Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน้าที่ในการชำระหนี้ - Coggle Diagram
หน้าที่ในการชำระหนี้
1.หน้าที่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง
:explode:
1.1 วัตถุแห่งหนี้
:<3: ชนิดของวัตถุแห่งหนี้
1.การกระทำการ
ปพพ. มาตรา 213 วรรคสอง บัญญัติว่า "...ถ้าวัตถุแห่งนี้เป็นการให้กระทำการอันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้ "
คือการกระทำตามบทบัญญัติของ ปพพ.มาตรา 213 เช่น ก. จ้าง ข. มาปลูกต้นไม้ในบ้าน วัตถุแห่งหนี้คือการกระทำในที่นี้คือปลูกต้นไม้หากลูกหนี้ละเลยไม่ชำระหนี้อันมีวัตถุแห่งหนี้เป็นการกระทำแล้วเจ้าหนี้มีสิทธิ์ตาม ปพพ.มาตรา 213 วรรคสอง คือ อาจร้องขอต่อศาลให้บุคคลอื่นมาทำแทนลูกหนี้โดยให้ลูกหนี้นั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายก็ได้ เช่น หาก ข.ละเลยไม่ปลูกต้นไม้ ก. จะร้องขอต่อศาลสั่งเพื่อให้บุคคลอื่นผู้สมัครใจเข้ามาทำแทน ข. และค่าใช้จ่ายที่เสียไปนั้นก็บังคับได้จาก ข.
2.การงดเว้นกระทำการ
ตาม ปพพ. มาตรา 194 ประกอบกับ ปพพ.มาตรา 213 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติว่า " ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้หรือถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่าย และให้จัดการอันควรเพื่อการภายหน้าด้วยก็ได้ " วัตถุแห่งหนี้เป็นการงดเว้นกระทำการก็มีได้ เช่น ก. ทำสัญญาว่าจะไม่เปิดร้านขายเครื่องสำอางแข่งกับร้านของ ข. หาก ก. ฝ่าฝืนข้อตกลงอันมีวัตถุแห่งหนี้อันต้องงดเว้นกระทำโดยไม่ตั้งร้านขายเครื่องสำอางนั้นแข่งขันกับร้านของ ข. ข.จะร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้ ก. หยุดกิจการนั้นเสียได้
การงดเว้นคือการไม่ทำการอันใดที่สัญญากับเจ้าหนี้ไว้ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้
การงดเว้นกระทำการถือว่าเป็นการชำระหนี้ได้เช่นกัน
ส่วนกรณี ปพพ.ตามมาตรา 213 วรรคสาม นั้นหมายความว่าเป็นกรณีที่ลูกหนี้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติการอันเป็นการงดเว้นการกระทำซึ่งก็เท่ากับว่าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้ศาลสั่งให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ เช่น ก. แบ่งซื้อที่ดินของ ข. โดยมีข้อตกลงกันว่า ข.จะไม่ปลูกตึกแถวบังทางด้านทิศตะวันออกต่อมาทข. ฝ่าฝืนข้อตกลงโดยปลูกตึกแถวบังที่ดินด้านดังกล่าว เช่นนี้ ก. ฟ้อง ข. ให้รื้อถอนตึกแถวไปได้โดยให้บุคคลภายนอกมาหรือถอนแล้วให้ ข.เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน
3.การส่งมอบทรัพย์สิน
ปพพ. มาตรา 213 มิได้กำหนดวิธีบังคับไว้เป็นพิเศษดังเช่นการงดเว้นกระทำการจึงได้แต่บังคับกัน ตามมาตรา 213 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า " ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้ "
เช่น ก. ทำสัญญาให้ ข. เช่าบ้านในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ 2557 ต่อมาเมื่อถึงวันดังกล่าว ก. ไม่ยอมส่งมอบบ้านที่จะให้ ข. เช่า ข. มีสิทธิ์เพียงแต่จะฟ้องร้องให้ศาลบังคับให้ ก. ส่งมอบบ้านให้ตนเท่านั้น
การส่งมอบทรัพย์สินนั้นบางครั้งถือว่ารวมอยู่ในพวกวัตถุแห่งหนี้ที่เป็นการกระทำการก็ได้ ในหนี้รายหนึ่งๆอาจมีวัตถุแห่งหนี้ซึ่งเป็นการกระทำการ งดเว้นกระทำการ หรือการส่งมอบทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวหรืออาจมี 2 อย่าง หรือมีทั้ง 3 อย่าง ในนี้รายเดียวกันก็ได้
:explode:
1.2 วัตถุแห่งหนี้กับวัตถุประสงค์แห่งนิติกรรม
1.2.1 วัตถุประสงค์แห่งนิติกรรมอยู่ในขั้นมูลฐานอันจะก่อให้เกิดหนี้ แต่วัตถุแห่งหนี้อยู่ในขั้นผลคือเกิดหนี้ขึ้นแล้ว
วัตถุประสงค์นั้นมาก่อนเพื่อเป็นขั้นมูลฐานที่จะก่อให้เกิดหนี้ขึ้น วัตถุประสงค์นั้นเป็นประโยชน์สุดท้าย เมื่อเกิดนิติกรรมสัญญาที่สมบูรณ์ขึ้นก่อนแล้วจึงจะมีผลให้เกิดเป็นหนี้ คือ มีเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้ผูกพันปฏิบัติการชำระหนี้ และในขั้นนี้จึงจะเกิดวัตถุแห่งหนี้ คือ สิ่งที่จะเรียกร้องให้ชำระตามมูลหนี้ที่เกิดขึ้นได้
เรื่องที่นิติกรรมสัญญานั้นมีวัตถุประสงค์อันมิชอบด้วยกฎหมาย ตาม ปพพ มาตรา 150 นิติกรรมสัญญานั้นก็ตกเป็นโมฆะ เสียเปล่า คือเท่ากับไม่มีนิติกรรมหรือสัญญานั้นเกิดขึ้น ผลต่อมาก็คือ เมื่อมูลแห่งหนี้หรือบ่อเกิดแห่งหนี้ไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีหนี้จะต้องผูกพันกัน
