Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ (Pregnancy Induced Hypertension: PIH)…
ภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์
(Pregnancy Induced Hypertension: PIH)
การจาแนกประเภทของความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังน้ี (ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่ง ประเทศไทย, 2558)
Preeclampsia
Eclampsia
Chronic hypertension (จากสาเหตุใดก็ตาม)
Chronic hypertension และมีภาวะ superimposed preeclampsia
Gestational hypertension
การวินิจฉัยความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ
Preeclampsia หมายถึง ความดันโลหิต Systolic 140 มิลลิเมตรปรอทหรือมากกว่าหรือ ความดันโลหิต Diastolic 90 มิลลิเมตรปรอทหรือมากกว่า เมื่ออายุครรภ์เกิน 20 สัปดาห์ขึ้นไป ในสตรีที่ เคยมีความดันโลหิตปกติและพบ Proteinuria หรือในกรณีที่ไม่มี Proteinuria แต่ตรวจพบความดันโลหิต สูงในสตรีที่ความดันโลหิตปกติมาก่อน ร่วมกับการตรวจพบ New onset ของกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
1.1 Thrombocytopenia: เกล็ดเลือดต่ากว่า 100,000/ลูกบาศก์มิลลิเมตร
1.2 Renal insufficiency: ค่า serum creatinine มากกว่า 1.1 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของ serum creatinine เดิมในกรณีที่ไม่ได้มีโรคไตอื่น
1.3 Impaired liver function: มีการเพิ่มขึ้นของค่า liver transaminase เป็น 2 เท่าของค่าปกติ 1.4 Pulmonary edema
1.4 Cerebral หรือ Visual symptoms
Eclampsia หมายถึง การชักในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยการชักนั้นไม่ได้เกิด จากสาเหตุอื่น
Chronic hypertension หมายถึง ความดันโลหิตสูงที่ตรวจพบก่อนการตั้งครรภ์หรือให้การ วินิจฉัยก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์หรือความดันโลหิตสูงที่ให้การวินิจฉัยหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์และ ยังคงสูงอยู่หลังคลอดเกิน 12 สัปดาห
Chronic hypertension with superimposed preeclampsia หมายถึง ความดันโลหิตสูง ที่ตรวจพบก่อนการตั้งครรภ์หรือให้การวินิจฉัยก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์หรือความดันโลหิตสูงที่ให้การ วินิจฉัยหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์และยังคงสูงอยู่หลังคลอดเกิน 12 สัปดาห์ ร่วมกับภาวะPreeclampsia
Gestational hypertension หมายถึง ความดันโลหิต systolic 140 มิลลิเมตรปรอทหรือ มากกว่า หรือความดันโลหิต Diastolic 90 มิลลิเมตรปรอทหรือมากกว่า เมื่ออายุครรภ์เกิน 20 สัปดาห์ ขึ้นไป ในสตรีที่เคยมีความดันโลหิตปกติและไม่มี Systemic finding ไม่พบ Proteinuria และระดับความ ดันโลหิตกลับสู่ค่าปกติภายใน 12 สัปดาห์หลังคลอด การวินิจฉัยจะทาได้หลังคลอดแล้วเท่านั้น (ราช วิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย, 2558)
การแบ่งระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ
ระดับอ่อน (Mild) ระดับปานกลาง (Moderate) ระดับรุนแรง (Severe)
การประเมินความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษเมื่อให้การวินิจฉัยว่าเป็น Preeclampsia แล้ว ควรประเมินความรุนแรงของโรคว่ามี Severe features ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้หรือไม
1.ความดันโลหิต Systolic 160 มิลลิเมตรปรอทหรือมากกว่า หรือ ความดันโลหิต Diastolic 110 มิลลิเมตรปรอทหรือมากกว่า เมื่อวัด 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เมื่อผู้ป่วยนอนพักแล้ว
