Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดในการกระทำของผู้อื่น - Coggle Diagram
ความรับผิดกระทำละเมิดในการกระทำของผู้อื่น
ความรับผิดของนายจ้างในผลแห่งการละเมิดของลูกจ้างในทางการที่จ้าง
ความรับผิดของนายจ้าง
มาตรา 425 บัญญัติว่า “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น”
แม้ตัวบทจะใช้ความว่า “บุคคลหนึ่ง เรียกว่าลูกจ้าง บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง “ แต่ก็เป็นการเรียกกันตามกฎหมาย ในทางปฏิบัติจะใช้ถ้อยคำเรียกชื่อสัญญากันว่าอย่างไรไม่สำคัญ ถ้าเข้าลักษณะเป็นนายจ้างลูกจ้างกันแล้วก็ย่อมถือว่าเป็นนายจ้างลูกจ้างตามมาตรา 575
นายจ้างมีอำนาจสั่งให้ลูกจ้างทำงานตามวิธีที่ตนต้องการอีกด้วย และลูกจ้างต้องปฎิบัติตามคำสั่งของนายจ้างเสมอ แต่ต้องเป็นคำสั่งที่เกี่ยวกับการงานที่จ้าง
การที่จะให้นายจ้างต้องรับผิดอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดโดยจงใจของลูกจ้างนั้น จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าลูกจ้างได้กระทำไปโดยมีความตั้งใจปฎิบัติเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง ถ้าหากลูกจ้างได้กระทำไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง และมิใช่เป็นการกระทำแทนนายจ้างหรือในการกระทำละเมิดโดยจงใจนั้นเป็นการกระทำเพื่อมุ่งหมายส่วนตัว หรือโดยมีเจตนาร้ายหรือความโกรธส่วนตัวโดยเฉพาะแล้วนายจ้างก็ไม่ต้องรับผิด
ลูกจ้างทำละเมิดในทางการที่จ้าง
หลักกฎหมายทั่วไปว่า “ผู้ใดทำสิ่งใดโดยบุคคลอื่นเท่ากับทำด้วยตนเอง” แต่หลักที่ว่านี้ใช้เฉพาะแต่การที่ได้รับมอบอำนาจ ไม่ใช้แก่การกระทำในทางการที่จ้าง ซึ่งแม้ลูกจ้างจะเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้รับมอบอำนาจโดยเฉพาะ ในการที่นายจ้างต้องรับผิดในการละเมิดของลูกจ้างในทางการที่จ้างนั้นไม่ใช่เพราะว่ามอบอำนาจให้กระทำแทน แต่เป็นเพราะลูกจ้างได้เกี่ยวข้องกับงานที่จ้าง นายจ้างจึงต้องดูว่างานนั้นได้ปฎิบัติไปโดยความเอาใจใส่ต่อความปลอดภัยหรือผลประโยชน์ของบุคคลอื่นด้วยหรือไม่
-นายจ้างไม่ต้องรับผิดในการละเมิดของลูกจ้างเพียงแต่การละเมิดนั้น ได้เกิดขึ้นในเวลาที่ลูกจ้างเกี่ยวข้องกับงานของนายจ้าง แต่การละเมิดนั้นต้องเป็นส่วนหนึ่งของงานนั้น ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
อุทาหรณ์
ข. เป็นลูกจ้าง ก. มีหน้าที่หักล้างถางหญ้าในสวนของ ก. ที่รกรุงรังตลอดจนตัดฟันกิ่งไม้ที่รุกเข้าไปในทางสาธารณะ โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ข. ตัดกิ่งไม้ตกไปถูก ค. ที่เดินอยู่ริมทางสาธารณะ ค. ได้รับบาดเจ็บ ก. ต้องรับร่วมผิดด้วย
ลูกจ้างกระทำกิจส่วนตัวในขณะเดียวกัน ในกรณีที่ถือว่าลูกจ้างปฎิบัติการงานของนายจ้างอย่างแท้จริงแล้ว แม้ลูกจ้างจะได้กระทำกิจส่วนตัวในขณะเดียวกันนั้นจนเกิดการละเมิดขึ้น ก็ยังถือว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในทางการที่จ้าง เพราะการที่ลูกจ้างปฎิบัติกิจส่วนตัวด้วยนั้น อาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างปฎิบัติหน้าที่เพื่อนายจ้างโดยประมาทเลินเล่อก็ได้ เช่น ขณะขับรถได้ถือโอกาสดื่มสุราไปด้วย จนเกิดชนคนข้างถนนโดยประมาทเลินเล่อ เป็นต้น
กรณีที่นายจ้างมีคำสั่งห้าม การที่นายจ้างมีคำสั่งห้ามการกระทำอันเป็นการละเมิดไว้โดยชัดแจ้งย่อมไม่เป็นข้อต่อสู้ของนายจ้าง ถ้าหากการกระทำนั้นเป็นแต่เพียงวิธีการปฎิบัติสิ่งที่ลูกจ้างได้รับจ้างให้กระทำ
