Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
1.พนักงานไม่ทำตามขั้นตอนที่กำหนด, ใช้หลักต่างๆ ช่วยพิจารณาการมอบงานหรืออื่…
1.พนักงานไม่ทำตามขั้นตอนที่กำหนด
สิ่งที่ควรเข้าใจ
Boss Culture และ Leader Culture คืออะไรและแตกต่างอย่างไร
Boss Culture Boss Culture คือวัฒนธรรมการทำงานแบบมองหัวหน้าเป็น ‘เจ้านาย’ คำสั่งของเจ้านายคือประกาศิตที่ลูกน้องต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่ว่าคำสั่งนั้นจะผิดหรือถูก
หัวหน้าบางคนจะชอบวิธีนี้ เพราะบอกอะไรทุกคนทำตามหมด แต่ที่จริแล้วในใจของคนทำงานอาจจะทุกข์มาก เพราะรู้สึกเหมือนถูกบังคับ ถูกใช้อยู่ตลอด
Leader Culture
คือการมองหัวหน้าในฐานะ ‘
ผู้นำ
’ ผู้นำในที่นี้ไม่ได้แปลว่ามีใครโดดเด่นคนเดียว แต่หน้าที่ของผู้นำคือการ
สร้างผู้นำให้เกิดขึ้นในองค์กร
ให้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนก็ตาม ทุกคนต้องกล้าแสดงความคิดเห็น หรือถ้าเห็นว่าอะไรจะเป็นประโยชน์ต่องานก็ต้องกล้าคิดกล้าพูดออกมาได้ ไม่เกี่ยวกับว่าคนพูดตำแหน่งอะไร และถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อการทำงาน ทุกคนจะต้องฟัง ผู้นำที่ดีจะไม่คิดว่าการถูกทักท้วงเป็นการแหกหน้า แต่เป็นการช่วยกันอุดรูรั่ว หรือเป็นการทำให้งานออกมาดีขึ้น
ข้อแตกต่าง
Boss Culture
เน้นการสั่งแล้วทำตาม และไม่ชอบมีข้อโต้แย้ง
Leader Culture
เน้นการสร้างผู้นำ โดยทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ เพื่อเป็นการช่วยกันอุดรูรั่ว หรือเป็นการทำให้งานออกมาดีขึ้นนั้นเอง
ทำไหม ?
ข้าดทักษะในงานนั้นๆ
มีปัญหาหรืออุปสรรคที่ไม่สามารถควบคุมได้
คิดว่าทำไม่ได้
พนักงานไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
ไม่มีการสนใจเมื่อทำผิด
คิดว่าแนวทางของหัวหน้าไม่น่าจะเป็นแนวทางที่ดี
ไม่มีการรับฟัง
ไม่มีการเชื่อใจ
มีมุมมองหรือเป้าหมายที่ต่างกัน
สั่งงานแล้วไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจเหตุผลหรือความสำคัญของคำสั่งหรือขั้นตอนนั้นๆ
วิธีการแก้ไข้ ?
เด็ดขาด
ในเรื่องการกำหนดเวลา
บทลงโทษ
ใส่ใจงานและลูกน้อง
การติดตามงาน
การสื่อสาร
ชัดเจน
ไม่ควรใช้คำย่อหรือ 2 ภาษา
ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
เห็นคำตอบในทุกปัญหา ไม่ใช่ เห็นปัญหาในทุกคำตอบ
กระตุ้นลูกน้อง (มีความเกี่ยวข้องกับการสื่อสาร)
บอกความสำคัญของงานนั้นๆ
กิจกรรมที่ข่วยให้พนักงงานเข้าใจมากขึ้นและอาจจะเพิ่ม inspiration
ภารกิจสลับตัว
อันนี้ถือเป็นกิจกรรมสนุก ๆ ที่จะสร้างแรงบันดาลใจพนักงานทั่วถึงทั้งองค์กร นั่นคือการจัดหนึ่งวันให้พนักงานได้สลับตัวกันไปทำงานในตำแหน่งของเพื่อนอีกฝ่ายที่เดิมเคยได้แต่ประสานงานกัน เพราะโดยปกติแล้วคนเรามักประเมินค่างานของคนอื่นต่ำกว่าความเป็นจริง และคิดว่างานเราเนี่ยแหละยากและปวดหัวสุด ๆ แล้ว การได้นั่งลงมือทำงานของคนอื่นจริง ๆ จะช่วยให้เราเข้าใจงานและสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญมากขึ้น มีแรงบันดาลใจที่จะทำงานให้ดียิ่งขึ้น และตระหนักว่าการจะได้รับผลลัพธ์เป็นความสำเร็จตามต้องการนั้น ทุกคนจะต้องพยายามทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อขับเคลื่อนร่วมกันเป็นทีม
ปัจจัยแรงจูงใจเกี่ยวกับผลตอบแทน
ไม่ว่าจะเป็นเงิน ขั้น สวัดิการ หรืออื่นๆ ตามหลัก CAP
ตั้งเป้าหมายของงานนั้นให้ชัดเจน
กำหนดเวลาส่งงานอย่างชัดเจน
นำ technology มาช่วยในการติดตามงาน
ใช้ระบบที่จะช่วยบอกความคืบหน้าของงาน และช่วยการ analysis