Thrombocytopenia: เกล็ดเลือดต่ากว่า 100,000/ลูกบาศก์มิลลิเมตร
Impaired liver function: มีการเพิ่มขึ้นของค่า Liver transaminase เป็น 2 เท่าของค่าปกติ หรือมีอาการปวดบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือใต้ลิ้นปี่อย่างรุนแรง และอาการปวดไม่หายไป (Severe persistence) ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา และไม่ใช่เกิดจากการวินิจฉัยอื่น หรือทั้ง 2 กรณ
Progressive renal insufficiency: ค่า Serum creatinine มากกว่า 1.1 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือ เพิ่มขึ้น เป็น 2 เท่าของ Serum creatinine เดิมโดยไม่ได้มีโรคไตอื่น
Pulmonary edema
6.อาการทางสมองหรือตา ที่เกิดขึ้นใหม่ (New onset) ในรายที่พบลักษณะดังกล่าวข้อใดข้อหนึ่ง ให้การวินิจฉัยว่า มีภาวะ Severe Preeclampsia ซึ่งมีความจาเป็นจะต้องได้รับการประเมินและดูแลอย่าง ใกล้ชิด
ผลกระทบของภาวะความดันโลหิตสูง
ภาวะความดันโลหิตสูง เป็นภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรมในสตรีตั้งครรภ์ที่รุนแรงพบได้บ่อยถึง ร้อยละ 5-10 ของการตั้งครรภ์ เป็น1ใน3 ของสาเหตุการเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ16 ของมารดาทั่วโลก รอง จากการตกเลือดและติดเชื้อ ภาวะความดันโลหิตสูงสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้รับการดูแลที่รวดเร็ว ถูกต้องและเหมาะสม (Cunningham et. al ,2018) โดยแยกออกเป็นผลกระทบที่เกิดต่อสตรีตั้งครรภ์ และต่อทารก ดังน
ผลกระทบของภาวะความดันโลหิตสูงต่อสตรีตั้งครรภ
เพิ่มอัตราการเสียชีวิต เนื่องจากมีภาวะ Shock เลือดออกง่ายหยุดยาก เช่น เลือดออกใน สมอง การมีเลือดออกในตับ การมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น
เกิดอันตรายและภาวะแทรกซ้อนจากการชัก เช่น ภาวะปอดติดเชื้อจากการสาลัก ภาวะ กระดูกหัก เป็นต้น
ภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive heart failure) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังคลอด จากภาวะ Preload ลดลง และ Afterload เพิ่มขึ้น ภาวะนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังรกคลอด ทาให้ หัวใจทางานหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสตรีที่มีภาวะโรคหัวใจอยู่แล้วก่อนการตั้งครรภ์ทาให้โอกาสเกิด ภาวะหัวใจล้มเหลวยิ่งมีสูงขึ้น
ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ Severe Preeclampsia อาจเกิดภาวะ HELLP syndrome (Hemolysis, Elevated liver enzyme and Low platelets) และภาวะ DIC (Disseminating intravascular coagulation) ซึ่งภาวะนี้จะมีเกล็ดเลือดลดลง (Thrombocytopenia) Platelets count น้อยกว่า 100,000 และมีความผิดปกติของค่าการแข็งตัวของเลือด จึงเสี่ยงต่อการเกิดภาวะรกลอกตัวก่อนกาหนด และ ภาวะช็อคจากการตกเลือด
ภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute renal failure) จากการเสียเลือดทาให้มีเลือดไปเลี้ยงไต ลดลง ไตสูญเสียหน้าที่ในการขับของเสียออกจากร่างกาย
การกลับเป็นความดันโลหิตสูงซ้าอีกในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป โดยทั่วไปแล้วความดันโลหิต จะกลับคืนสู่ภาวะปกติภายใน 3-6 วันหลังคลอด บางรายอาจยาวนานถึง 6-8 สัปดาห์หลังคลอด ในสตรี ตั้งครรภ์แรกที่เป็นความดันโลหิตสูงในระยะตั้งครรภ์ มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงในอนาคตได้ (มณี ภรณ์ โสมานุสรณ์, 2556)
ผลกระทบของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ต่อทารก