อุทาหรณ์
ฎ. 1559-2560/2504 ลูกจ้างมีหน้าที่ปิดเปิดแผงกั้นถนนตรงริมทางรถไฟเมื่อรถไฟจะผ่านและผ่านไปแล้ว ในเวลากลางคืนจะต้องให้สัญญาณไฟเขียวให้รถไฟผ่านไปได้ แต่เวลาเกิดเหตุ ลูกจ้างได้นอนหลับ ถือว่าลูกจ้างละเว้นการที่จะต้องกระทำตามหน้าที่อันเป็นละเมิด
การละเมิดโดยจงใจ
ตามมาตรา 420 ซึ่งเป็นหลักทั่วไปว่าด้วยการละเมิด เป็นที่เห็นได้ว่าการกระทำโดยประมาทเลินเล่อนั้น แตกต่างกับการกระทำละเมิดโดยจงใจ ซึ่งรวมถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นเจตนาชั่วร้ายด้วย เพราะการกระทำโดยประมาทเลินเล่อมีระดับทางจิตใจอ่อนกว่าการกระทำโดยจงใจ การกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นการแสดงความไม่รอบคอบขาดความระมัดระวังซึ่งปกติชนจะพึงมีของผู้กระทำเท่านั้น แต่การกระทำโดยจงใจเป็นเรื่องที่ผู้กระทำเล็งเห็นได้ว่า การกระทำของตน ถ้าทำลงไปแล้วจะทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
ถ้าลูกจ้างปฎิบัติการโดยมีเหตุจูงใจเป็นการส่วนตัวโดยแท้ เนื่องจากการทะเลาะวิวาทซึ่งไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของนายจ้างก็ย่อมถือว่าลูกจ้างนั้นออกจากงานที่จ้างและนายจ้างก็ไม่ต้องรับผิด
สิทธิไล่เบี้ย
มาตรา 426 บัญญัติว่า “นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ใช้จากลูกจ้างนั้น”
โดยเหตุที่การละเมิดนั้นเป็นการกระทำของลูกจ้างต่อบุคคลภายนอกเองโดยลำพัง ที่นายจ้างต้องรับผิดร่วมด้วยกับลูกจ้างก็เป็นความรับผิดต่อผู้เสียหาย แต่ในระหว่างนายจ้างลูกจ้างแล้ว นายจ้างไม่ต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างในผลที่ลูกจ้างทำละเมิดนั้นด้วย เมื่อนายจ้างใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายไปแล้วจึงชอบที่จะช่วงสิทธิของผู้เสียหายไล่เบี้ยเรียกให้ลูกจ้างชดใช้ให้แก่ตนได้ พึงสังเกตว่าในระหว่างนายจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกันกับผู้เสียหายนั้น นายจ้างลูกจ้างยังคงต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในฐานะลูกหนี้ร่วมกันจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระสิ้นเชิง
อุทาหรณ์
ฎ.648/2522 ลูกจ้างทำละเมิด นายจ้างถูกฟ้อง ได้ใช้ค่าเสียหายไปตามคำพิพากษาแล้วไล่เบี้ยเอาจากลูกจ้างได้ แต่ค่าฤชาธรรมเนียมที่นายจ้างต้องใช้แก่ผู้เสียหายตามคำพิพากษานั้น ไม่ใช่ค่าเสียหายอันเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดของลูกจ้าง นายจ้างไล่เบี้ยไม่ได้
ตัวการรับผิดในการกระทำละเมิดของตัวแทน
ลักษณะตัวการตัวแทน
ตัวแทนตามมาตรา 797 บัญญัติว่า “อันว่าสัญญาตัวแทนนั้น คือสัญญาซึ่งให้บุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าตัวแทน มีอำนาจทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกตัวการ และตกลงจะทำการดังนั้น”
กิจการที่ตัวแทนทำไปย่อมเป็นงานของตัวการเช่นเดียวกับงานที่ลูกจ้างทำไปย่อมเป็นงานของนายจ้าง ตัวแทนต้องทำการตามคำสั่งของตัวการ ทำนองเดียวกับนายจ้างลูกจ้าง จึงมีเหตุผลอย่างเดียวกันที่ตัวการจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ตัวแทนได้ทำไปในการกระทำกิจการของตัวการ มาตรา 427 จึงบัญญัติให้นำมาตรา 425 และมาตรา 426 มาใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม เพราะความสัมพันธ์ระหว่างตัวการตัวแทนมีความใกล้ชิดกับความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างลูกจ้าง
