Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 หน้าที่ในการชำระหนี้, ความแตกต่างของการโอนกรรมสิทธิ์…
บทที่ 1
หน้าที่ในการชำระหนี้
1.1 หน้าที่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง
คือ การที่ลูกหนี้มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ ให้ต้องตามความประสงค์แห่งหนี้นั้น ดังที่ มาตรา 215 บัญญัติไว้ เช่น การส่งมอบม้า ลูกหนี้ก็ต้องส่งมอบม้า จะส่งมอบลาแทนม้าไม่ได้
1) วัตถุแห่งหนี้
คือ สิ่งที่ “ลูกหนี้” จะต้องดำเนินการในการปฏิบัติการชำระหนี้ตามมาตรา 208 และ “เจ้าหนี้” อาจเรียกร้องเอาจากลูกหนี้ได้ และเมื่อพิจารณาจากมาตรา 194, มาตรา 213 และมาตรา 195 กล่าวได้ว่า วัตถุแห่งหนี้นั้น แบ่งออกเป็น 3 อย่าง คือ
การกระทำการ การงดเว้นกระทำการ และการส่งมอบทรัพย์สิน
(1) หนี้กระทำการ
เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องไปทำการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างแก่เจ้าหนี้ อาจมีได้ทั้งหนี้ที่ลูกหนี้ต้องกระทำการนั้นด้วยตัวลูกหนี้เอง และหนี้ที่ลูกหนี้ไม่ต้องกระทำด้วยตนเองก็ได้
หนี้ที่ลูกหนี้ต้องกระทำการด้วยตนเอง
เป็นหนีที่ลูกหนี้ต้องกระทำการด้วยตนเอง หรือต้องอาศัยความรู้ความสามารถของตัวลูกหนี้เอง เช่น การจ้างให้ไปสอนหนังสือ ไปบรรยายพิเศษ หรือจ้างให้มาเป็นนางแบบถ่ายแบบ
หนี้ที่ลูกหนี้ต้องทำเฉพาะตัวนั้น ถือว่าเป็นหนี้ส่วนตัว หากลูกหนี้กลายเป็นคนที่ไม่สามารถจะชำระหนี้ได้ ก็ถือว่าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยตามมาตรา 219 เช่น จ้างจิตรกรมาวาดรูปเหมือน แต่ก่อนจะวาดรูปนั้น จิตรกรเกิดประสบอุบัติเหตุ ทำให้เป็นอัมพาต ไม่สามารถวาดรูปได้
หนี้ที่ลูกหนี้ไม่ต้องกระทำการด้วยตนเอง
เป็นหนี้ที่ลูกหนี้อาจจะไปจัดหาบุคคลอื่นมาทำงานให้เสร็จแทน โดยที่ลูกหนี้ไม่ต้องกระทำการด้วยตนเองก็ได้ เช่น หนี้สัญญารับจ้างสร้างบ้าน ลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้รับเหมา ไปจัดหาคนงานมาทำงานให้เสร็จตามสัญญา
2) หนี้งดเว้นกระทำการ
วัตถุแห่งหนี้นั้นอาจกำหนดให้ลูกหนี้ไม่ต้องกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่ตกลงกันไว้ก็ได้ ตามมาตรา 213 วรรคสาม เช่น การตกลงห้ามสร้างอาคารสูงเกิน 2 ชั้น แต่หนี้งดเว้นกระทำการนั้น อาจมีหน้งดเว้นกระทำการบางอย่างได้อีก เช่น สัญญาเช่าอาจมีข้อตกลงห้ามผู้เช่านำวัสดุที่อาจติดไฟได้ง่ายเข้ามาไวในอาคาร
ต้องมีสภาพเป็นหนีที่อาจบังคับได้
คือ ต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้มีหน้าที่ทางหนี้ (Obligation) ไม่ใช่หน้าที่งดเว้นทั่ว ๆ ไป (Devoir) หรืออาจกล่าวว่า หนี้งดเว้นกระทำการในที่นี้ ต้องหมายถึงหนี้ที่อาจบังคับกันได้ตามมาตรา 213 วรรคสาม คือ สามารถสั่งให้รื้อถอนการที่ได้กระทำการลงแล้ว
ต้องไม่ขัดต่อหลักเสรีภาพของบุคคล
ในส่วนของความผูกพันทางกฎหมาย หนี้งดเว้นกระทำการ มีความเกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ดังนั้น หนี้ชนิดนี้ ถ้าไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาหรือสถานที่ อาจขัดต่อหลักเสรีภาพของบุคคล หรืออาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี มีผลให้สัญญาเป็นโมฆะได้ เช่น การห้ามมิให้สมรส หรือการห้ามมิให้เปลี่ยนศาสนา
ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อย
คือ หนี้งดเว้นนี้ ต้องไม่เป็นวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี มิฉะนั้น นิติกรรมจะกลายเป็นโมฆะได้ เช่น ทำสัญญาให้ค่าตอบแทน โดยที่ฝ่ายรับค่าตอบแทนมีหนี้ต้องไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เช่นนี้ก็เป็นหนี้
งดเว้นกระทำการ สัญญานี้จะกลายเป็นโมฆะ เพราะมีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย
3) หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน
วัตถุแห่งหนี้เป็นการส่งมอบทรัพย์สิน หมายถึง หนี้ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินแก่เจ้าหนี้ เช่น สัญญาซื้อก๋วยเตี๋ยว ฝ่ายผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินคือราคาก๋วยเตี๋ยวแก่ผู้ขาย ในขณะที่ผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินคือก๋วยเตี๋ยวแก่ผู้ซื้อ และรวมถึงการส่งมอบทรัพย์สินในกรณีที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ด้วย เช่น ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ โดยผลของกฎหมาย กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อทันทีที่สัญญาซื้อขายมีผล แต่ถ้าเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต้องมีการทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ด้วย กรรมสิทธิ์จึงจะโอนไปยังผู้ซื้อ
การโอนกรรมสิทธิ์จะมุ่งถึงการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ในบางกรณีอาจแยกกันเด็ดขาดกับเรื่องการส่งมอบทรัพย์สิน เช่น สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มาตรา 458 กำหนดให้กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่เมื่อตกลงซื้อขายกันแล้ว ดังนั้นผู้ขายจึงเหลือเพียงหน้าที่การส่งมอบทรัพย์เท่านั้น
วิธีการส่งมอบทรัพย์นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของทรัพย์นั้น ทรัพย์บางชนิดอาจมีขนาดเล็กที่สามารถนำส่งให้กับตัวเจ้าหนี้ได้ แต่ทรัพย์บางชนิดเป็นของที่มีขนาดใหญ่โต ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ง่าย เช่น ที่ดิน บ้าน เรือนโรง ดังนั้น การส่งมอบทรัพย์จึงกำหนดไว้อย่างกว่าง ๆ ตามมาตรา 462 เช่น การส่งมอบรถยนต์ก็อาจเพียงแต่มอบกุญแจรถ ทำให้ผู้รับมอบสามารถเข้าครอบครองรถได้ การส่งมอบบ้านที่เช่าก็ส่งมอบเพียงกุญแจบ้าน
2) วัตถุแห่งหนี้กับวัตถุที่ประสงค์แห่งนิติกรรม
วัตถุแห่งหนี้ กับวัตถุที่ประสงค์แห่งนิติกรรมนั้น มีความใกล้เคียงกัน และแม้จะมีส่วนคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันหลายประการ
วัตถุที่ประสงค์แห่งนิติกรรม
อยู่ในขั้นมูลฐานก่อนก่อหนี้ เป็นที่มาแห่งหนี้ประการหนึ่ง
มีเฉพาะในนิติกรรมเท่านั้น
มีได้ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ทำนิติกรรม
วัตถุแห่งหนี้
เป็นผลเมื่อนิติกรรมเกิด และเกิดหนี้ขึ้น
มีในหนี้ทุกชนิด
มีเพียง 3 อย่าง คือ หนี้กระทำการ หนี้งดเว้นกระทำการ และหนี้ส่งมอบทรัพย์สิน
3) ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
ในบทบัญญัติมาตรา 195 นั้น อาจเข้าใจได้ว่า วัตถุแห่งหนี้คือตัวทรัพย์นั้น แต่ตัวทรัพย์นั้นไม่อาจเป็นวัตถุแห่งหนี้ได้ เพราะวัตุแห่งหนี้ คือ การส่งมอบทรัพย์ ทรัพย์จึงเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในการชำระหนี้ ทรัพย์ที่ลูกหนี้จะต้องส่งมอบนี้ แยกพิจารณาออกเป็น 2 ส่วน คือ ทรัพย์ที่จะต้องส่งมอบเป็นทรัพย์สินทั่วไป และเป็นเงินตรา
(1) ทรัพย์ที่จะส่งมอบเป็นทรัพย์สินทั่วไป
อาจเป็นได้ทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ และจะเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง หรือไม่ใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่ง หรือทรัพย์ในอนาคตก็ได้ ในกรณีที่หากว่าทรัพย์นั้นมิใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่ง กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ 2 กรณี
1. การที่ทรัพย์นั้นจะเป็นวันถุแห่งหนี้
จากบทบัญญัติมาตรา 195 วรรคสอง จะเห็นได้ว่าจะเห็นได้ว่าทรัพย์สินทั่วไปนั้นจะเป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ได้ 2 กรณี
1) ลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำเพื่อส่งมอบซับสิ่งนั้นทุกประการแล้ว เช่น ลูกค้ามาซื้อข้าวสาร 2 กระสอบ จากข้าวสารในร้านที่มีมากมาย ผู้ขายได้จัดการขนข้าวสารจำนวน 2 กระสอบ ขึ้นรถของลูกค้าแล้ว เช่นนี้ ข้าวสารจำนวน 2 กระสอบบนรถนั้นก็เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
2) ลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์แล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ เช่น มีลูกค้ามาซื้อลูกสุนัขจากฟาร์มเลี้ยงสุนัข เมื่อเจ้าของฟาร์มได้เลือกลูกสุนัขที่ลูกค้าเห็นชอบแล้ว ลูกสุนัขตัวนั้นก็เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ตั้งแต่เวลานั้น
2. กรณีทรัพย์ที่จะต้องส่งมอบได้ระบุไว้เป็นเพียงประเภท
เมื่อทรัพย์ที่จะชำระหนี้ได้ระบุไว้เป็นเพียงประเภท ตามมาตรา 195 วรรคแรก ต้องพิจารณาถึงสภาพแห่งนิติกรรมหรือเจตนาของคู่กรณีก่อน ว่าสภาพแห่งนิติกรรมนั้น จะต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดใด แต่เมื่อไม่อาจกำหนดชนิดของทรัพย์นั้นได้ตามสภาพของนิติกรรมหรือตามเจตนาของคู่กรณีแล้ว กฏหมายจึงกำหนดหน้าที่ว่าลูกหนี้จะต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดปานกลาง
(2) ทรัพย์ที่จะส่งมอบเป็นเงินตรา
เงินตรานั้นมีลักษณะพิเศษกว่าทรัพย์สินอื่นอยู่หลายประการทั้งโดยธรรมชาติของการใช้สอย และการกำหนดโดยกฎหมายที่เห็นได้ชัดเจน
ประการแรก เงินตรานั้นมูลค่าอยู่ที่ราคาที่ตราไว้ มิได้อยู่ที่คุณภาพความใหม่เก่า
ประการที่สอง เงินตรานั้นโดยสภาพแล้วไม่มีการชำระหนี้ด้วยเงินตราจะกลายเป็นพ้นวิสัยไปได้
ประการที่สาม หนี้เงินนั้นมีดอกเบี้ยได้
ประการที่สี่ เงินตรานั้นไม่มีความแตกต่างกันในตัวเงินตรา
1. กรณีหนี้เงินได้แสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศ
มาตรา 196 ให้สิทธิแก่ลูกหนี้ที่ชำระหนี้เป็นเงินต่างประเทศตามที่แสดงไว้ก็ได้หรือจะใช้เป็นเงินไทยก็ได้ เช่น ลูกหนี้ซื้อสินค้าที่แสดงราคาเป็นเงินเหรียญสหรัฐ ลูกหนี้จะชำระเป็นเงินเหรียญสหรัฐหรือจะชำระเป็นเงินไทยก็ได้ โดยอัตราการแชกเปลี่ยนเงินนี้ ต้องคิดตามอัตราที่ธนาคารขาย ณ สถานที่และเวลาใช้เงิน
2. กรณีเงินตราที่จะพึงส่งใช้เป็นอันยกเลิกไม่ใช้แล้ว
เงินตราชนิดต่าง ๆ นั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลง บางชนิดอาจยกเลิก กฎหมายจึงได้กำหนดทางแก้ไว้ในมาตรา 197 บทบัญญัตินี้เป็นบทบัญญัติที่บังคับแก่ทั้งสองฝ่ายคือ ทั้งฝ่ายลูกหนี้ และฝ่ายเจ้าหนี้ เช่น กู้เงินมาเป็นเงินมาร์คเยอรมัน แต่เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้เงินมาร์คเยอรมันไม่ใช้แล้วเพราะเปลี่ยนมาใช้เงินยูโรร่วมกันกับภูมิภาคในยุโรปแล้ว ดังนี้ ลูกหนี้ก็จะชำระด้วยเงินมาร์คอีกไม่ได้ เจ้าหนี้ก็จะเรียกให้ชำระด้วยเงินมาร์คไม่ได้ด้วยเช่นกัน มิใช่ให้สิทธิ์เฉพาะแก่ลูกหนี้เท่านั้น
4) กรณีวัตถุแห่งหนี้ซึ่งเลือกชำระได้
หนี้ที่เกิดจากมูลแห่งหนี้ต่าง ๆ ก็อาจมีหนี้ที่มีวัตถุแห่งหนี้เป็นอย่างเดียวที่เรียกว่า หนี้เดี่ยว (Simple Obligation) เช่น กูยืมเงินกันไปก็มีหนี้ที่ต้องชำระเงินกู้คืน แต่บางกรณี ก็อาจมีหนี้หลายอย่างที่เรียกว่า หนี้ผสม (Composite Obligation) อาจเป็นหนี้ที่มีวัตถุหลายอย่างแต่ลูกหนี้ต้องทำทุกอย่าง หรืออาจเป็นหนี้ที่เลือกชำระได้ คือ หนี้ที่มีวัตถุหลายอย่างแต่ไม่ต้องทำทุกอย่าง
(1) สิทธิในการเลือก
การเลือกชำระหนี้นั้นกฎหมายได้กำหนดไว้ในมาตรา 198 และมาตรา 201 ซึ่งแยกออกได้เป็น 4 กรณี
ก) ถ้ากำหนดไว้ให้ผู้ใดเป็นผู้เลือก
อาจเป็นได้ทั้ง เจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอก สิทธิในการเลือกก็ต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ (มาตรา 198, 201)
ข) ถ้าไม่ได้กำหนดไว้ว่าใครจะเป็นผู้เลือก
สิทธิการเลือกชำระหนี้ตกอยู่แก่ลูกหนี้ (มาตรา 198)
ค) ถ้ากำหนดให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เลือก และผู้นั้นไม่อาจเลือกได้
