ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการคลอด

ทฤษฎีที่อธิบายการเจ็บครรภ์คลอด

ปัจจัยเกี่ยวข้องกับการคลอด

นิยามการคลอดและระยะการคลอด

สรีรวิทยาของการคลอดและการตอบสนองทางด้านร่างกายและจิตสังคมต่อกระบวนการคลอด

กลไกการคลอดของทารกท่าปกติ

  • ทฤษฎีการกระตุ้นฮอร์โมนออกซิโทซิน
  • ทฤษฎีการขาดฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน
  • ทฤษฎีโพรสตาแกลนดิน
  • ทฤษฎีการกระตุ้นของฮอร์โมนเอสโทรเจน
  • ทฤษฎีฮอร์โมนคอร์ติโซลของทารกในครรภ์
  • ทฤษฎีการยืดขยายของมดลูก
  • ทฤษฎีความดัน
  • ทฤษฎีอายุของรก

ชนิดของการคลอด

ระยะของการคลอด

นิยามการคลอด

1.Engagement : การเคลื่อนของศีรษะทารกเข้าช่องเชิงกราน การเกยกันของกระลูกกะโหลกศีรษะของทารก และการตะแคงของศีรษะ


2.Descent : การเคลื่อนต่ำลงมาของศีรษะทารก แล้วลงไปในช่องเชิงกราน


3.Flexion : การก้มของศีรษะทารก


4.Internal rotation : การหมุนของศีรษะทารกกายในช่อมเชิงกราน


5.Extension : การคลอดของศีรษะทารกโดยการเงยหน้าออก


6.Restitution : การหมุนกลับของศีรษะทารกภายนอกช่องคลอด
เพื่อในสัมพันธ์กับส่วนของทารกที่อยู่ภายใน


7.External rotation : การหมุนของศีรษะภายนอกช่องคลอด
ตามการหมุนของไหล่ภายในช่องเชิงกราน


8.Expulsion : การคลอดไหล่ ลำตัว และแขนขาของทารก

แรงในการคลอด (Power)

สภาพจิตใจของผู้คลอด (Psychological condition)

สิ่งที่คลอดออกมา (Passenger)

ท่าของผู้คลอด (Position)

ช่องทางคลอด (Passage)

สภาพร่างกายของผู้คลอด (Physical condition)

ได้แก่ ขนาดของช่องเชิงกราน (ความยาวของเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องเข้า ช่องกลาง และช่องออกเชิงกราน) ชนิดหรือลักษณะของเชิงกราน (เป็นเชิงกรานแบบผู้หญิง เชิงกรานแบบผู้ชาย เชิงกรานแบบลิง เชิงกรานแบบแบน หรือเชิงกรานแบบผสม)ความสามารถของปากมดลูกที่จะยืดขยายและบาง และความสามารถของช่องคลอด และปากช่องคลอดภายนอกที่จะยืดขยาย


ได้แก่ ขนาดศีรษะทารกและการที่ศีรษะถูกปรับให้เล็กลง (molding) ทรงของทารก (attitude) เป็นทรงก้มหรือเงย แนวลำตัวของทารก (lie) อยู่ในแนวตามยาวหรือแนวขวาง ส่วนนำของทารกที่เข้าช่องเชิงกราน จำนวนของทารกในครรภ์ และขนาดของทารก ซึ่งทารกจะต้องมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นเหมาะสม จึงจะสามารถคลอดออกมาได้

ได้แก่ แรงหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งจะต้องมีความถี่ ระยะเวลาและความรุนแรงที่เหมาะสม และแรงเบ่งของผู้คลอดซึ่งจะต้องเป็นแรงเบ่งที่มีประสิทธิภาพเพื่อผลักดันให้ทารกคลอดออกมา

การเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจก่อนการคลอด วัฒนธรรมความเชื่อ การให้คุณค่าต่อการคลอด ประสบการณ์การคลอดในครรภ์ก่อน การมีบุคคลสำคัญให้การประคับประคองในระหว่างการคลอด และสภาพอารมณ์ของผู้คลอด