1.2.2 วัตถุแห่งหนี้มีอยู่ในมูลหนี้ทุกชนิด ส่วนวัตถุประสงค์มีได้เฉพาะในเรื่องนิติกรรมและสัญญา
มูลหนี้นั้นเกิดได้โดยเหตุ 2 ประการคือ โดยนิติกรรมและโดยนิติเหตุ และในส่วนวัตถุประสงค์นั้นก็มีได้เฉพาะในเรื่องนิติกรรมสัญญา
ดังนั้น ในเรื่องนิติเหตุจึงไม่มีวัตถุประสงค์ ส่วนในเรื่องวัตถุแห่งหนี้ เมื่อเกิดหนี้ผูกพันกันขึ้นมาแล้วไม่ว่าจะเกิดจากมูลนิติกรรมสัญญาหรือนิติเหตุก็ตามย่อมต้องมีวัตถุประสงค์แห่งนี้เสมอไป
เช่น
แดง ทำสัญญากู้เงิน ดำ 5,000 บาท วัตถุแห่งหนี้ก็คือแดงต้องทำการส่งมอบเงิน 5,000 บาท คืนให้แก่ดำ ในกรณีนี้มูลหนี้ระหว่างแดงและดำเกิดจากสัญญากู้ยืม ก็
ย่อมมีวัตถุประสงค์แห่งนิติกรรม
โดยได้ประโยชน์สุดท้ายจากสัญญาตามที่คู่กรณีประสงค์ คือ ทั้งแดงและดำก็ได้ประโยชน์จากสัญญากู้ยืมนั้น โดย แดง ได้รับเงินที่กู้ไป ดำให้เงินแดงกู้ก็จะได้ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมนั้น ทั้งดำและแดงจึงได้ตกลงทำสัญญากู้เงินดังกล่าวขึ้น
หากเป็นกรณี
เช่น
ขาว เป็นลูกหนี้กรมสรรพากร เนื่องจากการไม่ชำระภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร หรือกรณี ไก่ ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ของขาวเสียหาย และจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ขาวในความประมาทเลินเล่อของตน เช่นนี้
เป็นมูลหนี้ที่เกิดโดยนิติเหตุ
คู่กรณีมิได้สมัครใจผูกพันให้เกิดผลในทางกฎหมาย หนี้ประเภทนี้จึงไม่มีวัตถุประสงค์แต่อย่างใด แต่ในทางกลับกันเมื่อเกิดมีหนี้ขึ้นโดยมูลหนี้ซึ่งเกิดจากนิติเหตุโดยผลของกฎหมายเช่นนี้แล้ว มีผลให้เกิดมีเจ้าหนี้และลูกหนี้ ทำให้เกิดสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ตามวัตถุแห่งหนี้
1.2.3 วัตถุแห่งหนี้มีอยู่ 3 ประการ แต่วัตถุประสงค์แห่งนิติกรรมมีได้ไม่จำกัด
วัตถุแห่งหนี้มี 3 ประการ คือ1.การกระทำการ 2.การงดเว้นกระทำ 3.การส่งมอบทรัพย์สิน
วัตถุแห่งหนี้ หมายความว่า เกิดหนี้ผูกพันกันแล้วจะบังคับกันให้ลูกหนี้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามมูลหนี้นั้นอย่างไร แต่ในเรื่องวัตถุประสงค์แห่งนิติกรรมนั้นอาจเป็นเรื่องที่จะทำให้หนี้ที่มีอยู่ระงับไปก็ได้
ตัวอย่างเช่น
ว่าจ้างรถรับจ้างไปส่งที่ดอนเมืองเป็นสัญญาจ้างทำของ ตาม ปพพ. มาตรา 587 วัตถุประสงค์ก็คือผลสำเร็จในการที่ไปถึงดอนเมือง แต่ถ้าจ้างคนมาเป็นคนขับรถยนต์ส่วนตัวตามแต่ผู้ว่าจ้างจะสั่งก็เป็นสัญญาจ้างแรงงาน ตาม ปพพ มาตรา 575 ดังนี้ วัตถุประสงค์ก็อยู่ที่การขับรถยนต์ไปตามแต่ผู้ว่าจ้างจะสั่ง แต่ถ้ามาพิจารณาดูถึงวัตถุแห่งหนี้ ทั้งในกรณีจ้างรถรับจ้างไปส่งที่ดอนเมืองหรือจ้างมาเป็นคนขับรถยนต์ส่วนตัวก็ตาม
วัตถุแห่งหนี้ที่ลูกหนี้จะต้องกระทำก็เหมือนกันคือ การขับรถยนต์
หากลูกหนี้ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามแล้ว เจ้าหนี้คือผู้จ้างชอบที่จะบังคับได้ตาม ปพพ. มาตรา 213 วรรคสอง แม้ว่าวัตถุที่ประสงค์แห่งสัญญาจะต่างกันก็ตาม
:explode:
1.3 ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
ทรัพย์ไม่ใช่วัตถุแห่งหนี้แต่ทรัพย์เป็นวัตถุในการชำระหนี้ ตัวทรัพย์เรียกว่าวัตถุในการชำระหนี้
หลักตามมาตรา 195 บัญญัติเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้ อันหมายถึงทรัพย์อันเป็นวัตถุในการชำระหนี้ไว้เป็น 2 ประเภท คือ
ทรัพย์ได้ระบุไว้แต่เป็นเพียงประเภท
และ
ทรัพย์เฉพาะสิ่ง
คือทรัพย์ซึ่งได้กำหนดเพื่อจะส่งมอบแล้ว
มาตรา 195 วรรคแรก
มาตรานี้เป็นทรัพย์ทั่วไปเพียงแต่ระบุประเภทไว้เท่านั้น ไม่ได้ระบุชนิด กฎหมายวางหลักว่าให้ลูกหนี้ส่งมอบทรัพย์ชนิดปานกลาง คำว่า
"ประเภท"
คือระบุว่าเป็นทรัพย์ประเภทไหนไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นทรัพย์ชนิดไหน เช่นระบุเพียงว่าเป็น ข้าวเปลือก ข้าวสาร น้ำตาล ช้าง ม้า วัว ควาย รถยนต์
คำว่า
"ชนิด"
หมายถึงคุณภาพหรือคุณลักษณะพิเศษของตัวทรัพย์ เช่น ข้าว 5% น้ำตาลทรายขาวอย่างดี ม้าแข่งพันธุ์ดี รถยนต์ยี่ห้อไหน รุ่นไหน