ความรับผิดของตัวการ
ต้องทราบขอบเขตของการเป็นตัวแทนเสียก่อนว่ามีเพียงไร ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ ย่อมจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้กิจการอันตัวการได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป
อำนาจการกระทำการของตัวแทนที่ได้รับมอบดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่กำหนดขอบเขตอำนาจของตัวแทนว่ามีกว้างขวางเพียงไร และจะชี้ให้เห็นว่าการละเมิดนั้นได้เกิดขึ้นในทางการที่เป็นตัวแทนหรือในระหว่างที่ตัวแทนได้ปฎิบัติหน้าที่ให้แก่ตัวการหรือไม่
สิทธิไล่เบี้ยของตัวการ
มาตรา 427 บัญญัติให้นำมาตรา 426 มาใช้บังคับแก่ตัวการด้วยโดยอนุโลม กล่าวคือ เมื่อตัวการได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันตัวแทนได้ทำไปแล้วนั้น ก็ชอบที่จะได้ชดใช้จากตัวแทน เกี่ยวกับนายจ้างลูกจ้างที่กล่าวมาแล้วนั้นย่อมอนุโลมนำมาใช้ปรับกับกรณีตัวการตัวแทนได้เช่นเดียวกัน
อุทาหรณ์
ฎ. 872/2546 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและใช้ประกอบการขนส่งและนำไปร่วมรับจ้างขนส่งกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันเป็นนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุรถชนจำเลยที่ 1 กระทำไปในทางการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จ้างวานใช้ให้กระทำ ดังนี้ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องขัดแย้งกัน แต่เป็นการยืนยันว่าจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ไม่ว่าจำเลยที่ 3 จะเป็นนายจ้างหรือตัวแทนก็ตาม เนื่องจากมาตรา 427 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ มาตรา 425 และมาตรา 426 ซึ่งบัญญัติความรับผิดของนายจ้างเพื่อผลแห่งละเมิดของลูกจ้างที่กระทำไปในทางการที่จ้างบังคับแก่กรณีตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
อุทาหรณ์
ฎ. 1955/2542 ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่ผู้ทำละเมิดได้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าหน้าที่วิทยาลัยการปกครอง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า วิทยาลัยต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วยตามมาตรา 427 เพราะเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยเป็นตัวแทนวิทยาลัย
อุทาหรณ์
ฎ. 1049/2505 มารดาใช้ให้บุตรเป็นตัวแทนในการเดินรถขนส่งคนโดยสารเก็บผลประโยชน์ให้แก่มารดา ในการนี้มารดาให้บุตรขับรถยนต์ของมารดาด้วย บุตรขับรถชนผู้เสียหายโดยละเมิด ดังนี้ มิใช่เป็นการที่มารดาใช้ให้บุตรขับรถยนต์เท่านั้น แต่เป็นการมอบหมายให้บุตรเป็นตัวแทนนั้นด้วยตามมาตรา 427
ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของ
ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของไม่เป็นความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น
เหตุผลที่แสดงให้เห็นว่าความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของไม่เป็นความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นดังบทบัญญัติมาตรา 428 คือ
