Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน้าที่ในการชำระหนี้ - Coggle Diagram
หน้าที่ในการชำระหนี้
1.1 หน้าที่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง
1) วัตถุแห่งหนี้
1. หนี้กระทำการ
เป็นหนี้ที่ลูกหนี้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างแก่เจ้าหนี้ เช่น ไปสร้างบ้านให้ไปวาดรูปให้ตามสัญญาจ้างทำของไปทำการงานต่างๆให้แก่นายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน
อาจมีได้ทั้งหนี้ที่ลูกหนี้ต้องชำระด้วยตัวเองและหนี้ที่ลูกหนี้ให้คนอื่นชำระแทนได้
โดยหนี้กระทำการมีได้ทั้งมูลหนี้จากสัญญาและมูลหนี้ละเมิด
มีลักษณะส่งมอบและไม่ส่งมอบ
2. หนี้งดเว้นกระทำการ
หนี้งดเว้นกระทำการเป็นหนี้ซึ่งลูกหนี้มีความผูกพันว่าจะไม่กระทำการบางอย่าง ตามที่ตกลงกันไว้ ในมาตรา 213 วรรค3 ที่บัญญัติว่า
ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่าย และให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้
เช่น ผู้ขายกิจการค้าอาจให้สัญญาแก่ผู้ซื้อว่าจะไม่ประกอบกิจการค้านั้นในท้องถิ่นเดียวกันภายในระยะเวลาหนึ่ง
3. หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน
วัตถุแห่งหนี้ เป็นการส่งมอบทรัพย์สินนั้น หมายถึง หนี้ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินแก่เจ้าหนี้ เช่น สัญญาซื้อขายข้าว ผู้ซื้อมีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินคือราคาข้าวแก่ผู้ขาย ในขณะที่ผู็ขายก็ต้องส่งมอบทรัพย์สินคือ ข้าวให้แก่ผู้ซื้อ วัตถุแห่งหนี้ประเภทนี้เรียกว่าหนี้โอนทรัพย์สินซึ่งรวมถึงการส่งมอบทรัพย์สินในกรณีที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือโอนทรัพยสิทธิอื่นในทรัพย์ด้วย
2) วัตถุแห่งหนี้กับวัตถุประสงค์แห่งนิติกรรม
วัตถุแห่งหนี้กับวัตถุที่ประสงค์แห่งนิติกรรม มีความใกล้เคียงกันอยู่เช่น การทำสัญญาซื้อขายม้า วัตถุประสงค์ของนิติกรรม คือ การโอนกรรมสิทธิ์ในม้า จากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ ในขณะที่เมื่อนิติกรรมการซื้อขายเกิดขึ้นแล้ว วัตถุแห่งหนี้ในเรื่องนี้ก็คือการส่งมอบมาให้แก่ผู้ซื้อและผู้ซื้อก็มีหนี้ที่มีวัตถุแห่งหนี้เป็นการส่งมอบ(เงิน)
ความแตกต่างวัตถุแห่งหนี้กับวัตถุที่ประสงค์แห่งนิติกรรม
1.วัตถุประสงค์ของนิติกรรมนั้นอยู่ในขั้นมูลฐานก่อนก่อหนี้คือเป็นที่มาแห่งนี้ประการหนึ่งแต่วัตถุแห่งหนี้นั้นเป็นผลเมื่อนิติกรรมเกิดและเกิดหนี้ขึ้นจึงมีวัตถุแห่งหนี้ขึ้นมา
2.วัตถุประสงค์ของนิติกรรมนั้นก็จะมีเฉพาะในนิติกรรมเท่านั้นแต่วัตถุแห่งหนี้นั้นมีในหนี้ทุกชนิด
3.วัตถุประสงค์ของนิติกรรมนั้นมีได้ไม่จำกัดขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ทำนิติกรรม
3) ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
(1)ทรัพย์ที่จะส่งมอบเป็นทรัพย์สินทั่วไป
ทรัพย์สินที่จะส่งมอบเป็นทรัพย์สินทั่วไปนี้อาจเป็นได้ทั้งสังหาริมทรัพย์และอหังหาริมทรัพย์ และจะเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง หรือไม่ใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่งก็ไ ด้และแม้แต่จะเป็นทรัพย์ในอนาคต คือในขณะที่เกิดหนี้กันนั้น ลูกหนี้ยังไม่มีทรัพย์นั้นอยู่เลยก็ได้ เช่น แดงทำสัญญาขายเก้าอี้ 100 ตัวให้แก่ขาวกำหนดส่งมอบใน 1 เดือนเช่นนี้แม้แดงจะยังไม่มีเก้าอี้อยู่เลยในขณะทำสัญญาและเกิดหนี้นั้นทรัพย์นั้นยังเป็นทรัพย์ในอนาคตก็ได้
