋ม ระดับ ความรู้สึกตัวลดลง กระสับกระส่าย ร้องกวน ซึม หากพบ สิ่งผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์
6.ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดลมตามแผน การรักษา
7.ประเมินผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจาก การใช้ยาขยายหลอดลม เช่น หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น นอนไม่หลับ หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์
8.ประเมินสภาพปอดโดยการใช้หูฟัง ฟังเสียง ลมผ่านปอดก่อนและหลังการพ่นยาขยายหลอดลม เพื่อประเมินการหดเกร็งของหลอดลม หากหลังการพ่นยา แล้วอาการไม่ดีขึ้น โดยผู้ป่วยยังคงมีอาการหายใจเร็ว ได้ยินเสียงหวีด ให้รายงานแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนการรักษา
9.ดูแลให้ดื่มน้ำอุ่นเป็นระยะ เพื่อช่วยละลายเสมหะ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีอาการหอบเหนื่อยมาก
10.ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษา ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อยมาก ไม่สามารถให้สารน้ำทางปากได้เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ เนื่องจากผู้ป่วยมีการสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้นจากการหายใจ หอบเหนื่อย
11.ประเมินภาวะขาดน้ำ เช่น ริมฝีปากแห้ง กระหม่อมบุ๋ม ความตึงตัวของผิวหนังลดลง หากพบ สิ่งผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์
12.เปิดโอกาสให้ครอบครัวได้อยู่ใกล้ชิด ผู้ป่วยตลอดในระยะแรก ๆ หรือในขณะมีอาการหอบ หายใจลำบาก โดยช่วยปลอบโยน เพื่อให้คลายความกลัว และความวิตกกังวล ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการหอบ น้อยลง
13.ยึดหลักการดูแลที่เน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลาง โดยสนับสนุนให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย ทุกขั้นตอน
ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบเฉียบพลันในทางที่เลวลงของอาการหืด โดยจะเกิดการหดเกร็งของหลอดลม หลอดเลือดขยายตัว มีการรั่วซึมของของเหลวจากหลอดเลือดเข้าท่อทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการบวมของเยื่อบุหลอดลม มีการสร้างสารคัดหลั่งเพิ่มขึ้น และเพิ่มความไวเกินของหลอดลม ผลที่ตามมาคือมีการเพิ่มแรงต้านทานของทางเดินหายใจ เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน ทำให้มีการผันผวนของลมทั่วทั้งปอด และมีลมค้างในปอด ทำให้ต้องใช้แรงในการหายใจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการต่างๆ ได้แก่ ไอ หายใจหอบ หายใจมีเสียงหวีด แน่นหน้าอก ร่วมกับมีการลดลงอย่างชัดเจนของสมรรถภาพปอด
ความหมาย