ผู้ว่าจ้างจะต้องรับผิด ถ้าหากเป็นผู้ผิดแล้ว ฉะนั้น ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของตามมาตรา 428 จึงไม่ใช่เรื่องความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น เมื่อมิใช่ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นแล้ว จึงเป็นความรับผิดของผู้ว่าจ้างในการกระทำของตนเองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 420 นั่นเอง เพียงแต่บทบัญญัติมาตรา 428 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับผู้ว่าจ้างผู้รับจ้างทำของเท่านั้น
ตัวบทมาตรา 428 ใช้คำว่า “ความเสียหาย” หาได้ใช้คำว่า “กระทำละเมิด” หรือ “ละเมิด” อย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 425, 429 และ 430 ไม่ โดยที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจมิได้เกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้รับจ้างก็ได้ ผู้รับจ้างจึงไม่ต้องรับผิดทางละเมิด แต่ผู้ว่าจ้างก็ยังต้องรับผิดเพราะได้มีส่วนผิด
โดยเหตุที่ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของมิใช่ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น ในเมื่อผู้ว่าจ้างได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายไปแล้ว จึงไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ว่าจ้างไล่เบี้ยเรียกให้ชดใช้เอาจากผู้รับจ้าง
หลักความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของ
มาตรา 428 บัญญัติว่า “ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง”
โดยหลักผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่ผู้รับจ้างก่อขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้างอันเป็นไปตามหลักทั่วไปดังกล่าว เพราะเป็นผลมาจากการกระทำของผู้รับจ้าง ซึ่งถ้าเป็นกรณีที่ผู้รับจ้างกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อบุคคลภายนอกแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ผู้รับจ้างเองทำผิดหน้าที่ต่อบุคคลภายนอกนั้น ไม่ใช่การกระทำของผู้ว่าจ้าง
อุทาหรณ์
ฎ. 1176/2510 เจ้าของรถยนต์นำรถไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถ แล้วเจ้าของรถวานให้ช่างซ่อมรถคันนั้นไปส่งที่อื่น เมื่อส่งเสร็จแล้วช่างซ่อมรถขับรถกลับอู่ เกิดชนกับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายระหว่างทาง ดังนี้ช่างซ่อมไม่ได้เป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของเจ้าของรถยนต์ เป็นเรื่องจ้างทำของ เจ้าของรถยนต์ไม่ต้องร่วมรับผิดในการละเมิดนั้น
ความผิดของผู้ว่าจ้างตามที่กฎหมายกำหนดไว้มี 3 กรณี คือ
1.ความผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ
ความผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำเป็นเรื่องสั่งให้ทำตามสัญญาจ้างที่มีต่อกัน เช่น จ้างให้ทำถนนเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นเพื่อผ่านไปถึงที่ของตนอันเป็นการละเมิด เป็นต้น
2.ความผิดในคำสั่งที่ตนให้ไว้
กล่าวคือ แม้การงานที่สั่งให้ทำจะไม่เป็นละเมิดในตัวเอง แต่อาจสั่งให้ผู้รับจ้างทำโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นผลให้ผู้อื่นเสียหายก็ได้ คำสั่งที่ว่านี้ไม่เหมือนกับคำสั่งเมื่อกล่าวถึงในส่วนการงานที่สั่งให้ทำตอนก่อน เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น เช่น แนะนำให้ช่างทำรางน้ำชายคาของบ้านใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินข้างเคียงของผู้อื่น เวลาฝนตกน้ำไหลตกลงในที่ดินข้างเคียง เป็นต้น