มาตรา 195 วรรคแรก เป็นการระบุเพียงประเภทเท่านั้นไม่ได้ระบุชนิด กฎหมายให้ส่งมอบทรัพย์ชนิดปานกลาง เว้นแต่ติดต่อประกอบธุรกิจกันมาก่อนมีการซื้อขายกันมาก่อนสินค้าก็เป็นสินค้าเดิมๆอย่างนี้จะส่งมอบสินค้าอย่างอื่นไม่ได้ เช่น เคยซื้อขายข้าวหอมมะลิ 100% มาโดยตลอดจะส่งมอบข้าวหอมมะลิชนิดปานกลางไม่ได้ เพราะคู่สัญญารู้ถึงเจตนาของคู่กรณีว่ากำหนดทรัพย์ชนิดอย่างไร
ทรัพย์เฉพาะสิ่ง
คือวัตถุแห่งหนี้ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ต้องมีอยู่และมีลักษณะแน่นอนและต้องมีการกำหนดหรือได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นทรัพย์ใดแน่นอนไม่ใช่ระบุไว้เพียงแต่ประเภทหรือชนิด
ทรัพย์เฉพาะสิ่งที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 370 และมาตรา 460 เป็นต้น
:explode:
1.4 กรณีวัตถุแห่งหนี้ซึ่งเลือกที่จะชำระได้
:<3: การเลือกวัตถุแห่งหนี้
หากมีเจ้าหนี้คนเดียว ลูกหนี้คนเดียวและวัตถุแห่งหนี้มีอย่างเดียวเรียกได้ว่า
"หนี้เดียว"
แต่หากมีวัตถุแห่งหนี้หลายอย่างเรียกว่า
"หนี้ผสม"
หนี้ผสมนี้อาจเป็นหนี้ซึ่งต้องกระทำทุกอย่างหรือเป็นหนี้เลือกชำระอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
1.ผู้เลือก
โดยปกติแล้วสิทธิในการเลือกตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้เว้นแต่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น (มาตรา 198) แต่ถ้าลูกหนี้ไม่เลือกภายในเวลากำหนดสิทธิในการเลือกตกอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่ง (มาตรา 200) หากตกลงให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เลือกแล้วบุคคลภายนอกไม่เลือกสิทธิในการเลือกตกอยู่แก่ลูกหนี้ (มาตรา 201 วรรคสอง)
2.วิธีการเลือก
การเลือกให้ทำโดยแสดงเจตนาแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง (มาตรา 199 วรรคแรก) แต่ถ้าบุคคลภายนอกเป็นผู้เลือกให้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ และลูกหนี้จะต้องแจ้งความนั้นแก่เจ้าหนี้ (มาตรา 201 วรรคแรก)
3.กำหนดเวลาที่ต้องเลือก
(1)กรณีกำหนดเวลาเลือกถ้ามีกำหนดเวลาให้เลือกไว้ ฝ่ายที่มีสิทธิเลือกต้องเลือกภายในเวลาที่กำหนดนั้น หากไม่เลือกสิทธิในการเลือกตกอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง (มาตรา 200 วรรคเเรก) หากบุคคลภายนอกเป็นผู้เลือก แล้วไม่ใช้สิทธิ สิทธิที่จะเลือกตกอยู่แก่ลูกหนี้ (มาตรา 201 วรรคสอง)
(2)กรณีมิได้กำหนดระยะเวลาเลือก เมื่อนี่ถึงกำหนดชำระ ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิเลือกอาจกำหนดเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้อีกฝ่ายใช้สิทธิเลือกภายในเวลาอันนั้น (มาตรา 200 วรรคสอง)
4.ผลของการเลือก
เมื่อฝ่ายที่มีสิทธิเลือก ใช้สิทธิเลือกแล้วให้ถือว่าเป็นวัตถุแห่งหนี้ประการเดียวที่ลูกหนี้ต้องปฏิบัติชำระหนี้มาแต่ต้น และเจ้าหนี้จะเรียกร้องให้ชำระหนี้อย่างอื่นไม่ได้ (มาตรา 199 วรรคสอง)
5.วัตถุแห่งหนี้บางอย่างตกเป็นอันพ้นวิสัย
กรณีที่มีวัตถุแห่งหนี้หลายอย่างแต่เมื่อถึงเวลาชำระหนี้ปรากฏว่าวัตถุแห่งหนี้บางอย่างตกเป็นพ้นวิสัยไม่ว่าจะตกเป็นพ้นวิสัยแต่ต้นหรือแต่ภายหลังก็ตาม กฎหมายให้จำกัดวัตถุแห่งหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัย เว้นแต่การพ้นวิสัยจะเป็นความผิดของผู้เลือก(มาตรา 202)
มาตรา 198 ถึง 202 เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้ที่มีวัตถุแห่งหนี้หลายอย่างต้องเลือกเพียงบางอย่าง เป็นกรณีของหนี้เลือกชำระได้ไม่ต้องชำระหนี้ทุกอย่าง เมื่อชำระหนี้ที่เลือกไว้แล้วนี่นั้นก็ระงับสิ้นไป
เช่น นายแดง เป็นหนี้ นายดำ เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท โดยนายแดงตกลงให้นายดำจะชำระเป็นเงินสดจำนวน 100,000 บาทก็ได้ หรือจะชำระเป็นรถยนต์คันที่นายดำใช้อยู่ก็ได้ ดังนี้ นายดำมีสิทธิเลือกจะชำระหนี้เป็นเงินสดหรือรถยนต์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เมื่อเลือกชำระหนี้แล้วหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป
2.กำหนดเวลาชำระหนี้
:star:2.1 หนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้
มาตรา 203 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ใซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน"
หนี้ที่จะถือว่าไม่ได้กำหนดเวลาชำระต้องหมายถึงหนี้นั้นไม่ได้กำหนดเวลาชำระไว้โดยชัดแจ้ง และอนุมานจากพฤติการณ์ก็ไม่ได้ด้วย แต่ถ้าแม้จะไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่สามารถอนุมานจากพฤติการณ์ได้ก็ต้องถือว่าเป็นหนี้มีกำหนดเวลาชำระเช่นกัน
