Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิธีการบริหารและควบคุมความเสี่ยง - Coggle Diagram
วิธีการบริหารและควบคุมความเสี่ยง
ผมมีกฎพื้นฐานอยู่ 2 ข้อในการเอาชนะเวลาเทรดและการต่อสู่ชีวิต นั่นก็คือ(1) ถ้าไม่ท้าพนัน คุณก็ไม่ชนะ (2) ถ้าสูญเงิน คุณก็พนันไม่ได้- แลรี ไฮท์
ความเสี่ยงคือ ความเป็นไปได้ของการสูญเสียเวลามีหุ้นอยู่ในมือ ราคาหุ้นมีโอกาสลง ตราบใดที่คุณลงทุนในตลาดหุ้น ก็ย่อมมีความเสี่ยง เป้าหมายการเทรดหุ้นคือ ทำเงินอยู่เสมอและเข้าเทรดช่วงที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากกว่าความเสี่ยง
ในตลาดหุ้น เป้าหมายของทุกคนคือทำเงิน หากจะเอาชนะในสถานการณ์ที่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คุณต้องทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ฝืนใจทำทั้งที่รู้หรือทำไม่ได้แต่ไม่รู้หากคุณทำได้สำเร็จแล้วลองมองย้อนกลับไป ความแตกต่างระหว่างคุณและคนอื่นๆ ก็คือการมีวินัยนั่นเอง
เทรดให้ดีเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่เทรดแย่ๆเป็นเรื่องตื่นเต้นจนน่าขนหัวลุกได้ คุณอาจเป็นนักเทรดรวยทรัพย์ผู้น่าเบื่อหรือนักพนันผู้ชอบความตื่นเต้นก็ได้ คุณเลือกเองทั้งสิ้น
การวางแผนรองรับ
เป้าหมายของคุณไม่ใช่หนีความเสี่ยง แต่เป็นการบริหารความเสี่ยง นั่นคือการลดความเสี่ยง ควบคุมความสูญเสียและรักษาความเป็นไปได้ให้อยู่ในระดับสูง
หนทางนำไปสู่ความสำเร็จในตลาดหุ้นคือแผนสำรองและหมั่นคอยปรับปรุงแผนให้ทันสมัยอยู่เสมอเมื่อคุณได้เรียนรูู้และเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆ เป้าหมายของคุณควรเป็นการเทรดที่ไม่มีอะไรซับซ้อนและไม่มีเรื่องน่าแปลกใจการคิดล่วงหน้าเป็นสุดยอดการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
ก่อนเปิดตลาดแต่ละวัน จงทบทวนให้ขึ้นใจว่าจะจัดการหุ้นแต่ละตัวอย่างไรถ้ามีอะไรเกิดขึ้นวันนั้นพอตลาดเปิดเทรดก็จะไม่มีเรื่องน่าตกใจ เพราะคุณรู้แล้วว่าคุณจะตอบสนองอย่างไร
แผนสำรองขั้นพื้นฐานไว้เทรดหุ้นอยู่ 4 แผน
1.จุดตัดขาดทุนตอนต้น
กำหนดจุดตัดขาดทุนสูงสุดไว้ล่วงหน้าก่อนซื้อหุ้น เป็นราคาที่ผมจะทิ้งหุ้นถ้าหุ้นวิ่งสวนทางจุดตัดขาดทุนตอนต้นสำคัญที่สุดในขั้นตอนแรกๆ ควรปรับจุดขายสูงขึ้นทันทีที่หุ้นวิ่งเพื่อป้องกันผลกำไร และใช้จุดตัดตามหลังหรือจุดตัดสนับสนุน
2.จุดกลับเข้ามาใหม่