แท้ง (Spontaneous abortion)
2.คลอดก่อนกาหนด(Preterm labor)เกิดเนื่องจากออกซิเจนไปเลี้ยงรกไม่เพียงพอทาให้รก เสื่อมเร็ว
ทารกเสียชีวิตในครรภ์ (Death Fetus in Utero) เนื่องจากภาวะรกเสื่อมหรือรกลอกตัว ก่อนกาหนด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Intrauterine growth restriction : IUGR)
ทารกที่คลอดมาอาจมีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ขาดออกซิเจนเรื้อรัง ภาวะแทรกซ้อนจากการ
คลอดก่อนกาหนด หรือถ้าทารกที่ได้รับแมกนีเซียมซัลเฟตในระยะคลอดมากเกินอาจเกิดภาวะ Hypermagnesemia ทารกจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า ไม่หายใจ เป็นผลทาให้มีภาวะ Apgar score ต่า (Sivakumar., 2007)
บทบาทพยาบาลในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
การดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง พยาบาลต้องมีแนวทางการพยาบาลที่สอดคล้อง และเหมาะสมกับแนวทางการรักษาของแพทย์ เนื่องจากแนวทางการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะ ตั้งครรภ์ของแพทย์ มีการปรับเปลี่ยนแผนการรักษาตามระดับความรุนแรงของภาวะความดันโลหิตสูง อายุครรภ์ รวมทั้งภาวะสุขภาพโดยรวมของทั้งสตรีตั้งครรภ์และทารก โดยพยาบาลมีบทบาทหลักในการ ดูแล ดังน
บทบาทในการค้นหากลุ่มเสี่ยงและป้องกันการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ
บทบาทในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ์ (Pregnancy Induced Hypertension: PIH) หมายถึง ภาวะ ความดันโลหิตสูงที่เกิดเนื่องจากการตั้งครรภ์ โดยมีระดับค่าความดันโลหิต Systolic สูงมากกว่าหรือเท่ากับ 140mmHgหรือความดันโลหิตDiastolic สูงมากกว่าหรือเท่ากับ90mmHgขึ้นไปจากการวัดอย่าง น้อย 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4 ชั่วโมง ความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ์อาจพบร่วมกับการมีโปรตีนใน ปัสสาวะและ/หรือมีอาการบวมร่วมด้วย มักเกิดภาวะนี้ในระยะครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ โดยทั่วไป หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ (Gestational hypertension) ครรภ์เป็นพิษระยะก่อน ชัก (Preeclampsia) และครรภ์เป็นพิษระยะชัก (Eclampsia) (ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย, 2558)
บทบาทพยาบาลในระยะตั้งครรภ์:
การประเมินสภาพสตรีตั้งครรภ์ในแผนกฝากครรภ์โดยการคัดกรองความเสี่ยง และอาการ
แสดงของโรคเป็นการค้นหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรกหรือเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของอาการ ความดันโลหิตสูง และเพื่อเฝ้าระวังความรุนแรงของโรค ดังน
1.1 การซักประวัติเพื่อค้นหาภาวะเสี่ยง
สตรีตั้งครรภ์ที่มารับการฝากครรภ์ทุกราย พยาบาลต้องมีการประเมินปัจจัยเสี่ยงที่
จะเกิดโรคความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะสตรีที่มีปัจจัยเสี่ยง (Risk factors) ได้แก่
1.1.1 ครรภ์แรก และอายุน้อยกว่า 20 ปี
1.1.2 อายุมากกว่า 35 ปี
1.1.3 ประวัติคนในครอบครัวเคยมีภาวะความดันโลหิตสูง
1.1.4 มีประวัติ Preeclampsia หรือ Eclampsia ในครรภ์ก่อน
1.1.5 มีภาวะอ้วน
1.1.6 มีโรคทางอายุรกรรม เช่น ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคไต หรือ
1.1.7 ครรภ์แฝด
1.1.8 สตรีที่มีโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคไตเรื้อรังอยู่เดิมก่อนการตั้งครรภ์
1.1.9 สตรีที่มีโรคเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์ (Pre-gestational diabetes)