ตัวอย่างกรณีที่จะถือว่า
ไม่มีกำหนดชำระแต่สามารถอนุมานจากพฤติการณ์ได้
เช่น ยืมที่รดน้ำสังข์เพื่อไปใช้ในวันแต่งงานโดยไม่ได้ตกลงกันว่าจะคืนเมื่อไร แต่ก็อนุมานจากพิธีการได้ว่าเมื่อเป็นการยืมไปใช้ในวันแต่งงานก็ต้องส่งคืนเมื่อหลังจากแต่งงานเสร็จแล้ว จึงต้อง
ถือว่าเป็นหนี้มีกำหนดเวลาชำระหนี้
จะบังคับตามมาตรา 203 ไม่ได้
ตัวอย่างกรณีที่จะถือว่า
ไม่มีกำหนดชำระเเละจะอนุมานจากพฤติการณ์ก็ไม่ได้
เช่น กู้ยืมเงินไปโดยไม่ได้กำหนดวันชำระคืนไว้ หรือการที่เราไปซื้อของจากงานแสดงสินค้าต่างๆอาจเป็นเครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้า ดังนี้ ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไวและอนุมานจากพฤติการณ์ไม่ได้ ก็
ถือว่าเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้
และจะต้องบังคับตามมาตรา 203 นี้
การอนุมานจากพฤติการณ์
เช่น การเข้าไปสั่งซื้อข้าวในร้านอาหารที่ขายอาหารเพื่อบริโภคในเวลาอาหารย่อมต้องหมายถึงว่าต้องให้ชำระหนี้คือส่งมอบอาหารเพื่อรับประทานในเวลานั้น แต่การสั่งอาหารเพื่อให้ไปส่งเพื่อจะเลี้ยงอาหารเพลแก่พระในวันรุ่งขึ้น แม้จะมาสั่งในตอนเย็นก็สามารถอนุมานได้ว่าจะต้องส่งมอบในตอนก่อนอาหารเพลของพระในวันรุ่งขึ้น หรือกรณีที่ลูกค้าเคยสั่งของและเคยชำระราคากันเมื่อสิ้นเดือนกันเป็นประจำ เช่นนี้เมื่อมาสั่งสินค้าเช่นนั้นก็อนุมานจากการปฏิบัติระหว่างคู่กรณีว่าจะต้องชำระราคากันเมื่อสิ้นเดือน
ผลของหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระ
กรณีการชำระหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาไว้ชัดแจ้งและอนุมานจากพฤติการณ์การทั้งปวงก็ไม่ได้ เช่นนี้ กรณีจึงจะบังคับตามมาตรา 203 วรรคหนึ่ง ผลก็คือเจ้าหนี้มีสิทธิจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน
หนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระนั้นกฎหมายถือว่าต้องชำระหนี้ทันทีคือเท่ากับหนี้ถึงกำหนดทันทีที่ได้ก่อหนี้ขึ้นนั่นเอง แต่ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเมื่อไม่ชำระทันทีแล้วจะผิดนัดกฎหมายเพียงให้สิทธิแก่ทั้งสองฝ่ายที่จะเรียกให้ชำระหรือชำระเสียก่อน แต่ถ้ายังไม่เรียกให้ชำระแล้วก็จะยังไม่ผิดนัด
:star:2.2 หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้
1.2.1 หนี้ที่กำหนดเวลาชำระไว้โดยชัดแจ้ง เช่น กำหนดตามวันแห่งปฏิทินหรือกำหนดตามข้อเท็จจริง
เช่น ยืมเสื้อครุยเพื่อไปรับปริญญาจะส่งคืนเมื่อรับปริญญาเสร็จก็ถือเป็นการกำหนดโดยชัดแจ้งมีการตกลงกันระหว่างคู่กรณีที่ก่อหนี้ขึ้นก็ได้ หรืออาจจะกำหนดชัดแจ้งโดยบทบัญญัติของกฎหมายหนี้ละเมิดซึ่งมาตรา 206 ให้ถือว่าผิดนัดมาแต่เวลาทำละเมิดก็แสดงว่ากฎหมายกำหนดให้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทันทีที่ทำละเมิดก็ถือว่าเป็นหนี้ที่กำหนดชัดแจ้ง
1.2.2 หนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้โดยปริยาย คือไม่ได้ตกลงกันไว้ชัดแจ้งแต่
อนุมานจากพฤติการณ์
ต่างๆแล้ว ก็เห็นได้โดยปริยายว่ากำหนดชำระหนี้เป็นเมื่อไร
เช่น ยืมชุดรดน้ำสังข์ไปใช้ในงานแต่งงานแม้ไม่มีการกำหนดเวลาที่จะคืนไว้ก็อนุมานจากพฤติการณ์ได้ว่าต้องคืนหลังจากเสร็จงานแต่งงาน หรือในสัญญาซื้อขายข้าวสารไม่มีกำหนดเวลาส่งมอบข้าวสารแก่ผู้ซื้อ แต่ในสัญญาระบุให้ผู้ซื้อต้องชำระราคาภายในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ 2556 นั้น พออนุมานได้ว่าคู่กรณีตกลงให้ผู้ขายส่งมอบข้าวสารภายในกำหนดเวลาดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ยังอาจมีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่เป็นที่สงสัย
เช่น ยืมพานรดน้ำเพื่อใช้ในวันแต่งงานแต่งานแต่งงานซึ่งมีกำหนดไว้เดิมต้องเลื่อนออกไป
:<3: 2.2.1 กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่แต่เป็นที่สงสัย
กรณีนี้มีมาตรา 203 วรรคสอง บัญญัติว่า " ถ้าได้กำหนดเวลาไว้แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้ "