ท่าต่าง ๆ ของผู้คลอดในระหว่างการเจ็บครรภ์และ
การคลอด ซึ่งมีผลต่อความก้าวหน้าของการคลอด

เช่น ความอ่อนเพลีย อ่อนล้า หมดแรง ความไม่สุขสบาย การขาดน้ำขาดอาหาร และผู้คลอดหมดแรงในการเบ่งคลอด

กระบวนการทางสรีรวิทยาที่ทารก รก เยื่อหุ้มทารกและสายสะดือ ออกมาอยู่นอกมดลูกโดยเกิดขึ้นตามธรรมชาติ

การคลอดปกติ (Normal labor)

การคลอดผิดปกติ (Abnormal labor)

1.อายุครรภ์ครบกำหนด คือ อายุครรภ์ตั้งแต่ 38 สัปดาห์ขึ้นไป จนถึง 42 สัปดาห์
2.ทารกมีหนึ่งคน มียอดศีรษะเป็นส่วนนำ (Vertex presentation) หรืออยู่ในทรงก้มเต็มที่ (Flexion attitude) และขณะคลอดท้ายทอยอยู่ใต้โค้งกระดูกหัวเหน่า หรืออยู่หน้าต่อช่องเชิงกรานของมารดา (Occiput anterior)
3.กระบวนการคลอดทั้งหมดเป็นไปตามธรรมชาติ (Spontaneous labor) ไม่ต้องใช้หัตถการใด ๆ ช่วย
4.ระยะเวลาของการคลอด ตั้งแต่เริ่มเจ็บครรภ์จริงจนถึงรกคลอดรวมกันไม่เกิน 24 ชั่วโมง
5.ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ เกิดขึ้นในระยะคลอด เช่น การตกเลือดก่อนคลอด รกค้าง ล้วงรก และมดลูกปลิ้น

นอกเหนือจาก 5 ลักษณะที่เป็นการคลอดปกติ

  • ระยะที่ 1 : เริ่มตั้งแต่เจ็บครรภ์จริงถึงปากมดลูกเปิดหมด หรือเปิด 10 cm.


  • ระยะที่ 2 : นับตั้งแต่ปากมดลูกเปิดหมดถึงทารกคลอดทั้งตัว


  • ระยะที่ 3 : นับตั้งแต่ทารกคลอดทั้งตัวถึงรกคลอด


  • ระยะที่ 4 : คือระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังรกคลอด เป็นระยะพักฟื้น เพื่อให้ร่างกายผู้คลอดกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล

การตอบสนองทางด้านร่างกายของผู้คลอดต่อกระบวนการคลอด

การเปลี่ยนแปลงทางจิตสังคมของผู้คลอดระยะคลอด

การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของการคลอด

การตอบสนองทางด้านร่างกายของทารก

การตอบสนองทางด้านร่างกายของผู้คลอด

  • ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular system)
    ระหว่างการเจ็บครรภ์คลอดปริมาณเลือดที่ไหลออกจากหัวใจ (Cardiac output) จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 40-50 เมื่อเปรียบเทียบกับระยะก่อนเจ็บครรภ์คลอด การเพิ่มของปริมาณเลือดที่ไหลออกจากหัวใจ เกิดจากผลของความเจ็บปวดและการหดรัดตัวของมดลูกทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อยลง
  • ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory system)
    ขณะเจ็บครรภ์คลอดผู้คลอดมีกิจกรรมทางด้านร่างกายสูงขึ้น ทำให้เพิ่มการใช้ออกชิเจนมากขึ้น ถ้าผู้คลอดหายใจเร็วและตื้น จะขับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมากขึ้น ทำให้ระดับ PaCo2 ซึ่งปกติมีค่าประมาณ 32 มิลลิเมตรปรอท ลดลงเหลือ 22 มิลลิเมตรปรอท และเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 2 ของการคลอดอาจจะมีผลให้คาร์บอนไดออกไชด์น้อยลงอีก ทำให้ ผู้คลอดเกิดภาวะ Hyperventilation
  • ระบบทางเดินอาหารและลำไส้ (Gastrointestinal system)
    ระหว่างเจ็บครรภ์คลอดอาจมีผลทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้มีการเคลื่อนไหวและการดูดซึมลดลง และทำให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลานาน
  • ระบบทางเดินปัสสาวะ (Renal system)
    ระหว่างการเจ็บครรภ์คลอด ผู้คลอดมักมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะลำบาก เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะถูกศีรษะทารกกด
  • ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular system)
    ขณะมดลูกหดรัดตัวอัตราการเต้นของหัวใจทารก จะไม่เปลี่ยนแปลงถ้ารกทำหน้าที่ได้ดี เลือดที่ไหลไปเลี้ยงมดลูกจะหยุดไหลเมื่อความดันภายในโพรงมดลูกมาอยู่ที่ระดับ 50 มิลลิเมตรปรอท ในทารกที่มีสุขภาพดีจะมีออกซิเจนสำรองในมดลูก อัตราการเต้นของหัวใจทารกอาจจะลดลงระหว่างมดลูกหดรัดตัวถ้าสายสะดือถูกกด หรือมีความดันกดที่ศีรษะทารก
  • ความสมดุลกรด-ด่าง (Acid-base balance)
    ระหว่างการเจ็บครรภ์คลอดค่า pH ปกติ อยู่ระหว่าง 7.25-7.35 ในขณะใกล้คลอด pH จะลดลงเพราะการหดรัดตัวของมดลูกจะขัดขวางการแลกเปลี่ยนออกซิเจนของรก
  • การหายใจและการเคลื่อนไหว (Breathing and movement)
    การเคลื่อนไหวลำตัวทารกไม่ทำให้การหายใจเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าถุงน้ำคร่ำแตกไปแล้ว อาจทำให้การหายใจลดลง ระหว่างทารกหลับสนิท อัตราการเต้นของหัวใจทารกอาจเปลี่ยนแปลงและการหายใจของทารกจะลดลง

การเปลี่ยนแปลงภายในถุงน้ำคร่ำ

การหดรัดตัวของกล้ามเนื้อเอ็นต่าง ๆ ที่ยึดมดลูก

การเปลี่ยนแปลงที่ปากมดลูก

การเปลี่ยนแปลงที่ศีรษะทารก

การหดรัดตัวของมดลูก

อาการและอาการแสดงที่เข้าสู่ระยะคลอด

ปัจจัย

ปฏิกิริยาตอบสนองทางจิตสังคมของมารดาต่อการการคลอด

  • ประสบการณ์การคลอดในอดีต (Post experiences) ถ้ามีประสบการณ์การคลอดที่ไม่ดี เช่น คลอดยาก บุตรพิการ จะทำให้เกิดความวิตกกังวลสูง และปรับตัวต่อการคลอดได้ยาก
  • ภาวะแทรกซ้อนในระยะตั้งครรภ์ ผู้คลอดที่มีภาวะแทรกช้อนในระยะตั้งครรภ์ จะมีความวิตกกังวลสูง
  • ทัศนคติต่อการคลอด หรือการรับรู้เกี่ยวกับประสบการณ์การคลอด
  • พื้นฐานทางวัฒนธรรม (Cultural background)
  • การมีผู้ช่วยเหลือสนับสนุน (Significant persons) ซึ่งอาจเป็นสามี ญาติ เพื่อนหรือบุคคลสำคัญ หรืออาจเป็นพยาบาลและเจ้าหน้าที่ในห้องคลอด
  • การเตรียมตัวเพื่อการคลอด
  • ตื่นเต้นปละไม่แน่ใจ (Excitement and Uncertainly)
  • ความวิตกกังวลและความกลัว (Anxiety and fear)
  • การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ (Alterations in Body Image)