เช่น ป่วยหนัก หรือไม่เต็มใจจะเลือก สิทธิการเลือกชำระหนี้ตกอยู่แก่ลูกหนี้
ง) ถ้ากำหนดให้ฝ่ายลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายเลือก และฝ่ายที่มีสิทธินั้นไม่เลือกภายในเวลาที่กำหนด
สิทธิในการเลือกย่อมตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง
(2) วิธีการเลือก
กฎหมายได้กำหนดวิธีการเลือกไว้ โดยแยกเป็น 2 กรณี
ก. กรณีฝ่ายลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นผู้มีสิทธิเลือก
มาตรา 199 วรรคแรก กำหนดให้การแสดงเจตนาจะแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้ทั้งสิ้น
ข. กรณีบุคคลภายนอกเป็นผู้มีสิทธิเลือก
กรณีนี้เป็นเรื่องที่ผู้มีสิทธิเลือกเป็นบุคคลภายนอก ไม่ใช่ทั้งฝ่ายลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้ปฏิบัติได้ถูกต้องตามเจตนาของผู้เลือก มาตรา 201 วรรคแรก จึงกำหนดให้กระทำด้วยแสดงเจตนาแก่ลูกหนี้และการชำระหนี้นั้นลูกหนี้ก็ต้องชำระแก่เจ้าหนี้ ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดให้ลูกหนี้ต้องแจ้งความนั้นแก่เจ้าหนี้
(3) ระยะเวลาในการเลือก
ระยะเวลาในการเลือกนั้น มาตรา 200 ได้แยกออกเป็น 2 กรณี
ก. มีกำหนดระยะเวลาให้เลือก
ซึ่งอาจกำหนดไว้โดยนิติกรรมที่ก่อหนี้นั้น เช่นนี้ ฝ่ายที่มีสิทธิ์จะเลือกก็ต้องเลือกภายในเวลาที่กำหนดนั้น ถ้าไม่เลือกในเวลาที่กำหนด สิทธิ์การเลือกก็จะตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง
ข. กรณีมิได้กำหนดเวลาให้เลือก
กฎหมายกำหนดว่าเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิจะเลือกอาจกำหนดเวลาพอสมควรแก่เหตุ แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายโน้นใช้สิทธิเลือกภายในเวลาอันนั้น คือให้ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิ์จะเลือกเป็นผู้กำหนดเวลาโดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นกรณีที่หนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และระยะเวลาที่กำหนดนั้นต้องพอสมควรแก่เหตุ
(4) ผลของการเลือก
การจะเกิดผลของการเลือกต้องหมายถึงว่าการเลือกนั้นมีผลแล้วตามหลักการแสดงเจตนาในมาตรา 168 และมาตรา 169 เมื่อการแสดงเจตนามีผลแล้วจึงจะถือว่าการเลือกนั้นมีผลบังคับแล้ว
ในมาตรา 199 วรรคสอง กำหนดให้การเลือกนี้มีผลย้อนหลังไปถึงการเกิดหนี้ครั้งแรก และถือว่าหนี้นั้นอย่างเดียวเป็นกำหนดให้กระทำมาแต่แรก
(5) กรณีการชำระหนี้บางอย่างเป็นพ้นวิสัย
ในระหว่างที่มีหนี้เกิดขึ้น และหนี้นั้นมีการอันพึงต้องทำเพื่อชำระหนี้มีหลายอย่าง และอย่างใดอย่างหนึ่งตกเป็นอันพ้นวิสัย มาตรา 202 ได้แยกพิจารณากรณีที่การชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นผลวิสัยไว้ 2 กรณี
1) กรณีตกเป็นอันพ้นวิสัยจะทำได้มาแต่ต้น
คือ การชำระหนี้บางอย่างพ้นวิสัยมาก่อนทำนิติกรรมแล้ว เช่นนี้ การชำระหนี้ส่วนนั้น แม้จะมีการตกลงกันก็ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 ดังนั้น จึงจำกัดหนี้ไว้เพียงการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัยเท่านั้น เช่น ต้อยมีลูกสุนัขอยู่สามตัว มีตัวสีดำ สีขาว และอีกตัวหนึ่งด่าง แดงมาขอซื้อสุนัขจากต้อย และต้อยตกลงขายให้ โดยให้แดงเลือกเอาตัวใดก็ได้ในสามตัว ปรากฏว่าขณะที่ตกลงซื้อขายกัน ลูกสุนัขตัวสีขาวได้ตายเสียก่อนแล้ว เช่นนี้ สัญญาส่วนที่ตกลงมาถึงลูกสุนัขสีขาวจึงตกเป็นโมฆะ แดงก็จะเลือกได้เพียงตัวสีดำ และตัวด่างเท่านั้น
2) กรณีการอันพึงต้องทำเพื่อชำระหนี้บางอย่างกลายมาเป็นพ้นวิสัยในภายหลัง
หมายถึง หลังจากที่ก่อหนี้แล้ว การชำระหนี้บางอย่างมากลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลัง แต่ต้องก่อนที่ผู้มีสิทธิเลือกจะใช้สิทธิ โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี
ก. กรณีที่การชำระหนี้บางอย่างเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิจะเลือกไม่ต้องรับผิดชอบ