1.1.10 ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ เช่น ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก ทารกบวม
1.1.11 ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดทางพันธุกรรมแบบ Thrombophilia 1.1.12 ความผิดปกติของการไหลเวียนในเส้นเลือดแดงยูเทอรีน (Abnormal uterine
1.2 การตรวจร่างกาย (Physical examination) นอกจากการตรวจครรภ์และประเมินสุขภาพ ทารกในครรภ์ตามปกติแล้วพยาบาลควรมีการเฝ้าระวังสัญญาณอันตรายของภาวะ Eclampsia หรือ Preeclampsia เพิ่มเติม ดังน
1.2.1 การวัดความดันโลหิต ควรวัดความดันโลหิตหลังพักอย่างน้อย 10 นาที เลือกใช้ cuff ที่มีขนาดเหมาะสมสามารถพันต้นแขนได้ประมาณ 80 % ปกติมักให้วัดในท่านั่ง หรือท่านอนศีรษะสูง 30 องศา และให้แขนข้างที่วางอยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ (นันทพร แสนศิริพันธ์, 2560) กรณีพบสตรีตั้งครรภ์ ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง พยาบาลแผนกฝากครรภ์ ควรมีการนัดหมายการฝากครรภ์แบบสตรีตั้งครรภ์ที่มี ความเสี่ยงสูง และควรส่งปรึกษาสูติแพทย์เพราะมีความจาเป็น โดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็น พิษ ที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ เนื่องจากมีรายงานพบว่ามีความสัมพันธ์กับอัตราการตายของมารดา และทารก ดังนั้นการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงควรมีการปรึกษากุมารแพทย์ร่วมด้วย เนื่องจากทารกแรกเกิดต้องได้รับการดูแลหลังคลอดอย่างถูกต้องทันเวลา ดังนั้นพยาบาลควรมีการ ประสานงานเพื่อให้สตรีตั้งครรภ์ได้รับการส่งต่อไปคลอดในโรงพยาบาลที่มีสถานบริการดูแลทารกแรกเกิดที่ เหมาะสมตามตารางดังนี้ (Lowe SA., et al, 2014)
1.2.2 การประเมินอาการบวม โดยประเมินจากการใช้นิ้วกดบริเวณกระดูกหน้าแข้งนาน 10- 30 วินาที ภาวะบวมที่บ่งบอก Pathological edema คือ อาการบวมที่พบบริเวณใบหน้า มือหรือท้อง และอาการบวมมักไม่ยุบลงแม้ว่าจะได้นอนพักแล้ว 12 ชั่วโมง
1.2.3 ประเมินน้าหนักตัว โดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ที่มีน้าหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 กิโลกรัม ใน 1 สัปดาห์ซึ่งสามารถใช้เป็นข้อบ่งชี้ของภาวะ Preeclampsia
1.2.4 ตรวจปฏิกิริยาการตอบสนองระดับลึกของเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อ deep tendon reflex เพื่อเป็นการประเมินระบบประสาทส่วนกลางรวมทั้งช่วยในการประเมินภาวะ Hypermagnesemia ใน สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับยา Magnesium sulfate อีกด้วย (นันทพร แสนศิริพันธ์, 2560)
1.3 การติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินความรุนแรงและการดาเนินของโรคเพื่อ
ใช้ในการวางแผนการพยาบาลโดย American College of Obstetricians and Gynecologists (2013) ได้ให้คาแนะนาในการประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยในการประเมินภาวะความ รุนแรงของโรค
การพยาบาลในระยะตั้งครรภ์
พยาบาลควรวางแผนกิจกรรมการพยาบาลให้สอดคล้องกับแนวทางการรักษาของแพทย์โดยการ ติดตามระดับสัญญาณชีพ โดยเฉพาะระดับความดันโลหิตร่วมกับการประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์โดย การประเมิน อัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ (Fetal Heart sound) เป็นระยะ เป้าหมายหลักในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ Preeclampsia (คมสันต์ สุวรรณฤกษ์, 2554).