ทรัพย์ที่ลูกหนี้จะต้องส่งมอบนี้หากเป็นศัพท์เฉพาะสิ่งคือทรัพย์ที่รู้แน่นอนแล้วว่าเป็นสัตว์ชนิดใดเช่นซื้อม้าชื่อลิ่วลมซื้อรถหมายเลขทะเบียนที่แน่นอนแล้วเช่นนี้ทรัพย์นั้นก็เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่ง การชำระ
(2)ทรัพย์ที่จะส่งมอบเป็นเงินตรา
1. กรณีหนี้เงินได้แสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศ
มาตรา 196 บัญญัติว่าถ้าหนี้เงินได้แสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศท่านว่าจะส่งใช้เป็นเงินไทยก็ได้การเปลี่ยนเงินนี้ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินณสถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน
โดยบทบัญญัตินี้ให้สิทธิ์แก่ลูกหนี้ที่จะชำระหนี้เป็นเงินต่างประเทศตามที่แสดงไว้ก็ได้หรือจะใช้เป็นเงินไทยก็ได้
กรณีเงินตราที่จะพึงส่งใช้เป็นอันยกเลิกไม่ใช้แล้ว
เงินตราชนิดต่างๆนั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางชนิดอาจยกเลิกก็จะมีปัญหาว่า จะไปหาเงินตรานั้นมาจากไหน เพื่อชำระหนี้และแม้จะหาได้เมื่อนำมาชำระหนี้จะเกิดประโยชน์อะไรแก่เจ้าหนี้ เพราะนำไปใช้อะไรก็ไม่ได้ กฎหมายจึงได้กำหนดทางแก้ไขไว้ใน
มาตรา 197 ว่าถ้าหนี้เงินจะพึงส่งใช้ด้วยเงินตราชนิด 1 ชนิดใดโดยเฉพาะอันเป็นชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้วในเวลาที่จะต้องส่งเงินใช้หนี้นั้นใช้การส่งใช้เงินท่านให้ถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดนั้น
โดยถือว่าบทบัญญัตินี้ที่บังคับแก่ทั้งสองฝ่ายคือทั้งฝ่ายลูกหนี้และฝ่ายเจ้าหนี้กฎหมายให้ถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เงินตราชนิดนั้น เช่น กู้เงินมาเป็นเงินมาร์คเยอรมัน แต่เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้เงินมาร์คเยอรมันไม่ได้ใช้แล้วเพราะเปลี่ยนมาใช้เงินยูโรดังนี้ ลูกหนี้ก็จะชำระด้วยเงินมาร์คอีกไม่ได้เจ้าหนี้ก็จะเรียกให้ชำระด้วยเงินมาร์คไม่ได้ด้วยเช่นกันมิใช่ให้สิทธิเฉพาะแก่ลูกหนี้เท่านั้น
4) กรณีวัตถุแห่งหนี้ซึ่งเลือกที่จะชำระได้
(1) สิทธิในการเลือก
ก. กำหนดไว้ให้ผู้ใดเป็นผู้เลือกซึ่งอาจเป็นได้ทั้งเจ้าหนี้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้สิทธิ์ในการเลือกก็ต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้นั้น (มาตรา 198 มาตรา 201)
ข. ถ้าไม่ได้กำหนดไว้ว่าใครจะเป็นผู้เลือกสิทธิ์การเลือกชำระหนี้ตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ (มาตรา 198)
ค. ถ้ากำหนดให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เลือก และผู้นั้นไม่อาจจะเลือกได้ เช่น ป่วยหนักไม่รู้สึกตัว สิทธิการเลือกชำระหนี้ตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้
ง. ถ้ากำหนดให้ฝ่ายลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายเลือกและฝ่ายที่มีสิทธินั้น ไม่เลือกภายในเวลากำหนด สิทธิในการเลือกย่อมตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง "ฝ่าย" ในมาตรา 200 นั้นหมายถึงฝ่ายลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
(2) วิธีการเลือก
