Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กำหนดเวลาชำระหนี้, วัตถุแห่งหนี้, การผิดนัดไม่ชำระหนี้, ผลของการผิดนัดของล…
กำหนดเวลาชำระหนี้
กำหนดเวลาชำระหนี้เป็นสิ่งสำคัญในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เพราะหากลูกหนี้ไม่รู้กำหนดเวลาชำระหนี้ของตนแล้ว ก็ไม่อาจที่จะชำระหนี้ตามความต้องการอันแท้จริงของมูลหนี้ได้ เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญในความประสงค์ของหนี้นั้น การกำหนดเวลาชำระหนี้อาจแบ่งได้2กรณี คือ
- หนี้ที่มิอาจกำหนดเวลาชำระหนี้ บางกรณีหนี้ก็ไม่อาจที่จะกำหนดเวลาไว้ แต่หนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ มิได้หมายความรวมถึงว่าลูกหนี้จะต้องไม่ชำระหนี้ กฎหมายจึงได้กำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวไว้ในมาตรา 203 วรรคแรก ว่า ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน
หนี้ที่ถือว่าไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้จะต้อง หมายถึง หนี้นั้นไม่ได้กำหนดเวลาไว้โดยชัดแจ้ง และอนุมานจากพฤติการณ์ก็ไม่ได้ด้วย ถ้าการอนุมานจากพฤติการณ์ว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้มีการตกลงชำระกันเมื่อใด จะต้องดูประกอบกันหลายอย่าง เช่น วัตถุประสงค์ของการทำสัญญา หรือการปฎิบัติระหว่างคู่กรณี และอื่นๆซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นกรณีๆไป
ตัวอย่างเช่น กู้ยืมเงินไปโดยไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ว่าจะคืนเมื่อใด หรือเช่น การไปซื้อของจากการแสดงสินค้าต่างๆ อาจเป็นเครื่องเสียง ดังนั้นถ้าไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ และอนุมานจากพฤติการณ์ไม่ได้ ก็ต้องบังคับตามมาตรา 203 นี้
ผลของหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้
เมื่อกรณีการชำระหนี้ไม่ได้กำหนดเวลาไว้ชัดแจ้ง และอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่อาจรู้ความประสงค์ของคู่กรณี ในกรณีจึงบังคับตามมาตรา 203 วรรคแรก คือ เจ้าหนี้มีสิทธิ์ที่จะเรียกให้ชำระหนี้โดยพลัน และลูกหนี้ก็ต้องชำระหนี้ของตนโดยพลันเช่นกัน บทบัญญัตินี้ให้สิทธิทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้เสมอกัน
2.หนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้ อาจกำหนดโดยชัดแจ้งแล้วหรือโดยปริยายก็ได้ เช่น กำหนดเวลาตามวันแห่งปฎิทิน หรือ กำหนดเวลาตามข้อเท็จจริงจริง เช่น ยืมเสื้อครุยเพื่อไปรับปริญญาจะส่งคืนเมื่อรับปริญญาเสร็จ ก็ถือเป็นการกำหนดเวลาโดยชัดแจ้งแล้ว ดังนั้น การพิจารณาถึงกำหนดเวลาชำระหนี้หนี้จึงแยกพิจารณาเป็น 2 กรณี
กำหนดเวลาชำหนี้แต่เป็นที่สงสัย ตามมาตรา 203 วรรคสอง ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้
ถ้าได้กำหนดเวลาชำหนี้ไว้ แต่เป็นที่สงสัยนั้น ไม่ได้หมายความว่าสงสัยในเวลากำหนดเวลาชำระหนี้ เพราะวันเดือนปี ข้อที่เกิดเป็นกรณีสงสัยก็คือ เจ้าหนี้จะเรียกให้ขำระหนี้ก่อนกำหนดได้หรือไม่ ดังนั้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นไม่ได้
ตัวอย่างเช่น ก ให้ ข ยืมขันเงินไปใช้ในงานมงคลสมรสลูกสาวของ ข เผอิญการสมรสต้องเลื่อนออกไป1เดือน ก ก็ไม่อาจเรียกเอาขันเงินคืนก่อนเสร็จสมรสได้ เว้นแต่ว่า ก จะพิสูจน์ได้ว่า ข มิได้มีเจตนาเอาขันนั้นไว้เกิน15วัน แต่ถึงอย่างไรก็ดี ข สามารถคืนขันเงินนั้นก่อนทำการมงคลสมรสได้ เป็นต้น
-
ตัวอย่างเช่น ยืมชุดรดน้ำสังข์ไปใช้ในงานแต่งงาน แม้ไม่ได้กำหนดเวลาที่คืนไว้ ก็อนุมานจากพฤติการณ์ได้ว่าจะต้องคืนหลังจากแต่งงานเสร็จ
วัตถุแห่งหนี้
-
หนี้งดเว้นกระทำการ