มีความรู้ในการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดภาวะชัก
มีความรู้ในการดูแลตนเองเพื่อป้องกันและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น เลือดออกในสมอง น้าท่วมปอด ไตวายเฉียบพลัน รกลอกตัวก่อนกาหนด รวมทั้งทารกเสียชีวิตในครรภ
คลอดทารกที่มีโอกาสรอดชีวิตได้สูงโดยมีภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาต่า (Walfisch , et. Al., 2006)
แนวทางการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ Preeclampsia
ในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง จุดมุ่งหมายเพื่อลดความเสี่ยงทั้งต่อมารดาและ ทารก พยายามประคับประคองให้ทารกครบกาหนด ลดระยะเวลาในการดูแลใน Intensive Care Unit การพิจารณาตัดสินใจให้คลอด แพทย์จะพิจารณาเมื่อความรุนแรงอยู่ในภาวะ Severe Preeclampsia หรือ สุขภาพของมารดาหรือทารกมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลง แพทย์อาจพิจารณาให้ Steroid เพื่อลด โอกาสเกิด Respiratory distress syndrome โดยเฉพาะในรายที่ทารกมีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ แต่หากทารกมีสุขภาพดี ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของโรคไปในทางที่แย่ลง อาจพิจารณาให้คลอดเมื่ออายุครรภ์ ครบ 37 สัปดาห์ขึ้นไป
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินความรู้และให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับภาวะความดันโลหิตสูง ครอบคลุมทั้งการดูแลตนเองเบื้องต้นและการเฝ้าระวังอาการผิดปกติที่ต้องรีบมาโรงพยาบาล
ให้สตรีตั้งครรภ์พักผ่อนอย่างเต็มที่ควรจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมแก่การพัก แนะนาให้พักในท่า นอนตะแคงซ้าย เพื่อช่วยให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกและทารกดีขึ้น ช่วยให้ความดันโลหิตลดลง ปัสสาวะออก มากขึ้น
แนะนาการรับประทานอาหารธรรมดาที่จากัดเกลือ โดยให้เกลือได้ไม่เกิน 6 กรัม ต่อวัน โปรตีน 80-100 กรัมต่อวัน เพิ่มอาหารกากใย เพื่อให้สตรีตั้งครรภ์ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อร่างกาย
แนะนาการบันทึกและประเมินภาวะสุขภาพเบื้องตนของตนเองและทารกในครรภ์ เช่น การวัด ความดันโลหิต และการตรวจหาระดับโปรตีนในปัสสาวะด้วยตนเอง การชั่งน้าหนักตัววันละครั้ง ร่วมกับการ สังเกตอาการบวม
แนะนา ให้ความรู้เกี่ยวกับความสาคัญของการนับการดิ้นของทารก พร้อมกับการจดบันทึก
แนะนาอาการผิดปกติที่ต้องรีบมาโรงพยาบาลเนื่องจากอาการและอาการแสดงเหล่านี้ บ่งบอกถึง ความรุนแรงของโรคที่มากขึ้น ทาให้เพิ่มอันตรายทั้งของมารดาและทารก ซึ่งได้แก่ ความดันโลหิต ≥ 140/90 mmHg, โปรตีนในปัสสาวะ ≥ 2+, น้าหนักตัวเพิ่มมากกว่า 1 กก./สัปดาห์, ทารกในครรภ์ดิ้นน้อย กว่า 10 ครั้งใน 12 ชั่วโมง อาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน เป็นต้น