ก.กรณีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้มีสิทธิเลือก ให้แสดงเจตนาแก่คู่กรณีฝ่ายหนึ่ง (มาตรา199 ว.1) จะแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้ทั้งสิ้น
ข.กรณีบุคคลภายนอกเป็นผู้มีสิทธิเลือก ให้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ และลูกหนี้จะต้องแจ้งความนั้นแก่เจ้าหนี้ (มาตรา 201 ว.2)
(3) ระยะเวลาในการเลือก
ก.มีกำหนดระยะเวลาในการเลือก
เมื่อครบกำหนดแล้วฝ่ายที่มีสิทธิเลือกไม่เลือกให้สิทธิการเลือกตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง ม.200 ว.1 กรณีฝ่ายที่มีสิทธิเลือกเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้หากไม่ใช้สิทธิในกำหนดสิทธิการเลือกตกเป็นของอีกฝ่าย (มาตรา 200 )
กรณีผู้มีสิทธิเลือกเป็นบุคคลภายนอกสิทธิที่จะเลือกตกเป็นของลูกหนี้ (มาตรา 201)
ข.กรณีมิได้กำหนดเวลาในการเลือก
กฎหมายได้กำหนดว่าเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระฝ่ายที่ไม่มีสิทธิจะเลือก อาจกำหนดเวลาพอสมควรแก่เหตุ แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายโน้นใช้สิทธิเลือกภายในเวลาอันนั้น คือให้ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิจะเลือกเป็นผู้กำหนดเวลา โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นกรณีที่หนี้ ถึงกำหนดเวลาชำระแล้ว และระยะที่กำหนดนั้น ต้องพอสมควรแก่เหตุ เพราะหากไม่กำหนดเช่นนี้ ฝ่ายลูกหนี้ที่มีหน้าที่ต้องชำระก็ไม่รู้ว่าจะต้องชำระอย่างไร หากตนไม่มีสิทธิเลือก ในทางกลับกันหากลูกหนี้เป็นฝ่ายมีสิทธิเลือก เจ้าหนี้ก็ต้องการให้ลูกหนี้ชำระหนี้ เพราะหากยังไม่เลือกก็ไม่มีการชำระหนี้ขึ้นได้ ดังนั้น กฎหมายจึงให้สิทธิแก่ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิจะเลือก เป็นผู้กำหนดเวลาอันสมควร
(4) ผลของการเลือก
ให้ถือว่าการชำระหนี้ที่ได้เลือกนั้นอย่างนั้นอย่างเดียวเป็นการชำระหนี้ที่ได้กำหนดให้ทำมาตั้งแต่ต้น (ม199 ว2) เช่น ลูกหนี้จะส่งมอบข้าวสารหรือข้าวโพดเมื่อลูกหนี้ได้เลือกจะส่งมอบข้าวโพดแล้วถือว่าข้าวโพดอย่างเดียวเป็นการชำระหนี้ที่ได้กำหนดตั้งแต่ต้น
(5) กรณีการชำระหนี้บางอย่างเป็นพ้นวิสัย
1) กรณีตกเป็นอันพ้นวิสัยจะทำได้มาแต่ต้น
คือ การชำระหนี้บางอย่างพ้นวิสัยมาก่อนทำนิติกรรมแล้วเช่นนี้การชำระหนี้ส่วนนั้นแม้จะมีการตกลงกันก็ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 แล้วดังนั้นจึงจำกัดหนี้ไว้เพียงการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัยเท่านั้น
2)กรณีการอันพึงต้องทำเพื่อชำระหนี้บางอย่างกลายมาเป็นพ้นวิสัยในภายหลัง
ก. กรณีที่การชำระหนี้บางอย่างเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิจะเลือก ไม่ต้องรับผิดชอบ กรณีนี้ ท่านให้จำกัดหนี้ไว้แต่เพียงอย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัยเท่านั้น ข. กรณีที่การชำระหนี้บางอย่างกลายเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิจะเลือก ต้องรับผิดชอบกรณีนี้ผู้มีสิทธิเลือก ก็ไม่ถูกจำกัดให้ต้องเลือกส่วนที่จะเป็นวิสัยเท่านั้น และถ้าเขาเลือกส่วนที่เป็นพ้นวิสัย การชำระหนี้โดยตรงก็ไม่สามารถทำได้ก็ต้องบังคับตามมาตรา 218 คือ ลูกหนี้ก็ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
1.2 กำหนดเวลาชำระหนี้
1) หนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้