ใช้หลักต่างๆ ช่วยพิจารณาการมอบงานหรืออื่นๆ
CAP
-
C มาจาก Clarity (ความชัดเจน)
ทบทวนว่าสิ่งที่เราสั่งไปมีความชัดเจนแค่ไหน
ทำสรุป
A มาจาก Attainability (ความสำเร็จ)
พนักงานรู้สึกว่างานที่ได้รับมานั้นมันยากไปที่จะบรรลุหรือไม่
วิธีพิจารณา
พิจารณาว่าพนักงานคนนั้นๆ
มีความรู้ทักษะ และความสามารถในการทำงานนั้นๆ
หรือไม่
ยังขาดทักษ
ะเรื่องอะไรอยู่บ้าง
ประสบการณ์
ความเชี่ยวชาญ
การศึกษา
จริยธรรม
พิจารณาเรื่องของเครื่องไม้เครื่องมือ และการสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายและงบประมาณต่างๆ ที่มีผลต่อการทำงานของพนักงานให้สำเร็จ
-
อุปกรณ์
อำนาจในการตัดสินใจ
ค่าใช้จ่าย
พลังภายในตัวของพนักงานคนนั้นเองว่าเขามีพลังในการสร้างผลงานมากสักเท่าไร
-
พลังงาน
ความกระตือรือร้น
สิ่งแวดล้อม
P มาจาก Payoff (ผลตอบแทน)
ถ้าทำงานนี้แล้วจะได้อะไร คุ้มค่าเหนื่อยหรือไม่ ซึ่งก็จะแตกต่างกันออกไปในความต้องการของพนักงานแต่ละคน
-
Survival ก็คือ ความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่รอด
Love / Belonging ก็คือความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ
Power / Recognition คือความต้องการอำนาจ และการได้รับความสนใจจากผู้อื่น
Fun / Learning คือต้องการความสนุกในชีวิต และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
Freedom ต้องการอิสระที่จะทำอะไรได้อย่างที่เราต้องการ
เชื่อมโยงความต้องการของแต่ละบุคคล
-
เชื่อมกับเรื่องของ
Survival needs
ก็จะออกมาดังนี้ “ผลงานชิ้นนี้เป็นตัวพิสูจน์ตัวคุณเลยนะ เพราะถ้าทำเสร็จมันเป็นตัวบอกว่าคุณจะสามารถก้าวหน้ากับเราไปได้ไกลแค่ไหน ซึ่งนั่นก็หมายถึงค่าตอบแทนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย” ถ้าพนักงานมีความต้องการเรื่อง survival need ก็จะเชื่อมความตัองการของเขาได้ตรง
เชื่อมกับเรื่องของ
Love and Belonging need
s “งานนี้จะทำให้คุณเป็นที่รู้จักกับบุคคลทั้งในและนอกบริษัทมากขึ้น และเปิดโอกาสให้คุณได้แสดงงฝีมือให้กับบุคคลเหล่านี้ได้เห็น” ถ้าพนักงานต้องการเรื่องของความรักและความสัมพันธ์ เขาก็จะเต็มใจทำ เพราะมันตรงกับสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ
เชื่อมกับเรื่องของ
Power and Recognition need
“ผลงานชิ้นนี้จะทำให้คุณมีโอกาสในการเป็นผู้จัดการโครงการเอง และทำให้คนอื่นได้เห็นฝีมือ และความสามารถที่แท้จริงของคุณเลยนะครับ” ถ้าพนักงานคนนี้มีความต้องการที่จะให้คนอื่นยอมรับว่าเขามีอำนาจ และต้องการการยอมรับจากผู้อื่น
เชื่อมกับเรื่องของ
Fun and Learning
หรือความสนุกสนาน “งานนี้จะทำให้คุณได้สนุกกับความคิดสร้าสรรค์ใหม่ๆ และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในประเด็นที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ” ถ้าพนักงานคนนี้ชอบเรียนรู้ และสนุกกับงาน ก็จะทำอย่างไม่มีเงื่อนไข
เชื่อมกับ
Freedom
“งานนี้ผมจะให้อิสระคุณในการทำงานเองทั้งหมด คุณสามารถเลือกวิธีการทำงาน เลือกทีมงานของคุณเองได้”
4W 1R
Who
What
When
Will Power
Review
พนักงานไม่รายงานความคืบ
หน้าของงานตามความจริง
ทำไหม ?
พนักงานกลัวโดนการติว่า
ทำงานได้ไม่ดี
ทำอย่างไรดี ?
นำหลักฐานมาใช้ทุกครั้ง
พนักงานทำงานโดยอาศัยของความรู้สึกและความคิดของตนมาแทนที่เงื่อนไขกำหนด
ทำไหม ?
เขารู้สึกว่าเงื่อนไขไม่ตรงกับความคิดของเขา หรืออาจจะไม่ดี
แก้ไข้อย่างไรดี ?
มีการพูดคุยและปรับกันใหม่
ให้เขาสามารถแสดงความคิดเห็นได้แต่ต้องผ่านการอนุมัติก่อน
ทำให้เขาทราบถึงความสำคัญ