วัตถุแห่งหนี้นั้นอาจกำหนดให้ลูกหนี้ต้องไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ตกลงกันไว้ก็ได้ใน มาตรา 213 วรรคสาม วิธีการบังคับชำระหนี้ ที่บัญญัติว่าส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใดเจ้าหนี้จะเรียกร้องให้หรือถอนการที่กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้ บทบัญญัตินี้มุ้งถึงหนี้ที่งดเว้นการก่อสร้างเท่านั้น แต่หนี้งดเว้นกระทำการมิได้มีไว้เฉพาะเรื่องก่อสร้างเท่านั้น อาจมีหนี้งดเว้นกระทำการบางอย่างได้อีกมากมาย เช่น สัญญาจ้างนักร้องที่ร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงเพื่อออกจำหน่ายอาจมีการห้ามให้นักร้องคนนั้นไปร้องเพลงให้กับบริษัทอื่น เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น การสร้างอาคารพาณิชย์เพื่อทำการค้าขาย ห้ามเกิน2ชั้น: ถ้าผู้เช่าสร้างสู้งกว่าที่ตกลงกันไว้อาจถูกบังคับให้รื้อถอนได้ ตามมาตรา 213 วรรคสาม
หนี้งดเว้นกระทำการต้องมีสภาพเป็นหนี้ที่อาจบังคับได้ไม่ใช่หน้าที่โดยทั่วไป หรืออาจจะกล่าวว่าหนี้วดเว้นกระทำการหมายถึงที่บังคับกันได้ ตามมาตรา 213วรรคสาม และหนี้งดเว้นกระทำการ เป็นการบังคับให้ลูกหนี้ต้องไม่กระทำการบางอย่างที่ไม่ขัดต่อหลักเสรีภาพ ถ้าหนี้กระทำการขัดต่อกฎหมายขัดต่อความสงบเรียบร้อยเป็นพ้นวิสัยได้ด้วยเช่นนั้น
หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน
หมายถึง หนี้ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ส่งมอบให้แก่เจ้าหนี้ วัตถุแห่งหนี้ประเภทนี้ การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมหมายถึงการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและการส่งมอบทรัพย์สินด้วย แต่ในบางกรณี อาจเป็นเพียงการส่งมอบเท่านั้น
-
ความหมาย
ฝ่ายลูกหนี้ คือสิ่งที่ลูกหนี้จะต้องดำเนินการชำระหนี้ตาม มาตรา 208
ฝ่ายเจ้าหนี้ คือ สิ่งที่เจ้าหนี้อาจเรียกร้องเอาจากลูกหนี้ได้
หนี้กระทำการ
เป็นหนี้ที่ลูกหนี้จะต้องไปทำการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างให้แก่เจ้าหนี้
และหนี้กระทำการนั้นมีได้ทั้งมูลหนี้จากสัญญาและมูลหนี้ละเมิดด้วย และหนี้กระทำการเป็นหนี้ที่ต้องชำระด้วยตัวเองให้คนอื่นทำแทนไม่ได้ แต่อาจมีหนี้กระทำการอีกประเภทหนึ่งที่ลูกหนี้อาจไม่ต้องกระทำด้วยตัวเอง
ถ้ามีคุณสมบัติพิเศษ = คุณต้องไปเอง เป็นการที่ลูกหนี้ต้อง กระทำการนั้นๆด้วยตัวของลูกหนี้เอง จะด้วยสภาพของสัญญา ด้วยสภาพของหนี้หรือด้วยความตกลงของคู่กรณีก็ตาม ส่วนหนี้ที่เกิดจากมูลละเมิดก็อาจมีวัตถุแห่งหนี้เป็นการกระทำได้ มิใช้ว่าจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินแต่เพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างเช่น จ้างเบิร์ดไปร้องเพลง หรือ สัญญาจ้างแรงงาน ลูกจ้างก็ต้องไปทำงานด้วยตัวลูกจ้างเอง หรือการจ้างวาดภาพ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น ไปกระทำละเมิดทำให้ทรัพย์สินเขาเสียหาย ก็อาจจะต้องกระทำการซ่อมแซมทรัพย์สินนั้นมาอยู่ในสภาพคงเดิมเป็นต้น
-
หนี้กระทำการที่การชำระหนี้เป็นเรื่องที่ลูกหนี้ต้องทำเฉพาะตัว ถือว่าเป็นหนี้ส่วนตัวไม่ตกเป็นมรดกแก่ทายาทลูกหนี้ แต่ทางด้านเจ้าหนี้นั้นอาจตตกไปยังทายาทได้ เว้นแต่ได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น
-
-
-
-
การผิดนัดไม่ชำระหนี้
-
-
-
การผิดนัดเป็นผลในทางกฎหมาย ที่กฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขไว้อย่างเช่นเจนว่า กรณีเช่นใดจึงจะผิดนัดตามกฎหมาย เช่น ไปยืมโตกระบือของเขาเพื่อไปไถนาโดยตกลงว่าจะส่งเมื่อสิ้นฤดูทำนา ปรากฎว่าสิ้นฤดูทำนาแล้วลูกหนี้ก็ยังไม่คืน ในความเข้าใจของคนทั่วไปลูกหนี้อาจจะผิดนัดแล้ว แต่ผลในทางกฎหมายถือว่าบูกหนี้ยังไม่ผิดนัด เพราะเจ้าหนี้ยังไม่ได้ตักเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ เป็นต้น
ผลของการผิดนัดของลูกหนี้
-
-
-
เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระลูกหนี้มีหน้าที่ชำระหนี้ตามาตรา 203 และมาตรา 204 แล้ว หากลูกหนี้ไม่อ้างเหตุยกเว้นความรับผิดตามมาตรา 205 ได้ หรือเป็นกรณีละเมิด ลูกหนี้ก็ต้องผิดนัดตามมาตรา 206 เมื่อลูกหนี้ผิดนัดก็มีผลตามมาจากการผิดนัดชำระหนี้
-