มาตรา 203
วรรคหนึ่ง ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน
หนี้ที่จะถือว่าไม่ได้กำหนดเวลาชำระต้องหมายถึงหนี้นั้น ไม่ได้กำหนดเวลาชำระไว้โดยชัดแจ้งและอนุมานจากพฤติกรรมก็ไม่ได้ด้วย แต่ถ้าแม้จะมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่สามารถอนุมานจากพฤติการณ์ได้ก็ต้องถือว่าเป็นหนี้มีกำหนดเวลาชำระเช่นกันและจะบังคับตามนี้ไม่ได้
การอนุมานจากพฤติการณ์ว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้มีการตกลงชำระกันเมื่อใดนั้น จะต้องดูประกอบกันหลายอย่าง เช่น วัตถุประสงค์ของการทำสัญญาเหตุการณ์ที่ทำให้มีการทำสัญญา กับประเพณีทางการค้าหรือการปฏิบัติระหว่างคู่กรณีและอื่นๆ ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป เมื่อกรณีการชำระหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาไว้ชัดแจ้งและจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่อาจทราบความประสงค์ของคู่กรณีเช่นนี้ กรณีนี้จึงจะบังคับตามมาตรา 203 วรรคแรก คือ เจ้าหนี้มีสิทธิ จะเรียกให้ชำระหนี้ โดยพลันและลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน
ตัวอย่าง
ก. กู้เงิน ข. โดยมิได้กำหนดเวลาว่าจะชำระหนี้ให้ ข. เมื่อใด และอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ ข. ย่อมเรียกให้ ก. ชำระหนี้ได้โดยพลัน และ ก. ก็ย่อมชำระหนี้ให้ ข. ได้โดยพลันดุจกัน
2) หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้
(1) กำหนดเวลาชำระแต่เป็นที่สงสัย
“ประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาได้แก่ฝ่ายลูกหนี้” และ “หนี้ที่ถึงกำหนดเวลาชำระแต่กรณีเป็นที่สงสัย”
มาตรา 203
วรรคสองบัญญัติเกี่ยวกับหลักที่ว่า “เงื่อนประโยชน์แห่งเวลาย่อมได้แก่ฝ่ายลูกหนี้” ไว้ว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้
หลักกฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องหนี้มีกำหนดเวลาชำระ แต่กรณีเกิดเป็นสงสัยว่า ประโยชน์แห่งเวลาเป็นของเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ กฎหมายจึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเ
ป็นประโยชน์แก่ฝ่ายลูกหนี้ฝ่ายเดียว
เจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนดเวลาไม่ได้ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดเวลาย่อมทำได้ ทั้งนี้กฎหมายประสงค์จะให้ลูกหนี้ได้เตรียมการชำระหนี้ไว้ให้พร้อม ถ้าจะให้เจ้าหนี้เรียกให้ชำระหนี้ได้ก่อนกำหนดเวลา ลูกหนี้อาจจะยังไม่พร้อมที่จะชำระหนี้ จะทำให้ลูกหนี้เดือดร้อน แต่ถ้าอนุมานจากพฤติการณ์ได้ หรือมีข้อความปรากฏชัดแจ้งในตราสารว่ากำหนดเวลาชำระหนี้มีไว้เพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้ ก็ย่อมเป็นไปตามนั้น ซึ่งจะมีผลให้เจ้าหนี้เรียกชำระหนี้ก่อนกำหนดเวลาได้ แต่ลูกหนี้ไม่มีสิทธิที่จะชำระหนี้ได้ก่อนเวลากำหนด
(2) กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ไม่เป็นที่สงสัย
1.กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน
กรณีนี้เป็นการกำหนดเลาชำระหนี้โดยชัดแจ้งตามปฏิทินตามที่บัญญัติไว้ใน
มาตรา 204 วรรคสอง
ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว เช่น กำหนดชำระหนี้ในวันที่ 12 มีนาคม 2566 หรือกำหนดชำระหนี้ในวันสงกรานต์