ในกรณีนี้จำกัดหนี้ไว้เพียงอย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัยเท่านั้น เช่น แดงตกลงซื้อลูกสุนัขจากต้อยที่มีอยู่ 3 ตัว คือ สีดำ สีขาว และสีด่าง โดยตกลงให้แดงเลือกตัวใดก็ได้ ปรากฏว่าก่อนที่แดงจะเลือกตัวใด ลูกสุนัขสีขาวตาย เช่นนี้ การชำระหนี้จึงจำกัดไว้เฉพาะลูกสุนัขอีก 2 ตัวเท่านั้น
ข. กรณีที่การชำระหนี้บางอย่างกลายเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิจะเลือกต้องรับผิดชอบ
ในกรณีนี้ ฝ่ายที่มีสิทธิเลือกจะไม่ถูกจำกัดให้ต้องเลือกส่วนที่เป็นวิสัยเท่านั้น และถ้าเลือกส่วนที่เป็นพ้นวิสัย ก็ต้องบังคับตามมาตรา 218 คือลูกหนี้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เช่น จากตัวอย่างในข้อ ก. ถ้าลูกสุนัขสีขาวตายเพราะต้อยผสมอาหารที่มียาฆ่าแมลงปนลงไปให้ลูกสุนัข ทำให้เหลือเพียงสีดำ กับสีด่าง เช่นนี้ แดงยังมีสิทธิที่จะเลือกตัวใดก็ได้ใน 3 ตัวนั้น ถ้าแดงเลือกตัวสีขาวที่ตายไป ต้อยก็ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 218
1.2 กำหนดเวลาชำระหนี้
กำหนดเวลาชำระหนี้เป็นสิ่งสำคัญในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เพราะหากลูกหนี้ไม่รู้กำหนดเวลาชำระหนี้ของตนแล้ว ก็ไม่อาจชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงของมูลหนี้ได้ เวลาก็เป็นสาระสำคัญในความประสงค์ของหนี้นั้น หากลูกหนี้ชำระผิดไปจากเวลาชำระหนี้ ก็อาจทำให้ลูกหนี้กลายเป็นผู้ผิดนัด ในด้านของเจ้าหนี้ก็ถือเป็นสาระสำคัญเพราะการจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้นั้น หนี้ต้องถึงกำหนดชำระ ถ้าหนี้ยังไม่ถึงกำหนดเจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิ์จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ การกำหนดเวลาชำระหนี้นั้นแบ่งได้เป็น 2 กรณี
1) หนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้
กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ในมาตรา 203 วรรคแรก จจะเห็นได้ว่า หนี้ที่จะถือว่าไม่ได้กำหนดเวลาชำระต้องหมายถึงหนี้นั้นไม่ได้กำหนดเวลาชำระไว้โดยชัดแจ้ง และอนุมานจากพฤติการณ์ไม่ได้ เช่น ไปซื้อของจากงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ดังนี้ ถ้าไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ และอนุมานจากพฤติการณ์ไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้และจะต้องบังคับตามมาตรา 203 นี้ แต่ถ้าหากสามารถอนุมานจากพฤติการณ์ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นหนี้มีกำหนดเวลาชำระเช่นกันและจะบังคับตามนี้ไม่ได้ เช่น ยืมที่รถน้ำสังข์เพื่อไปใช้ในวันแต่งงานโดยไม่ได้ตกลงกันว่าจะคืนเมื่อไหร่ แต่ก็อนุมานจากพฤติการณ์ได้ว่าเมื่อเป็นการยืมไปใช้ในวันแต่งงาน ก็ต้องชำระเมื่อหลังจากแต่งงานเสร็จแล้ว จึงต้องถือว่าเป็นหนี้ที่มีกำหนดชำระ
การอนุมานจากพฤติการณ์ว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้มีการตกลงชำระกัน ตกลงชำระกันเมื่อใดนี้จะต้องดูประกอบกันหลายอย่าง เช่น วัตถุประสงค์ของการทำสัญญาเหตุการณ์ที่ทำให้มีการทำสัญญากับประเพณีทางการค้าหรือการปฏิบัติระหว่างคู่กรณีและอื่น ๆ ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป
2) หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระ
หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้นี้ อาจเป็นหนี้ที่กำหนดเวลาชำระไว้โดยชัดแจ้ง เช่น กำหนดตามวันแห่งปฏิทิน หรือกำหนดตามข้อเท็จจริง เช่น ยืมเสื้อครุยเพื่อไปรับปริญญาจะส่งคืนเมื่อรับปริญญาเสร็จ ก็ถือเป็นการกำหนดโดยชัดแจ้งคือมีการตกลงกันระหว่างคู่กรณีที่ก่อหนี้ขึ้นก็ได้ นอกจากนี้อาจมีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่เป็นที่สงสัย เช่น ยืมพานรดน้ำเพื่อใช้ในวันแต่งงาน แต่งานแต่งงานซึ่งมีกำหนดไว้เดิมต้องเลื่อนออกไป ดังนั้น การที่จะถึงกำหนดเวลาชำระหนี้จึงแยกพิจารณาเป็น 2 กรณี คือ เวลาชำระหนี้ไว้แต่เป็นที่สงสัย กับกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้กรณีที่ไม่สงสัย