กรณีเป็นที่สงสัยนั้น ไม่ได้หมายความว่าสงสัยในกำหนดเวลาชำระหนี้ เพราะวันเดือนปี หรือกำหนดอื่นอันเป็นเวลาที่จะพึงชำระหนี้ได้กำหนดกันไว้แล้วไม่อาจเป็นที่สงสัยได้ ข้อที่เกิดเป็นกรณีอันสงสัยก็คือเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นได้หรือไม่ หรืออีกนัยหนึ่งเกิดสงสัยขึ้นว่าประโยชน์แห่งเวลาได้แก่ฝ่ายเจ้าหนี้ไม่ใช่แก่ฝ่ายลูกหนี้ และเจ้าหนี้จะเอาชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้น ดังนี้ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนดหาได้ไม่
กรณีเป็นที่สงสัยในกำหนดเวลาชำระหนี้ว่า จะต้องชำระหนี้ตามกำหนดเดิม หรือตามกำหนดใหม่เพราะมีเหตุอันทำให้การจัดงานดังกล่าวต้องเลื่อนออกไป จึงมีกำหนดเวลาเป็น 2 กำหนดซึ่งต้องสันนิษฐานว่าลูกหนี้จะชำระในกำหนดเวลาที่ถึงก่อนก็ได้ และเจ้าหนี้จะปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ไม่ได้ เจ้าหนี้จะเรียกก่อนถึงกำหนดเวลาหลังไม่ได้
เช่น กำหนดชำระหนี้ไว้ว่าจะชำระหนี้ในวัน 15 ค่ำเดือน 8 ก็มีข้อสงสัยได้ว่ากำหนดว่า 15 ค่ำเดือน 8 นั้นเป็นขึ้น 15 ค่ำหรือแรม 15 ค่ำ หรือแม้คู่กรณีกำหนดกันไว้ว่าขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 แต่บังเอิญปีนั้นในทางจันทรคติเป็นปีอธิกสุรทิน คือ มีเดือนแปด สองหน คือ เดือนแปดแรกกับเดือนแปดหลัง เช่นนี้ก็เป็นกรณีที่สงสัยในกำหนดเวลาชำระหนี้ได้ ต้องสันนิษฐานตามมาตรา 203 วรรคสอง คือ เจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระก่อนถึงเวลาที่สงสัยนั้นไม่ได้ คือเจ้าหนี้ต้องรอถึงสิบห้าค่ำเดือนแปดหลัง แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปดแรกก็ได้
:<3: 2.2.2 กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ไม่เป็นที่สงสัย
:confetti_ball:
กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน
การกำหนดเวลาชำระหนี้แบบนี้นั้นกฎหมายได้กล่าวถึงไว้ในมาตรา 204 วรรคหนึ่ง ว่า "ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วและภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ใช้ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว"
เช่น ยืมเงินไปและกำหนดว่าจะใช้คืนเมื่อขายข้าวได้แล้ว หรือยืมเรือไปใช้กำหนดจะส่งคืนเมื่อสิ้นฤดูน้ำ
ตัวอย่าง นายแดงยืมเรือพายของนายดำมาใช้ กำหนดส่งคืนเมื่อสิ้นฤดูน้ำ ดังนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้อย่างไร
ตอบ เป็นหนี้ที่กำหนดชำระมิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน เพราะไม่อาจกำหนดได้ว่าวันใดแน่นอน
:confetti_ball:
กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน
กรณีนี้เป็นกำหนดเวลาชำระหนี้โดยแจ้งชัดตามวันแห่งปฏิทิน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 204 วรรคสอง ว่า
" ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน... "
เช่น กำหนดชำระหนี้ในวันที่ 10 สิงหาคม , กำหนดชำระหนี้ในวันสงกรานต์ , กำหนดว่า 2 เดือนนับแต่ทำสัญญาหรือ 1 ปีนับแต่ทำสัญญาก็อยู่ในความหมายนี้ด้วย
นอกจากนี้ยังการกำหนดเวลาชำระหนี้อีกอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายรวมไว้ในกลุ่มนี้คือ " กรณีที่ต้อง
บอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้
ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจจำนวนนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว "
เช่น ตกลงซื้อโคกันจำนวน 30 ตัว กำหนดการส่งมอบโคโดยกำหนดว่าถ้าผู้ขายพร้อมจัดส่งมอบต้องแจ้งให้ผู้ซื้อทราบล่วงหน้า 30 วัน ดังนั้น กำหนดเวลาชำระหนี้จะถึงกำหนดก็ต้องมีการแจ้ง คือ บอกกล่าวล่วงหน้าก่อนและเริ่มนับเวลา 30 วันนับแต่บอกกล่าว
3. การผิดนัดไม่ชำระหนี้
:tada: 3.1 การผิดนัด (ลูกหนี้
3.1.2 ลูกหนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ต้องตักเตือนก่อน
หนี้บางประเภทนั้นกฎหมายกำหนดให้เจ้าหนี้ต้องเตือนลูกหนี้ก่อนลูกหนี้จึงจะผิดนัด คือ การผิดนัดเกิดจากการกระทำของเจ้าหนี้เพื่อให้คบเงื่อนไขตามกฎหมาย หนี้ประเภทที่เจ้าหนี้ต้องเตือนก่อนลูกหนี้จึงจะผิดนัดได้แก่หนี้ 2 กรณีคือ
หนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน และหนี้ที่ไม่มีกำหนดชำระหนี้
:star:
หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน (มาตรา 204 วรรคเเรก)
มาตรา 204 วรรคแรก บัญญัติว่า " ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว "
หนี้ประเภทนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดชำระไม่ใช่ตามวันแห่งปฏิทิน