หุ้นบางตัวเตรียมสร้างฐานเชิงสร้างสรรค์ และอาจวิ่งขึ้นจากฐานที่มีอนาคตสดใสและดึงดูดผู้ซื้อได้ แต่กลับมีการปรับฐานอย่างรวดเร็วหรือถอยลงแรงแนวโน้มแบบนี้เกิดขึ้นได้เมื่อตลาดกำลังประสบกับความอ่อนแอและความผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม หุ้นพื้นฐานดีสร้างฐานใหม่ไดหลังปรับฐานหรือถอยลง มีการสร้างฐานใหม่หรือฟอร์มตัวให้เหมาะสมถ้าหากเห็นความแข็งแกร่งก็เป็นสัญญาณน่าพอใจ การฟอร์มตัวครั้งที่สองมักแข็งแรงกว่าครั้งแรกถ้าหุ้นฝ่าด่านขึ้นจากฐานที่สองได้พร้อมปริมาณซื้อขายสูงหุ้นก็สามารถทะยานขึ้นได้จริง
ถ้าหุ้นทำให้คุณกระโจนออก อย่ารีบด่วนขีดฆ่าหุ้นนั้นออกจากรายการหุ้นตัวเต็งน่าซื้อถ้าหากหุ้นยังมีคุณลักษณะของหุ้นชนะตลาดอยู่ครบถ้วนลองหาจุดเข้าใหม่อีกครั้งการจะคว้าหุ้นชนะตลาดได้สักตัวอาจต้องลองพยายามสัก 2 หรือ 3 ครั้งพวกมือสมัครเล่นอาจเข็ดขยาดเมื่อต้องออกจากตลาดไปสักครั้งหรือสองครั้ง หรือเมื่อสู้จนเหนื่อยแค่ครั้งเดียว แต่มืออาชีพมีเป้าหมายและไม่หวั่นไหวมองการเทรดที่ฟอร์มตัวขึ้นแต่ละครั้งเหมือนความเสี่ยงครั้งใหมหรือโอกาสรอบใหมการซื้อขายบางรอบที่ทำกำไรไดดีที่สุดของผมมาจากหุ้นที่เคยทำให้ผมกระโจนออกจากตลาดไปหลายครั้งแล้วมาตั้งต้นใหม
ขายตอนกำไร
ในทันทีที่หุ้นสะสมกำไรสูงกว่าจุดตัดขาดทุนหลายเปอร์เซ็นต์ คุณไม่ควรปล่อยให้จุดนั้นนำไปสู่การขาดทุนคุณอาจปรับจุดตัดขาดทุนขึ้นมาอยู่ที่จุดเท่าทุน หรือลากจุดตัดขาดทุนให้สูงขึ้นมา เพื่อล็อกกำไรส่วนใหญ่ไว
ขายตอนราคาปรับขึ้นเป็นวิธีของนักเทรดมืออาชีพ เป็นเรื่องสำคัญถ้าสังเกตเห็นได้ว่าหุ้นกำลังวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและอาจกำลังพักเหนื่อยคุณขายหุ้นออกมาได้ง่ายๆ ตอนมีคนซื้อเต็มไปหมด
หรืออาจขายเมื่อเห็นสัญญาณอ่อนแอครั้งแรกทันทีหลังหุ้นเริ่มหักลง
4.แผนป้องกันความหายนะ
คุณมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไรถ้าตื่นขึ้นและรู้ว่าหุ้นที่ซื้อเมื่อวานเปิดดิ่งลง เพราะคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เข้าตรวจสอบบริษัท แต่ผู้บริหารฉ้อโกงเงินและหนีออกนอกประเทศไปแล้ว? คุณจะทำอย่างไร?แผนสำรองสำคัญ เพราะทำให้คุณตัดสินใจได้ดีเวลาตกที่นั่งลำบากและต้องการแผนดีๆ อย่างที่สุด
ขาดทุนเป็นหน้าที่ของกำไรคาดหวัง
การเก็งกำไรไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้น คนคนนั้นต้องแม่นหลักพื้นฐาน เพื่อคาดการณ์ได้ถูกต้อง -เจสซี ลิเวอร์มอร์
30 ปีที่เทรดหุ้นมาเป็นหมื่นๆ ตัว ผมเทรดชนะเพียง 50%ผมทำพลาดบ่อยพอๆกับที่ทำถูก แต่ยังทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ก็เป็นเพราะผมทำตามกฎเหล็กที่สำคัญมาก นั่นคือ ให้ระดับความเสี่ยงอยู่ต่ำกว่ากำไรถัวเฉลี่ยเสมอ
จุดไหนควรตัดขาดทุน?