3.ความผิดในการเลือกหาผู้รับจ้าง
ความผิดในการเลือกหาผู้รับจ้าง ที่ว่าเลือกหาผู้รับจ้าง คือ การจ้างนั่นเอง คือ จ้างคนที่ตนรู้ว่าไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถหรือระมัดระวังอันควรแก่สภาพของการงานที่จ้างให้ทำ จึงเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยละเมิด เช่น จ้างสร้างบ้านทำด้วยไม้ ไปจ้างผู้ที่เข้าตัวไม้ไม่แน่นหนาจึงเป็นผลทำให้บ้านทรุดพังลงมาถูกทรัพย์สินของบุคคลข้างเคียงเสียหาย
เป็นต้น แต่ถ้าหากไม่รู้เรื่องเชื่อโดยสุจริตตามผู้ที่รับจ้างอวดอ้างว่าตนมีความชำนาญเป็นอย่างดีก็ไม่ใช่ความผิดในการเลือก
ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลในการกระทำละเมิดของผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตและความรับผิดของครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลในการทำละเมิดของคนไร้ความสามารถ
มาตรา 429 บัญญัติว่า “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วยเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”
ผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตจะมีความรับผิดฐานละเมิดได้ก็ย่อมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 420 กล่าวคือ จะต้องมีการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อที่จะถือว่าเป็นการกระทำจะต้องมีความเคลื่อนไหวในอิริยาบถโดยรู้สำนึกในความเคลื่อนไหวนั้น และที่จะถือว่าเป็นการจงใจ จะต้องรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตน
ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลตามมาตรา 429 เป็นความรับผิดเนื่องจากความบกพร่องในหน้าที่ดูแลผู้ไร้ความสามารถและเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นนั้นต้องเกิดขึ้นในขณะที่ผู้ไร้ความสามารถอยู่ในระหว่างการดูแลของบิดามารดาหรือผู้อนุบาล จึงจะทำให้บุคคลเหล่านี้ต้องรับผิด ถ้าหากมิใช่เหตุละเมิดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่อยู่ในความดูแล ก็ไม่ต้องรับผิด เพราะเป็นเรื่องความบกพร่องในการควบคุมดูแล เมื่อไม่ได้ควบคุมดูแลก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะให้ต้องรับผิดและก็ไม่ใช่เรื่องที่จะหาคนมาร่วมรับผิดให้จงได้ เป็นเรื่องที่บุคคลผู้ไร้ความสามารถต้องรับผิดไปตามลำพัง
อุทาหรณ์เกี่ยวกับความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น
ฎ. 941/2498 บิดาได้ปล่อยปละละเลยให้บุตรผู้เยาว์คบเพื่อนเที่ยวเตร่และขับรถไปในที่ต่างๆเสมอ ซึ่งบิดาย่อมรู้อยู่ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง และใกล้จะก่ออันตรายให้แก่สาธารณชน ครั้งที่เกิดเหตุนี้ บุตรผู้เยาว์ก็ได้ขับรถยนต์ไปจากบ้านโดยบิดารู้เห็นแต่ก็มิได้ห้ามปรามตักเตือน ดังนี้ต้องฟังว่าบิดาไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ผู้ปกครองบุตรโดยปกติ ต้องรับผิดร่วมกับบุตรผู้เยาว์ตามมาตรา 429
ฎ. 480/2540 บิดายอมให้บุตรผู้เยาว์อายุ 16 ปี และยังไม่มีใบอายุญาตขับรถยนต์ ขับรถยนต์ซึ่งเป็นยานพาหนะออกไปตามถนนสาธารณะเป็นการเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ถือว่าบิดามิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลบุตรผู้เยาว์ จึงต้องร่วมรับผิดในละเมิดที่บุตรผู้เยาว์ทำด้วย