แนะนาให้เห็นความสาคัญของการมาตรวจตามนัด โดยมีแนวทางในการดูแลแบบ ประคับประคอง
กรณีสตรีตั้งครรภ์มีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี Preterm labor แพทย์อาจพิจารณา ให้ได้รับยากลุ่ม Glucocorticoid เพื่อช่วยเรื่อง Lung maturity ลดการเกิดภาวะ Respiratory distress syndrome พยาบาลควรมีการประเมินการติดเชื้อในระบบอื่นร่วมด้วย หากพบควรรีบรายงานแพทย
แพทย์อาจพิจารณายุติการตั้งครรภ์จากหลายปัจจัยทั้งด้านมารดาและทารกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายที่มีอาการของโรครุนแรงขึ้นกลายเป็น Severe Preeclampsia หรือมีภาวะ HELLP syndrome (Leeman, 2008)
การให้ ASA ในขนาดต่า สามารถลดอุบัติการของภาวะครรภ์เป็นพิษในหญิงตั้งครรภ์ บทบาท ของพยาบาลเมื่อแพทย์พิจารณา ให้ ASA คือ สอบถามว่าผู้ป่วยไม่แพ้ยา ไม่มีการกาเริบของหอบหืด ไม่มี
บทบาทพยาบาลในระยะคลอด
การพิจารณาให้คลอดจะพิจารณาเมื่ออายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ขึ้นไป โดยการประเมินปากมดลูก หากปากมดลูกพร้อมหรือประเมิน Bishop score ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 6 จะพิจารณากระตุ้นคลอด และ สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ในกรณีไม่มีข้อบ่งห้าม ในกรณีที่ปากมดลูกยังไม่พร้อมและสภาวะแทรก ซ้อนรุนแรงแนะนาให้ตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดและกระตุ้นคลอดเมื่อสภาวะเหมาะสม
กิจกรรมการพยาบาล Preeclampsia
ประเมินอาการสู่ภาวะชัก ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เห็นภาพไม่ชัด อาการปวด บริเวณใต้ลิ้นปี่หรืออาการเจ็บชายโครงขวา ปฏิกิริยาสะท้อน (Deep tendon reflex) เร็วเกินไป (เกรด 3+ขึ้นไป) หรือมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อข้อเท้า (Ankle clonus)
จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ เตรียมอุปกรณ์การช่วยเหลือได้ทันทีที่มีอาการชัก ได้แก่ ยา MgSO4 ,Calcium gluconate, Valium, ออกซิเจน ไม้กดลิ้น เครื่อง Suction และเตรียมทีมช่วยฟื้นคืนชีพให้ พร้อม
ดูแลให้สตรีตั้งครรภ์นอนพักในท่านอนตะแคงซ้าย ทากิจกรรมต่างๆ บนเตียงเท่านั้น
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา ในการรักษา Severe Preeclampsia แพทย์จะพิจารณา ให้ MgSO4 ในการป้องกันการชักโดยระดับ MgSO4 ที่อยู่ในกระแสเลือดเพื่อป้องกันกันการชักคือ 4.8-8.4 mg/dl พยาบาลควรดูแลให้การพยาบาล
4.1 ประเมินปฏิกิริยาสะท้อน (Deep tendon reflex) ควรยังมีอยู่ (ค่าปกติคือ 2+)
4.2 อัตราการหายใจควรมากกว่า 12 ครั้ง/นาท
4.3.ตรวจและบันทึกการได้รับน้าและปริมาณปัสสาวะร่วมกับการติดตามผลการตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะปัสสาวะ ตรวจสอบปริมาณน้าปัสสาวะทุกชั่วโมง ควรมีปัสสาวะออกอย่างน้อย ชั่วโมงละ 30 มล. หรือตลอด 4 ชั่วโมง ปัสสาวะควรออกมากกว่า 100 มล.