เกณฑ์ทั่วไปอาจตัดขาดทุนที่ระดับครึ่งหนึ่งของกำไรถัวเฉลี่ย
ี่วอร์เรน บัฟเฟตต์กล่าวไว้ว่า “เอาค่าความเป็นไปได้ของการขาดทุนคูณกับจำนวนเงินขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น และเอาค่าความเป็นไปได้ของกำไรคูณกับจำนวนเงินกำไรที่อาจเกิดขึ้น แล้วเอาผลคูณของขาดทุนที่คำนวณได้หักออกจากผลคูณของกำไร...ไม่สมบูรณ์แบบหรอก แต่เรื่องทั้งหมดก็แค่นี้แหละ”
หลีกเลี่ยงบาปร้ายแรงของนักเทรด
หากปล่อยให้เทรดขาดทุนเกินกว่ากำไรถัวเฉลี่ย ถือเป็นบาปร้ายแรงของนักเทรด
สร้างความล้มเหลว
ระบบที่อิงการเทรดและเน้นกำไรเปอร์เซ็นต์สูงไม่เคยทำให้ผมประทับใจเลย
ปัญหาของการเทรดที่เน้นกำไรเปอร์เซ็นต์สูงก็คือปรับเปลี่ยนอะไรไม่ได้ เพราะคุณไม่สามารถควบคุมจำนวนครั้งที่ชนะและแพ้ สิ่งที่คุณควบคุมได้คือการตัดขาดทุนคุณกำหนดช่วงตัดขาดทุนให้แคบลงได้ ถ้ากำไรหดลงในช่วงตลาดแย่
พิจารณาความเสี่ยงล่วงหน้า
เวลาที่หัวสมองปลอดโปร่งสุดว่าจะออกจากหุ้นตอนไหนคือ ช่วงก่อนเข้าหากคุณจะซื้อหุ้น ควรกำหนดราคาขายตัดขาดทุนให้เรียบร้อย
การไม่กำหนดและไม่ทำตามระดับความเสี่ยงที่กำหนดไว้ก่อนแล้วเป็นสาเหตุที่ทำใหนักเทรดและนักลงทุนเสียเงินมากกว่าความผิดพลาดอื่นๆ ทั้งหมด
ยึดมั่นในจุดตัดขาย
ผมเทรดได้กำไรเพิ่มจากระดับธรรมดาขึ้นไปจนถึงระดับโดดเด่นทันทีที่ผมตัดสินใจตั้งกฎและสาบานว่าจะไม่ยอมให้การขาดทุนบานปลายผมแนะนำให้คุณตั้งกฎแบบเดียวกันนี้เสียตั้งแต่ตอนนี้
รับมือเมื่อหลุดจุดตัดขาดทุน
ถ้าหุ้นดิ่งตำกว่าราคาขายก่อนจะรับมือทันลักษณะนี้เรียกว่าการลื่นหลุด คำแนะนำของผมคืราคาไม่ว่าราคารับซื้อถัดไปจะเป็นอย่างไร
การกระทำที่นำไปสู่หายนะแน่ๆ
ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยถ้าขาดทุนหุ้น แต่การยังถือให้ขาดทุนต่อและปล่อยให้ขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ หรือที่แย่ยิ่งกว่าคือซื้อเพิ่ม เป็นการกระทำของมือสมัครเล่นและทำร้ายตัวเอง
แต่จำไว้ว่า มีแค่คนแพ้เท่านั้นที่ถัวเฉลี่ย
เรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้า
ป้าหมายของผมคือ เทรดแบบไม่ต้องเปลืองแรงถ้าการเทรดทำให้คุณลำบากหรือเครียด คุณสมบัติหุ้นหรือการจับจังหวะอาจมีข้อผิดพลาด หรือคุณอาจเทรดหนักไปจงเทรดอย่างสบายใจ คุณต้องรู้จักอดทนรอคอยให้มีกระแสลมมาช่วยหนุน
จงไต่พีระมิดสูงขึ้นไปเมื่อกำลังเทรดได้ดี และบีบวงให้เล็กลงหากการเทรดกำลังแย่ หากคุณเทรดได้กำไรดีที่สุด ก็จงเทรดให้มากสุด แต่ถ้าเทรดได้แย่มากที่สุดก็จงเทรดให้น้อยที่สุดเข้าไว้ วิธีนี้ช่วยทำเงินก้อนโตได้และช่วยป้องกันตัวคุณเองจากหายนะได
การกระจายความเสี่ยงไม่ช่วยปกป้องคุณ
คุณจะทำผลกำไรโดดเด่นไม่ได้เลยถ้ากระจายการลงทุนมากเกินไปและใช้การกระจายความเสี่ยงเป็นเครื่องป้องกัน
ขาดความสามารถติดตามบริษัทแต่ละบริษัทอย่างใกล้ชิดและรู้ทุกอย่างที่ควรรู้เกี่ยวกับการลงทุน
ขาดความสามารถลดพอร์ตลงทุนอย่างรวดเร็วเมื่อต้องการ
ผลกระทบจากการเกลี่ยความผันผวน ทำให้มั่นใจว่าผลกำไรก็จะเป็นแบบเฉลี่ย ซึ่งก็คือไม่โดดเด่นนั่นเอง