ฎ. 6967/2541 บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย อายุ 15 ปีเศษ ได้นำกุญแจรถยนต์กระบะไปลองไขกุญแจล็อคคอรถจักรยานยนต์ได้โดยบังเอิญ และได้เข็นรถจักรยานยนต์ไปให้เพื่อนรุ่นพี่ต่อสายตรงติดเครื่องให้และขี่รถจักรยานยนต์ดังกล่าวไปจนเกิดเหตุ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บิดามารดาไม่ต้องร่วมรับผิดในเหตุละเมิดที่บุตรก่อให้เกิดขึ้นตามมาตรา 429 เพราะตามข้อเท็จจริงก่อนที่บิดาจะออกไปธุระนอกบ้านพร้อมมารดาได้นำรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุไปเก็บไว้ในบ้านพร้อมกับใส่กุญแจล็อกคอรถจักรยานยนต์เพื่อป้องกันไม่ให้บุตรนำรถจักรยานยนต์ไปใช้ ทั้งบิดายังได้นำกุญแจรถจักรยานยนต์ติดตัวไปด้วย ทั้งไม่ปรากฏว่าบุตรเป็นผู้ที่มีนิสัยหรือความประพฤติไม่ดีมาก่อน ย่อมเห็นว่าบิดาได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่เหมาะสมกับอุปนิสัยและความประพฤติของบุตรแล้ว จึงไม่ต้องร่วมรับผิด
ความรับผิดของครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นในการทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
บุคคลต้องรับผิด
มาตรา 430 บัญญัติว่า “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลไร้ความสามารถ อยู่เป็นนิจก็ดี ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”
มาตรานี้กำหนดความรับผิดของผู้มีหน้าที่ดูแล เช่นเดียวกับมาตรา 429 แต่ต่างกันที่ตัวผู้มีหน้าที่ดูแล เพราะบุคคลที่เข้ารับหน้าที่ดูแลตามมาตรานี้ได้เกิดขึ้นโดยข้อเท็จจริง และต่างกันในหน้าที่นำสืบเกี่ยวกับการที่มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร
ผู้ที่ต้องรับผิดร่วมกับบุคคลผู้ไร้ความสามารถตามมาตรานี้ คือ ครูบาอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลดังกล่าว ความสำคัญของมาตรานี้จึงอยู่ที่หน้าที่ดูแลอันมีอยู่ระหว่างผู้ไร้ความสามารถกับตัวผู้ที่จะต้องรับผิดซึ่งเกิดขึ้นโดยข้อเท็จจริงที่บุคคลหนึ่งเข้ารับดูแลผู้ไร้ความสามารถ อาจเป็นผู้ปกครองที่ไม่ใช่บิดามารดา
ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล
ความรับผิดตามมาตรา 430 นี้ต่างกับความรับผิดตามมาตรา 429 ตามมาตรา 430 เป็นหน้าที่ของผู้เสียหายนำสืบให้ได้ความว่าผู้มีหน้าที่ดูแลมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ที่ต้องดูแล ถ้าไม่นำสืบหรือนำสืบให้ฟังไม่ได้ บุคคลที่รับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถก็ไม่ต้องรับผิด
อุทาหรณ์กรณีเกี่ยวกับความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลที่ทำอยู่
ฎ. 356/2511 ในตอนเช้า ครูประจำชั้นของเด็กผู้ทำละเมิดเห็นเด็กนักเรียนเอากระบอกพลุมาเล่นกันเกรงจะเกิดอันตรายให้เก็บไปทำลายและห้ามเด็กมิให้เล่นต่อไป แต่เด็กได้ใช้พลุยิงกันในเวลาหยุดพักกลางวันและนอกห้องเรียน ถือว่าได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว
สิทธิไล่เบี้ยของครูบาอาจารย์หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลไร้ความสามารถ
เมื่อครูบาอาจารย์หรือบุคคลซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว ก็ชอบที่จะได้ชดใช้จากบุคคลผู้ไร้ความสามารถและไล่เบี้ยเอาได้จนครบจำนวนที่ได้ชดใช้ เช่นเดียวกับกรณีตามมาตรา 429