(1) กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่เป็นที่สงสัย
ในมาตรา 203 วรรคสอง วางหลักว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นไม่ได้ ศาสตราจารย์ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เห็นว่า กรณีเป็นที่สงสัยนั้น ไม่ได้หมายความว่าสงสัยในกำหนดเวลาชำระหนี้ แต่คือ เจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นได้หรือไม่ ในอุทาหรณ์ของกรมร่างกฎหมายให้ตัวอย่างไว้ว่า ก. ให้ ข. ยืมขันเงินไปใช้ในงานมงคลสมรสของบุตรสาว เผอิญการสมรสต้องเลื่อนไป 1 เดือน ก. ไม่อาจเรียกร้องขันเงินคืนก่อนเสร็จการสมรส เว้นแต่ ก. จะพิสูจน์ได้ว่า ข. มิได้มีเจตนาเอาขันไว้เกินกว่า 15 วัน แต่ ข. อาจคืนขันก่อนทำการสมรสได้ เห็นได้ว่า กำหนดเวลาชำระหนี้นั้น มีกำหนดเวลาเป็น 2 กำหนด คือ ตามกำหนดเดิม และตามกำหนดใหม่ ซึ่งต้องสันนิษฐานว่าลูกหนี้จะชำระในกำหนดเวลาที่ถึงก่อนก็ได้ และเจ้าหนี้จะปฏิเสธไม่รับชำระไม่ได้ แต่เจ้าหนี้จะเรียกก่อนถึงกำหนดเวลาหลังไม่ได้
(2) กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ไม่เป็นที่สงสัย
กำหนดเวลาที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ตกลงกำหนดไว้ โดยไม่เป็นที่สงสัย แบ่งออกได้เป็น 2 อย่าง
1. กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน
เป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้โดยแจ้งตามวันแห่งปฏิทิน ตามมาตรา 204 วรรคสอง ว่า “ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน…” เช่น กำหนดเวลาชำระหนี้ในวันที่ 10 สิงหาคม กำหนดชำระหนี้ในวันสงกรานต์ เป็นต้น
2. กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน
ในมาตรา 204 วรรคแรก ว่า “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว” เช่น ยืมเงินไปและกำหนดว่าจะใช้คืนเมื่อขายข้าวได้แล้ว หรือยืมเรือไปใช้กำหนดจะส่งคืนเมื่อสิ้นฤดูน้ำ
1.3 การผิดนัดไม่ชำระหนี้
กฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขเอาไว้อย่างชัดเจนว่ากรณีเช่นใดจึงจะผิดนัดตามกฎหมาย ในส่วนนี้จะกล่าวถึงการผิดนัด ข้อยกเว้นที่ทำให้ไม่ผิดนัด และผลของการผิดนัด
1) การผิดนัด
การผิดนัดเป็นผลในทางกฎหมายที่มีความสำคัญต่อเจ้าหนี้และลูกหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีความรับผิดบางอย่างเพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดสิทธิบางอย่างแก่เจ้าหนี้เช่นกัน การผิดนัดมีกฎหมายกำหนดไว้ในลักษณะต่าง ๆ กัน แยกพิจารณาได้เป็น 2 กรณี
(1) ลูกหนี้ผิดนัดโดยต้องเตือนก่อน
การที่ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้นั้น ในบางกรณี กฎหมายยังไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด เพราะในหนี้บางประเภทนั้น กฎหมายกำหนดให้เจ้าหนี้ต้องเตือนลูกหนี้ก่อน ลูกหนี้จึงจะผิดนัด หนี้ประเภทที่เจ้าหนี้ต้องเตือนก่อน ลูกหนี้จึงจะผิดนัดมีอยู่ 2 กรณี
1. หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระมิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน
ในมาตรา 204 วรรคแรก หนี้ประเภทนี้เป็นหนี้ที่ไม่อาจกำหนดวันที่แน่นอนได้ เช่น กำหนดชำระหนี้เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ เมื่อสิ้นฤดูน้ำหลาก ดังนั้น กฎหมายจึงได้กำหนดให้เจ้าหนี้ต้องเตือนลูกหนี้ก่อน เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระตามที่เจ้าหนี้เตือน ลูกหนี้จึงจะผิดนัด และต้องเป็นการเตือนเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วเท่านั้น หากยังไม่ถึงกำหนดชำระ แม้ลูกหนี้ไม่ชำระ ลูกหนี้ก็ยังไม่ผิดนัด เช่น ยืมกระบือไปไถนาโดยตกลงว่า เมื่อไถนาเสร็จจะส่งคืน ปรากฏว่าในระหว่างที่ไถนาไปได้เพียงบางส่วน ผู้ให้ยืมมาทวงกระบือคืน ทั้ง ๆ ที่ไถนายังไม่เสร็จ แม้ผู้ยืมจะไม่ยอมส่งคืน ก็ไม่ถือว่าผิดนัด เพราะหนี้ยังไม่ถึงกำหนด
2. หนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระตามมาตรา 203
เป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ และไม่อาจอนุมานได้ มาตรา 203 กำหนดให้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และลูกหนี้ก็มีสิทธิจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน กฎหมายให้ถือเอาว่าหนี้ประเภทนี้ถึงกำหนดทันทีตั้งแต่ก่อหนี้ และสิทธิเรียกร้องก็จะเริ่มนับทันทีที่ได้ก่อหนี้ หากเจ้าหนี้ยังไม่เรียกให้ลูกหนี้ชำระ ลูกหนี้ก็ยังไม่มีหน้าที่ต้องชำระ
(2) ลูกหนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือน
หนี้บางประเภทที่ลูกหนี้จะผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือนนั้น มี 2 ประเภท
1. หนี้ที่กำหนดชำระตามวันแห่งปฏิทิน
ในมาตรา 204 วรรคสอง กำหนดให้หนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องเตือน เช่น กำหนดชำระหนี้ 10 สิงหาคม
2. หนี้ละเมิด
หนี้ละเมิดเกิดขึ้นจากการล่วงสิทธิของผู้อื่น มิใช่นิติกรรมสัญญา จึงไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ ในมาตรา 206 กำหนดให้หนี้ละเมิดนั้น ลูกหนี้ถือว่าผิดนัดตั้งแต่ที่ทำละเมิด โดยไม่ต้องเตือนแต่อย่างใด รวมทั้งค่าเสียหายในอนาคตก็ต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิด
(3) กำหนดชำระหนี้ กับการผิดนัด
กำหนดชำระหนี้ และการผิดนัดนั้น มีความเกี่ยวพันกันอย่างมาก การไม่ชำระหนี้เป็นข้อเท็จจริง ส่วนการผิดนัดเป็นข้อกฎหมาย จะเห็นได้ว่า กำหนดเวลาชำระหนี้และการผิดนัดนั้นไม่เหมือนกัน แต่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด
กำหนดเวลาชำระหนี้
เป็นกำหนดที่ลูกหนี้จะต้องชำระหนี้
เป็นกำหนดที่เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ และเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งของการผิดนัด
การผิดนัด
เป็นผลของการไม่ชำระหนี้ตามกำหนด
แม้จะถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ และมีเงื่อนไขอื่นที่อาจทำให้ลูกหนี้ผิดนัด หากการที่ไม่ชำระหนี้นั้น มีเหตุที่ลูกหนี้อ้างได้ว่าไม่ใช่ความผิดของตน ตามมาตรา 204 ถือว่าลูกหนี้ยังไม่ผิดนัด
(4) กรณีที่ไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด
ในมาตรา 205 ได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้นไม่ใช่ความผิดของลูกหนี้ ไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด ซึ่งพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนี้ อาจมาจากหลายสาเหตุ
1. เกิดจากเจ้าหนี้เอง
การที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น หากเกิดเพราะเจ้าหนี้จะต้องรับผิด ถือเป็นพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ เช่น กรณีเจ้าหนี้ผิดนัด หรือกรณีที่เจ้าหนี้ต้องรับผิดด้วยเหตุอื่น
2. เกิดจากบุคคลภายนอก
บางครั้งการชำระหนี้ยังไม่ได้กระทำลงนั้นเพราะเป็นเหตุเกิดจากบุคคลภายนอกซึ่งเป็นเรื่องนอกอำนาจของลูกหนี้ที่จะป้องกันได้ เช่น ตกลงกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โดยลูกหนี้จะรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่จะซื้อขายและไปโอนให้แก่ผู้ซื้อ ปรากฏว่า ลูกหนี้ได้พยายามดำเนินการเพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามสัญญาเต็มความสามารถแล้ว แต่รังวัดแบ่งแยกไม่เสร็จเพราะเจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจดำเนินการได้ทัน ถือว่าลูกหนี้ไม่ผิดนัด
3. เกิดจากภัยธรรมชาติ