2.กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน
กำหนดเวลาชำระหนี้นี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
เช่น
เดิมกำหนดชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อถึงกำหนดนั้นไม่มีการชำระหนี้ขึ้นด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ไม่ใช่ความผิดของลูกหนี้ ก็อาจมีผลทำให้หนี้นั้นกลายเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระไปได้
การกำหนดเวลาชำระหนี้แบบนี้นั้นกฎหมายได้กล่าวไว้ใน
มาตรา 204
วรรคแรกว่า
"
ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว"
เมื่อเทียบกับมาตรา 204 วรรค 2 ที่ให้คำว่า
"ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน"
จึงต้องแปลความกำหนดเวลาชำระหนี้ตามมาตรา 204 วรรคแรกว่าเป็นกำหนดเวลาที่มิใช่ตามวรรค 2 นั่นก็คือ ต้องแปลว่า เป็นกำหนดเวลาชำระหนี้ที่มิใช่ตามวันแห่งปฏิทินนั่นเอง
เช่น
ยืมเงินไปและกำหนดว่าจะใช้คืนเมื่อขายข้าวได้แล้ว หรือยืมเรือไปใช้กำหนดจะส่งคืนเมื่อสิ้นฤดูน้ำ
1.3 การผิดนัดไม่ชำระหนี้
การผิดนัด(ลูกหนี้)
1) ลูกหนี้ผิดนัดโดยต้องตักเตือนก่อน
(1) หนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่วันแห่งปฏิทิน
หนี้ประเภทนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดชำระมิใช่ตามปฏิทิน เช่น กำหนดชำระหนี้เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ เมื่อสิ้นฤดูน้ำหลาก ไม่อาจกำหนดวันที่แน่นอนได้ ดังนั้น เมื่อนี่ถึงกำหนดชำระแล้ว กฎหมายจึงได้กำหนดให้เจ้าหนี้ต้องให้คำเตือนลูกหนี้ก่อน เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระตามที่เจ้าหนี้เตือนลูกหนี้ จึงจะผิดนัดดังนั้น แม้หนี้จะถึงกำหนดชำระแล้ว และลูกหนี้ก็ยังไม่ชำระหนี้ ถ้าหากเจ้าหนี้ยังไม่เตือนแล้วลูกหนี้ก็ยังไม่ผิดนัด
(2) หนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระตามมาตรา 203
กำหนดให้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลันและลูกหนี้ก็มีสิทธิจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน กฎหมายให้ถือเอาว่าหนี้ประเภทนี้ถึงกำหนดทันทีที่นับแต่ก่อหนี้ถ้าเจ้าหนี้ยังไม่เรียกให้ลูกหนี้ชำระลูกหนี้ก็ยังไม่มีหน้าที่ต้องชำระลูกหนี้มีสิทธิ์จะชำระได้ทันทีตั้งแต่ก่อนนี่แต่หน้าที่ที่จะต้องชำระนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อเจ้าหนี้เรียกให้ลูกหนี้ชำระการลูกหนี้ชำระหนี้ก็คือการเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั่นเองดังนั้นหากไม่มีการเตือนให้ชำระหนี้จากเจ้าหนี้ลูกหนี้ก็ยังไม่มีหน้าที่ชำระหนี้และยังไม่ผิดนัด
2) ลูกหนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ตักเตือน
(1) หนี้ที่มีกำหนดชำระตามวันแห่งปฏิทิน
กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 204 วรรค 2 หนี้ที่มีกำหนดชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินนี้ เช่น กำหนดชำระหนี้ในวันที่ 20 กรกฎาคมจำนวนชำระหนี้ในวันสงกรานต์เช่นนี้วันที่กำหนดไว้นั้นมีความแน่นอนชัดเจนรู้ได้ตรงกันอยู่แล้วดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดว่าถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดลูกหนี้ก็ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมีภาคต้องเตือน