เช่น
กำหนดชำระหนี้เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ เมื่อสิ้นฤดูน้ำหลาก ไม่อาจกำหนดวันที่แน่นอนชัดเจนได้ ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว กฎหมายจึงได้กำหนดให้เจ้าหนี้ต้องให้คำเตือนลูกหนี้ก่อน เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระตามที่เจ้าหนี้เตือน ลูกหนี้จึงจะผิดนัด ดังนั้น แม้หนี้จะถึงกำหนดชำระแล้วและลูกหนี้ก็ยังไม่ชำระหนี้ ถ้าหากเจ้าหนี้ยังไม่เตือนแล้ว ลูกหนี้ก็ยังไม่ผิดนัด
:star:
หนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ (มาตรา 203)
หนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้และจะอนุมานจากพฤติการณ์ทำปวงก็ไม่ได้นั้น มาตรา 203 กำหนดให้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และลูกหนี้ก็มีสิทธิจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกันนั้น
ถ้าเจ้าหนี้ยังไม่เรียกให้ลูกหนี้ชำระ ลูกหนี้ก็ยังไม่มีหน้าที่ต้องชำระ ลูกหนี้มีสิทธิจะชำระได้ทันทีตั้งแต่ก่อหนี้ แต่หน้าที่ที่จะต้องชำระนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อเจ้าหนี้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ การเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก็คือการเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั่นเอง
ดังนั้น หากไม่มีการเตือนให้ชำระหนี้จากเจ้าหนี้ ลูกหนี้ก็ยังไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้และยังไม่ผิดนัด จึงถือได้ว่าหนี้ประเภทนี้ลูกหนี้ผิดนัดด้วยกันเตือนของเจ้าหนี้ด้วยเช่นกันหากเตือนแล้วไม่ชำระ
3.1.1 ลูกหนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องตักเตือน
:fire:
1. หนี้ที่มีกำหนดชำระตามวันแห่งปฏิทิน
เช่น จะเอามาส่ง 31 กรกฎาคม 2565 พอถึงเวลาไม่เอามาส่งถือว่าผิดนัดเลย
จะเห็นได้ว่าหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินนี้ เช่น กำหนดชำระหนี้ในวันที่ 10 สิงหาคม กำหนดชำระหนี้ในวันสงกรานต์ เช่นนี้ วันที่กำหนดไว้นั้นมีความแน่นอนชัดเจนรู้ได้ตรงกันอยู่แล้ว ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดว่าถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดลูกหนี้ก็ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิภักต้องเตือนเลย
ในทำนองเดียวกันหนี้ที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้คำนวณนับได้โดยปฏิทิน
เช่น ซื้อขายคู่กันฝูง 1 จำนวน 30 ตัว โดยมีข้อตกลงว่าถ้าเจ้าหนี้พร้อมจะรับชำระหนี้แล้วให้แจ้งแก่ลูกหนี้จะนำโคมาส่งมอบให้ภายใน 7 วัน ดังนี้ เมื่อผู้ซื้อแจ้งให้ทราบแล้ว เมื่อครบกำหนด 7 วัน ซึ่งคำนวณนับได้ตามปฏิทิน เช่นนี้ ถ้าลูกหนี้ไม่นำมาส่งมอบก็ถือว่าผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลยเช่นเดียวกัน
:fire:
2. หนี้ละเมิด
หนี้ละเมิดนั้นเกิดขึ้นจากการล่วงสิทธิของผู้อื่น มิใช่เกิดจากนิติกรรมสัญญา จึง
ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้
ในเรื่องการผิดนัดสำหรับหนี้ละเมิดนั้น มีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 206 ว่า " ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด "
พราะกฎหมายเห็นว่า เมื่อการทำละเมิดทำให้เขาเสียหายก็มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนทันทีที่ทำละเมิด จึงถือว่า
ผิดนัดมาแต่เวลาทำละเมิดทันทีโดยไม่ต้องเตือนแต่อย่างใดทั้งสิ้น
3.1.3 กำหนดชำระหนี้กับการผิดนัด
การไม่ชำระหนี้เป็นข้อเท็จจริง ส่วนการผิดนัดเป็นข้อกฎหมาย
1) กำหนดเวลาชำระหนี้ ถ้าเป็นการไม่ชำระหนี้ที่มิใช้กำหนดตามวันแห่งปฏิทิน ลูกหนี้จะผิดนัดก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว แต่ถ้าเป็นหนี้ที่มีกำหนดชำระตามวันแห่งปฏิทิน ลูกหนี้ก็จะผิดนัดทันทีที่ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด การผิดนัดเริ่มขึ้นในวันถัดจากวันที่หนี้ถึงกำหนด ไม่ใช่ผิดนัดในวันถึงกำหนด
2) กำหนดเวลาชำระหนี้ การที่เจ้าหนี้จะทำให้ลูกหนี้ผิดนัดได้นั้นต้องเป็นการเตือนลูกหนี้หลังจากที่หนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว หากยังไม่ถึงกำหนดชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็ไม่อาจทำให้ลูกหนี้ผิดนัดได้