4.4 ฟังเสียงปอดทุก 2 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะปอดบวมน้า (Pulmonary edema)
4.5 ดูแลให้ออกซิเจน 8-12 ลิตร/นาที เพื่อให้ออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของรก
4.6 จัดเตรียมยา 10% calcium gluconate ซึ่งเป็น antidote โดยแพทย์มักสั่งให้ 10 ml ทางหลอดเลือดดาใน 5-10 นาที กรณีที่มีการกดการหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นเท่านั้น
4.7 ในระยะหลังคลอดยังคงประเมินอาการนาสู่ภาวะชักอย่างต่อเนื่อง และระยะหลังคลอดที่ ยังคงให้ยา MgSO4 ต่อยังคงต้องประเมิน และ เฝ้าระวังภาวะตกเลือดหลังคลอดจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีร่วม ด้วย (มาลีวัลย์ เลิศสาครศิริ,2554)
กิจกรรมการพยาบาล Eclampsia
ป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และการพลัดตกหกล้มขณะสตรีตั้งครรภ์มีภาวะชัก โดยยกไม้ กั้นเตียงและจัดให้มีหมอนกั้น เพราะอาจเกิดอันตรายขณะชัก
เตรียมยา MgSO4 ถ้าหากสตรีตั้งครรภ์ไม่เคยได้รับยา MgSO4 มาก่อน แต่ถ้าอยู่ในระหว่างการ ชัก แพทย์อาจมีคาสั่ง ให้ได้รับยา MgSO4 2 gm ทางหลอดเลือดดาโดยฉีดช้าๆใน 15-20 นาที หรือให้ Valium 5-10 mg เพื่อควบคุมอาการชัก พยาบาลควรประเมินและดูแลการหายใจ เนื่องจาก MgSO4 และ Valium มีฤทธิ์ในการกดการหายใจ
ภายหลังชักจัดทางเดินหายใจให้โล่ง โดยจัดท่านอนตะแคง, การใส่ Oral airway เพื่อป้องกัน การสาลักสิ่งแปลกปลอม
ให้ออกซิเจน Mask 8-12 ลิตร/นาที เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ เนื่องจากการชักมีผลทาให้การหายใจหยุดลง และเกิดภาวะพร่องออกซิเจน
วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาทีจนกว่าสัญญาณชีพจะปกต
ติดตามอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เจ็บปวดพร่ามัว เจ็บปวดใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา ปฏิกิริยา สะท้อน (Deep tendon reflex) และการกระตุกของกล้ามเนื้อต่ออีก เพราะอาจเกิดอาการชักอีก
ควรจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในห้องที่เงียบ แต่ใกล้พยาบาล เพื่อลดการกระตุ้นระบบประสาท ซึ่งเสี่ยงต่อ การชักซ้า (คมสันต์ สุวรรณฤกษ์, 2554 และ มณีภรณ์ โสมานุสรณ์, 2556)
บทบาทพยาบาลในการบริหารยา
การบริหารยาเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่สาคัญในการดูแล พยาบาลจึงต้องมีความรู้เกี่ยวกับยาที่ใช้รักษา ภาวะความดันโลหิตสูง เพื่อสามารถให้การพยาบาลที่สอดคล้องกับการรักษา แนวทางการรักษาความดัน โลหิตสูงของ แพทย์มักเริ่มต้นที่ความดันสูงกว่า 160/110 mmHg
การให้ยาลดความดันโลหิตทุกชนิด พยาบาลควรวางแผนการพยาบาลให้สอดคล้องกับแนว ทางการรักษาของแพทย์โดยการติดตามระดับสัญญาณชีพ โดยเฉพาะระดับความดันโลหิตของมารดา ร่วมกับการประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์โดยการประเมิน อัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ (Fatal Hearts sound) เป็นระยะๆ
บทบาทในการดูแลมารดาระยะหลังคลอด
การนัดตรวจติดตาม 6 สัปดาห์ในมารดาระยะหลังคลอดเป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่ง โดยต้องมีการ ติดตามประเมินระดับความดันโลหิตและการตรวจหาระดับโปรตีนในปัสสาวะ หากมารดาหลังคลอดยังคง มีภาวะความดันโลหิตสูงและยังไม่เคยได้รับการดูแลมาก่อนควรได้รับการรักษา และได้รับคาแนะนาเกี่ยว โรค การดูแลตนเองเพื่อรักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ พยาบาลควรให้คาแนะนาเกี่ยวกับ การลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การควบคุมน้าหนัก การรับประทานอาหาร และการออกกาลังกายที่ เหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2560) สถิติสาธารณสุข พ.ศ.2559. กรุงเทพฯ: สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข.
คมสันต์ สุวรรณฤกษ์. (2554). ภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์ (พิมพ์ครั้งที่ 2) กรุงเทพฯ: หมอชาวบ้าน. คณะอนุกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย.(2558). แนวทางการปฏิบัต
ของราชวิทยาลัยเรื่องการดูแลภาวะครรภ์เป็นพิษ.ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย.
กรุงเทพฯ : พิมพลักษณ