(2) หนี้ละเมิด
หนี้ละเมิดนั้นเกิดขึ้นจากการล่วงสิทธิของผู้อื่นมิใช่เกิดจากนิติกรรมสัญญา จึงไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ ในเรื่องการผิดนัดสำหรับหนี้ละเมิดนั้น มีบัญญัติไว้ในมาตรา 206 ว่า
*ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิดลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด
เพราะกฎหมายเห็นว่าเมื่อการทำละเมิดทำให้เขาเสียหายก็มีหน้าที่ ที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนทันทีที่ ทำละเมิดจึงถือว่าผิดนัดมาแต่เวลาทำละเมิดทันทีโดยไม่ต้องเตือนแต่อย่างใดทั้งสิ้นรวมถึงค่าเสียหายในอนาคตก็ต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิด
*
3) กำหนดชำระหนี้กับการผิดนัด
1. การกำหนดเวลาชำระหนี้นั้น
เป็นกำหนดที่ลูกหนี้จะต้องชำระหนี้แต่การผิดนัดเป็นผลของการไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ประกอบกับเงื่อนไขบางประการของกฎหมาย
2. กำหนดเวลาชำระหนี้
เป็นกำหนดที่เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ และเป็นองค์ประกอบสำคัญของการผิดนัด คือ การที่เจ้าหนี้จะทำให้ลูกหนี้ผิดนัดได้นั้น ต้องเป็นการเตือนลูกหนี้หลังจากที่นี่ถึงกำหนดชำระแล้ว
3. การผิดนัดนั้น
แม้จะถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ และมีเงื่อนไขอื่นที่อาจทำให้ลูกหนี้ผิดนัด เช่น การเตือนของเจ้าหนี้แล้วก็ตามหากการที่ไม่ชำระหนี้นั้นมีเหตุที่ลูกหนี้จะอ้างได้ว่าไม่ใช่ความผิดของตนแต่เกิดจากพฤติกรรมอันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบแล้วก็ถือว่าลูกหนี้ยังไม่ผิดนัด
(4) กรณีที่ไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด
1.เป็นเหตุเกิดจากเจ้าหนี้เอง
การที่ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้นั้นหากเกิดเพราะเจ้าหนี้จะต้องรับผิดแล้วก็ถือเป็นพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบเหตุที่เจ้าหนี้จะต้องรับผิดชอบนั้นอาจมีหลายเหตุด้วยกัน ได้แก่ กรณีเจ้าหนี้ผิดนัดและกรณีที่เจ้าหนี้ต้องรับผิดด้วยเหตุอื่นอีก
2.เหตุเกิดจากบุคคลภายนอก
บางครั้งการชำระหนี้ยังไม่ได้กระทำลงนั้นเป็นพฤติการณ์ที่โทษลูกหนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเหตุเกิดจากบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นเรื่องนอกอำนาจของลูกหนี้ ที่จะป้องกันได้ เช่น ตกลงกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโดยตกลงกันว่าลูกหนี้จะรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่จะซื้อขาย และไปโอนให้แก่ผู้ซื้อภายในเวลาที่กำหนด ปรากฏว่าลูกหนี้ได้พยายามดำเนินการเพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามสัญญาเต็มความสามารถแล้ว แต่รังวัดแบ่งแยกไม่เสร็จ เพราะเจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจดำเนินการได้ทัน ถือว่าลูกหนี้ไม่ผิดนัด
3.เกิดจากภัยธรรมชาติ การที่ลูกหนี้ไม่อาจชำระหนี้ได้ทันตามกำหนดอาจมีสาเหตุมาจากภัยธรรมชาติที่ลูกหนี้ไม่อาจคาดการณ์และไม่อาจป้องกันได้ก็ถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบเช่นกันเช่นรังวัดแบ่งแยกให้ไม่ทันเพราะน้ำท่วมรังวัดไม่ได้จึงไม่สามารถโอนที่ดินได้ตามกำหนดก็ถือว่าลูกหนี้ไม่ผิดนัด
ผลของการผิดนัดของลูกหนี้