3) การผิดนัด คือตราบใดที่ลูกหนี้ยังมีข้ออ้างที่เป็นที่ยอมรับของกฎหมายแล้ว ลูกหนี้ก็ยังไม่ผิดนัด แม้จะถึงกำหนดชำระหนี้แล้วและเจ้าหนี้ก็เตือนลูกหนี้แล้วก็ตาม
3.1.4 กรณีที่ไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด
1. เป็นเหตุที่เกิดจากเจ้าหนี้เอง
มาตรา 205 ว่า " ตราบใดการชำระหนี้นั้นยังมิได้กระทำลงเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบตราบนั้นลูกหนี้ยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่ "
เช่น การที่เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้ตามมาตรา 207 หรือเพราะไม่เสนอชำระหนี้ตอบแทนเมื่อตนมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตอบแทนตามมาตรา 210
ตัวอย่างเช่น เจ้าหนี้ไม่ยอมกรอกหลักฐานแห่งการชำระหนี้ให้ลูกหนี้ตามที่กำหนดใน ปพพ มาตรา 326 หรือเจ้าหนี้ไม่ปฏิบัติการอันตนต้องทำก่อนตามสัญญา ลูกหนี้จึงไม่ชำระหนี้ตามกำหนด
2. เหตุเกิดจากบุคคลภายนอก
เช่น ลูกหนี้ได้พยายามดำเนินการเพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามสัญญาเต็มความสามารถแล้ว แต่รังวัดแบ่งแยกไม่เสร็จเพราะเจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจดำเนินการได้ทัน ถือว่าลูกหนี้ไม่ผิดนัด
3. เกิดจากภัยธรรมชาติ
มีสาเหตุมาจากภัยธรรมชาติที่ลูกหนี้ไม่อาจคาดการณ์และไม่อาจป้องกันได้
เช่น รังวัดแบ่งแยกให้ไม่ทันเพราะน้ำท่วม รังวัดไม่ได้ จึงไม่สามารถโอนที่ดินได้ตามกำหนด ก็ถือว่าลูกหนี้ไม่ผิดนัด
:tada: 3.2 ผลของการผิดนัดของลูกหนี้
3.2.1 ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแต่การผิดนัด
มาตรา 215 " เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้ "
เมื่อการชำระหนี้ล่าช้า เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็อาจเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนได้
เช่น ทำสัญญารับจ้างสร้างบ้านให้เขาตกลงว่าจะสร้างเสร็จใน 6 เดือน แต่สร้างไม่เสร็จล่าช้าไป ทำให้ผู้ว่าจ้างต้องไปเช่าบ้านเขาอยู่ต้องเสียค่าเช่าบ้านในระหว่างนั้น ส่งคืนบ้านเช่าช้ากว่าที่กำหนดทำให้ต้องเสียหายไม่ได้รับค่าเช่าที่ควรจะได้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทน
3.2.2 เจ้าหนี้อาจไม่รับชำระหนี้
มาตรา 216 " ถ้าโดยเหตุผิดนัด การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่ชำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้ "
เช่น ตกลงเช่าห้องริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อดูขบวนเสด็จพยุหยาตราทางชลมารค หากมาส่งมอบห้องเช่าล่าช้าไป จนขบวนเสด็จผ่านไปหมดแล้วก็ย่อมไม่สำเร็จประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว
ช่น ตกลงจ้างตัดชุดเจ้าสาวเพื่อใช้ในวันเลี้ยงฉลองสมรส แต่มาส่งมอบให้หลังจากวันเลี้ยงฉลองสมรสเลยผ่านไปแล้ว ก็ไม่เกิดประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว
3.2.3 ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดระหว่างผิดนัดเพิ่มขึ้น
มาตรา 217 " ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบในการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนั้นนั้นด้วย เว้นแต่ความเสียหายนั้นถึงแม้ว่าตนจะได้ชำระหนี้ทันเวลากำหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง "
มาตรา 217 นี้เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดเท่านั้นมิใช่เป็นเหตุโดยตรงมาจากการผิดนัด ไม่ว่าจะด้วยความประมาทเลินเล่อของลูกหนี้ หรือเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างผิดนัด ลูกหนี้ก็ต้องรับผิด
มาตรา 217 ตอนท้ายที่ว่า " เว้นแต่ความเสียหายนั้นถึงแม้ว่าตนจะได้ชำระหนี้ทันเวลากำหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง "
คือ
ลูกหนี้จะยกข้ออ้างเพื่อพิสูจน์ให้พ้นความรับผิด ตามมาตรา 217 ได้จะมีได้เฉพาะกรณีที่การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดเท่านั้น หากเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อแล้วจะอ้างไม่ได้
เช่น