การที่ลูกหนี้ไม่อาจชำระหนี้ได้ทันตามกำหนดอาจเกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งลูกหนี้ไม่อาจป้องกันได้ เช่น รังวัดแบ่งแยกให้ไม่ทัน เพราะน้ำท่วมรังวัดไม่ได้ จึงไม่สามารถโอนที่ดินได้ตามกำหนด ถือว่าลูกหนี้ไม่ผิดนัด หรืออาจเป็นโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ แต่ต้องร้ายแรงถึงขนาดเป็นเหตุให้ไม่อาจชำระหนี้ได้ตามกำหนดด้วย
2) ผลของการผิดนัดของลูกหนี้
เมื่อถึงกำหนดชำระ และลูกหนี้มีหน้าที่ชำระตามมาตรา 203 และมาตรา 204 ไม่อาจอ้างเหตุผลยกเว้นความรับผิดตามมาตรา 205 ได้ หรือเป็นเหตุละเมิด ลูกหนี้ก็ต้องผิดนัดตามมาตรา 206 โดยผลของการผิดนัดที่สำคัญมีหลาย 3 ประการ
(1) ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแต่การผิดนัด
มาตรา 215 วางหลักให้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนอันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์แห่งมูลหนี้ทุกอย่าง รวมถึงความเสียหายที่เจ้าหนี้ได้รับเนื่องจากการชำระหนี้ล่าช้าด้วย เช่น ทำสัญญารับจ้างสร้างบ้าน โดยตกลงว่าจะสร้างเสร็จใน 6 เดือน แต่สร้างไม่เสร็จล่าช้าไป ทำให้ผู้ว่าจ้างต้องเสียค่าเช่าบ้านในระหว่างนั้น
ขอสังเกตค่าสินไหมทดแทน
มีข้อควรสังเกต 2 ประการ คือ
ประการแรก เป็นค่าสินไหมทดแทนที่เกิดจากการผิดนัดโดยตรง
ประการที่สอง เป็นความรับผิดที่เพิ่มขึ้นมาจากการชำระหนี้ปกติที่แม้เมื่อผิดนัดลูกหนี้ก็ยังต้องรับผิดชำระหนี้
(2) เจ้าหนี้อาจไม่รับชำระหนี้
การชำระหนี้บางอย่างกำหนดเวลาชำระหนี้ก็เป็นสาระสำคัญ หากเลยกำหนดเวลานั้นไป การชำระหนี้ก็ตกเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เช่น ตกลงจ้างชุดเจ้าสาวเพื่อใช้ในวันเลี้ยงฉลองสมรส แต่มาส่งมอบให้หลังจากวันเลี้ยงฉลองสมรสเลยผ่านไปแล้ว ก็ไม่เกิดประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ดังนั้น กฎหมายมาตรา 216 จึงกำหนดให้สิทธิเจ้าหนี้ในการปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ในกรณีผิดนัดได้
ผลของหนี้ที่กำหนดเวลาชำระเป็นสาระสำคัญ
เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ไม่ว่าจะเป็นสาระสำคัญมาแต่ต้นหรือเจ้าหนี้มาบอกกล่าวให้เป็นสาระสำคัญ เจ้าหนี้ก็มีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้และเรียกค่าสินไหมทดแทนแทนการชำระหนี้ได้ แต่เจ้าหนี้ไม่บอกปัดและให้ลูกหนี้ชำระหนี้เพียงแต่เรียกค่าสินไหมทดแทนก็ได้
(3) ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดระหว่างผิดนัดเพิ่มขึ้น
ความรับผิดของลูกหนี้ในกรณีนี้ มิใช่เป็นความเสียหายที่เกิดจากการผิดนัด แต่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดด้วยเหตุอื่น ไม่ว่าจะด้วยความประมาทเลินเล่อของลูกหนี้อย่างหนึ่ง หรือเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดอีกอย่างหนึ่ง
ความเสียหายที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อ
ความรับผิดตามมาตรา 218 วรรคแรก บัญญัติเฉพาะความรับผิดที่เพิ่มขึ้น เมื่อลูกหนี้ผิดนัด แต่ถ้าความรับผิดนั้น แม้ไม่ผิดก็ต้องรับผิด เช่น จงใจทำให้เกิดความเสียหาย ก็รับผิดตามปกติ ไม่ใช่ไม่ต้องรับผิด เพราะไม่มีบัญญัติในมาตรานี้
การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลาผิดนัด
อุบัติเหตุเป็นเหตุที่เกิดโดยบังเอิญ ไม่ใช่การกระทำที่จงใจหรือความประมาทเลินเล่อของใคร ดังนั้นความรับผิดของลูกหนี้ในกรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างผิดนัดนั้น ลูกหนี้จัต้องรับผิดเฉพาะเมื่อการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเกิดจากต้นเหตุมาจากการกระทำของคน
ความแตกต่างของการโอนกรรมสิทธิ์ การโอนทรัพย์สิน และการส่งมอบทรัพย์สิน
วิธีการส่งมอบทรัพย์
ความแตกต่างระหว่างวัตถุที่ประสงค์แห่งนิติกรรม กับวัตถุแห่งหนี้
หลักเกณฑ์ในการเลือกชำระหนี้ มาตรา 198-202