(1) ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแต่การผิดนัด
มาตรา 215 เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้
เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนอันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์แห่งมูลหนี้ทุกอย่าง และความเสียหายในเรื่องนี้เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการชำระหนี้ล่าช้านั้น เช่น ทำสัญญารับจ้างสร้างบ้านให้เขาตกลงว่าจะสร้างเสร็จใน 6 เดือนแต่สร้างไม่เสร็จล่าช้าไปทำให้ผู้ว่าจ้างต้องไปเช่าบ้านเขาอยู่ต้องเสียค่าเช่าบ้านในระหว่างนั้นส่งคืนบ้านเช่าช้ากว่าที่กำหนดทำให้ต้องเสียหายไม่ได้รับค่าเช่าที่ควรจะได้
ข้อสังเกตว่าค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอันเกิดแต่การผิดนัด
1.เป็นค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นจากการผิดนัดโดยตรง
2.เป็นความรับผิดที่เพิ่มขึ้นมาจากการชำระหนี้ปกติที่แม้เมื่อลูกที่แม้เมื่อผิดนัดลูกหนี้ก็ยังต้องรับผิดชำระหนี้ไม่เกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนการชำระหนี้
(2) เจ้าหนี้อาจไม่รับชำระหนี้
ในบทบัญญัติมาตรา 216 ประกอบกับมาตรา 388 ในเรื่องสัญญา ในกรณีนี้ต้องเป็นหนี้ที่กำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญ โดยการแสดงเจตนามีการตกลงกันในสัญญาของคู่กรณีในการทำสัญญาหรือตามสภาพเวลาเป็นสาระสำคัญ เช่น จ้างให้ขนส่งสินค้าไปส่งโรงเรือเดินสมุทร ซึ่งจะออกจากท่าวันที่ 10 ตุลาคม ดังนี้ เวลาซึ่งเรือจะออกจากท่าเรือเป็นสาระสำคัญ หรือจ้างตัดชุดวิวาห์เช่นนี้ก็เห็นได้โดยสภาพว่าเวลาย่อมเป็นสาระสำคัญ
นอกจากกำหนดเวลาชำระหนี้จะเป็นสาระสำคัญมาแต่แรกแต่แม้เวลาชำระหนี้จะไม่เป็นสาระสำคัญมาแต่แรกเจ้าหนี้ก็อาจบอกกล่าวให้ชำระหนี้เป็นสาระสำคัญได้ ดังบัญญัติในมาตรา 387 ทั้งนี้ก็เพราะลูกหนี้มีหน้าที่จะต้องชำระหนี้ตามเวลากำหนดอยู่แล้ว ถ้าไม่ชำระ กฎหมายจึงยอมให้เจ้าหนี้บอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้ด้วยกำหนดเวลาพอสมควรถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายก็มีสิทธิจะบอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้นั่นเอง
(
3) ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดระหว่างผิดนัดเพิ่มขึ้น
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดลูกหนี้ยังอาจต้องรับผิดในความเสียหายใน ความประมาทเลินเล่อ และการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดด้วย ตามมาตรา
217 ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบในการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัดนั้นด้วย เว้นแต่ความเสียหายนั้นถึงแม้ว่าตนจะได้ชำระหนี้ทันเวลากำหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง
ความรับผิดตามมาตรานี้บัญญัติเฉพาะความรับผิดที่เพิ่มขึ้นเมื่อลูกหนี้ผิดนัดแต่ถ้าความรับผิดนั้นแม้ไม่ผิดนัดก็ต้องรับผิดเช่นจงใจทำให้เกิดเสียหายก็รับผิดตามปกติไม่ใช่ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่มีบัญญัติในมาตรานี้
เช่น ลูกหนี้ผิดนัดไม่ส่งน้ำตาลแก่ผู้ซื้อตามกำหนดเพราะตกลงราคาไม่ได้ต่อมารัฐบาลห้ามส่งน้ำตาลออกนอกประเทศการชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยลูกหนี้ต้องรับผิด