ในระยะท้ายของการตั้งครรภ์ มดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลโดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนล่างและส่วนบนเป็นบริเวณเซลล์กล้ามเนื้อเรียบมีหน้าที่ในการหดรัดตัว ส่วนล่างเป็นส่วนที่จะมีการยึดขยายและบางลง เมื่อเข้าสู่ระยะคลอด กล้ามเนื้อมดลูกถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนออกชิโตชิน (Oxytocin) จากต่อมใต้สมองส่วนหลังทำให้มีการหดรัดของมดลูกขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ

การหดรัดตัวของมดลูกที่มีคุณสมบัติของใยกล้ามเนื้อแบบ Retraction ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ปากมดลูก ดังนี้

  • การสั้นบางของปากมดลูก (Effacement)
  • การเปิดขยายของปากมดลูก (Dilation)
  • แบบแผนการเปิดของปากมดลูก
  • การเกิดมูกหรือมูกเลือด

ใยกล้ามเนื้อมดลูกมีคุณสมบัติของ Retraction เมื่อมดลูกมีการหดรัดตัวโพรงมดลูกจะถูกบีบรัดให้มีขนาดเล็กลง เกิดแรงดันภายในโพรงมดลูกผ่านน้ำคร่ำที่รอบล้อมทารก ทำให้แรงดันน้ำแผ่กระจายไปเท่ากันทั่วทุกจุดในโพรงมดลูก ตัวทารก รก และสายสะดือ สายสะดือจะไม่ถูกบีบรัดโดยตรงเพราะมีน้ำคร่ำล้อมรอบอยู่ จึงช่วยป้องกันทารกไม่ให้เกิดภาวะขาดออกชิเจนจากแรงหดรัดตัวของมดลูก แรงดันของมดลูกที่ผ่านยังน้ำคร่ำนี้ เรียกว่า General fluid pressure

ขณะที่มดลูกมีการหดรัดตัวนั้น กล้ามเนื้อเอ็นต่าง ๆ (Ligament) ที่ยึดมดลูกไว้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ที่สำคัญได้แก่ Round ligament ซึ่งยึดระหว่างด้านหน้าของมดลูกบริเวณต่ำกว่า Cornu ผ่านช่วงขาหนีบไปติดต่อบริเวณข้างของกระดูกหัวเหน่าจะถูกดึงยึดตึงขณะมดลูกหดตัวยกสูงขึ้น ทำให้ช่วยดึงยอดมดลูกไปด้านหน้า ในกรณีที่เกิด เกิด Bandl's ring จะคลำ Round ligament ได้อย่างชัดเจนใต้ผนังหน้าท้อง

ในระยะที่ 1 ของการคลอด จะมีการเปลี่ยนแปลงของลำตัวและศีรษะทารก ดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงของลำตัวจากลักษณะงองุ้มเมื่อก่อนเข้าสู่ระยะที่ 1 ของการคลอดเป็นเหยียดตรงขึ้น เป็นผลจากแรงผลักดันจากยอดมดลูก กดลงมาบริเวณก้นของเด็กแล้วผ่านลงมาตรง ๆ ตามแนวกระดูกสันหลัง (Fetal axis pressure) โดยที่ศีรษะยังคงอยู่ในลักษณะเดิม
  • มีการเคลื่อนต่ำของทารก (Engagement, Descent)
  • การเปลี่ยนแปลงของศีรษะทารกจะเกิดขึ้นในระยะคลอดขณะที่เกิดกลไกการคลอดศีรษะทารกเริ่มเคลื่อนลงมาสู่ช่องทางเข้าเชิงกราน หรือเมื่อมี Engagement นั่นเองการปลี่ยนแปลงต่าง ๆ คือ การเกิดก้อนโน (Caput succedaneum) และการเกยกันของกระดูกศีรษะ (Molding)
  • อาการท้องลด (Lightening)
  • อาการเจ็บครรภ์เตือน (False labor pain)
  • ปากมดลูกนุ่มและบางตัว (Ripening and effacement of cervix)
  • มีสารคัดหลั่งจากช่องคลอด (Mucous show)
  • ถุงน้ำตูนหัวแตก (Spontaneous rupture of membranes)
  • อาการน้ำหนักลดและเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินอาหาร (Weight loss and gastrointestinal upset)