แดงรับปากรู้จักต้อยไว้โดยไม่มีบำเหน็จค่าฝาก โดยตกลงกันว่าต้อยจะมารับคืนในวันที่ 30 ธันวาคม ถึงกำหนดต้อยมารับรถคืน แดงยังอยากได้รถไว้ใช้ไปเที่ยวปีใหม่จึงบอกกับต้อยว่าอีก 3 วันจะนำไปคืนให้ ต้อยไม่ยอม แดงจึงแกล้งบอกว่าหากุญแจไม่พบ คืนวันรุ่งขึ้นรถคันดังกล่าวได้ถูกขโมยลักไปทั้งๆที่แดงก็ได้ล็อคประตูรถเรียบร้อยแต่จอดไว้นอกบ้านเหมือนกันกับรถของตน เช่นนี้แดงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อในระหว่างผิดนัด แดงจะอ้างว่ารถที่จอดอยู่บ้านต้อยก็ถูกขโมยไปในวันเดียวกัน หากนำรถไปส่งคืนรถนี้ก็ต้องถูกขโมยไปด้วย ตนจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายนี้ไม่ได้
แต่ถ้าหากหลังจากที่แดงไม่คืนรถและจอดรถไว้ที่เดิม เกิดไฟไหม้เพราะถังแก๊สระเบิดที่บริเวณข้างเคียงและลุกลามมาไม่บ้านของแดงรวมทั้งรถด้วย และบ้านของต้อยก็ถูกไฟไหม้ด้วย เช่นนี้ แดงสามารถพิสูจน์ได้ว่าแม้ว่าตนเองจะชำระหนี้ตามกำหนด คือส่งคืนรถแก่ต้อยเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมนั้น รถก็คงอยู่ที่บ้านของต้อยและก็ถูกไฟไหม้ไปด้วยนั่นเอง กรณีนี้แดงสามารถพิสูจน์เพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 217 ได้
เช่น
ลูกหนี้ผิดนัดไม่ส่งน้ำตาลแก่ผู้ซื้อตามกำหนด เพราะตกลงราคาไม่ได้ ต่อมารัฐบาลห้ามส่งน้ำตาลออกนอกประเทศ การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย ลูกหนี้ก็ต้องรับผิด ซึ่งการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยในกรณีนี้ไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะความผิดของลูกหนี้ หากลูกหนี้ได้รีบจัดการโดยเร็วไม่ชักช้าเพราะต่อรองราคาการชำระหนี้จะไม่กลายเป็นพ้นวิสัย ลูกหนี้จึงต้องรับผิดตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง
กรณีความเสียหายอันเกิดจากประมาทเลินเล่อในระหว่างผิดนัด
ระดับแรก
คือ เท่าที่ตนใช้ในกิจการของตน เช่น การรับฝากทรัพย์ไม่มีบำเหน็จค่าฝาก
ระดับที่สอง
คือ ระดับของวิญญูชน คนปกติทำยังไงเราก็ทำแบบนั้น เช่น กรณีผู้เช่าทรัพย์ ผู้รับจำนำ
ระดับที่ 3
คือ ระดับของผู้มีวิชาชีพ ต้องใช้ความระมัดระวังในระดับของผู้มีวิชาชีพนั้น เช่น ผู้รับฝากทรัพย์มีบำเหน็จค่าฝาก
ตัวอย่าง
แดงจะไปเที่ยวต่างจังหวัดจึงนำรถไปฝากไว้กับต้อยซึ่งเป็นเพื่อนกัน ต้อยก็รับฝากไว้โดยไม่มีค่าฝาก ดังนี้ ต้อยก็มีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังสงวนรักษาทรัพย์สินที่ฝากเหมือนเช่นเคยปฏิบัติในกิจการของตน คือตนเองเคยดูแลรถของตนอย่างไรก็ทำเช่นนั้นเเก่รถของแดงที่มาฝากไว้ เช่น ปกติรถของตนเองจอดไว้ในรั้วบ้านก็ไม่ได้ล็อคกุญแจ รถของแดงก็ทำเช่นกันทในระหว่างที่รับฝากไว้นี้หากรถของแดงถูกลักไป
ต้อยก็ไม่ต้องรับผิด
แต่หาก แดง กลับมาจากต่างจังหวัดแล้วมารับรถคืน ต้อย กลับไม่ยอมคืนให้เพราะยังต้องการเอารถไว้ใช้อยู่ ต้อยตกเป็นผู้ผิดนัด ในระหว่างผิดนัดนั้นถ้าต้อยยังคงใช้ความระมัดระวังเท่าเดิมและรถหายไปถือว่าต้อยประมาทเลินเล่อแล้ว เพราะเมื่อผิดนัดแล้วต้อยต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นจะใช้ความระมัดระวังเท่าเดิมมาเป็นเกณฑ์ วินิจฉัยความประมาทเลินเล่อของตนไม่ได้
นั่นก็คือความรับผิดในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างที่ผิดนัดมาตรา 217
เป็นความรับผิดที่เพิ่มขึ้นจากการประมาทเลินเล่อในกรณีปกตินั่นเอง
กรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัด
ความรับผิดของลูกหนี้ในกรณีที่การชำระหนี้กลายเป็น
พ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุ
ที่เกิดขึ้นระหว่างผิดนัดนั้น ลูกหนี้ก็จะต้องรับผิดเฉพาะเมื่อการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเกิดจากต้นเหตุมาจากการกระทำของคน
เช่น ยืมรถเขามาใช้และเมื่อถึงกำหนดส่งแล้วไม่คืนเขา แม้เจ้าหนี้จะเตือนแล้วลูกหนี้ก็ตกเป็นผู้ผิดนัดทระหว่างนั้นเองขณะที่รถจอดอยู่ที่บ้านได้มีรถบรรทุกวิ่งมาประกอบกับมีน้ำมันหกอยู่บนพื้นถนน รถจึงพุ่งเข้ามาชนรถที่จอดอยู่จนเสียหายใช้การไม่ได้ และคนขับรถบรรทุกก็มิได้ประมาทเลินเล่อ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดระหว่างผิดนัด
ลูกหนี้จึงต้องรับผิด
แต่ถ้าเกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น เกิดฟ้าผ่าถูกรถเสียหาย เช่นนี้เมื่อไม่ใช่อุบัติเหตุแล้วแม้จะเกิดขึ้นระหว่างผิดนัดลูกหนี้ก็ไม่ต้องรับผิดโดยไม่ต้องพิสูจน์ข้อแก้ตัวของลูกหนี้ตามมาตรา 217 ตอนท้ายอีกเลย
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ระหว่างผิดนัดนั้นรถถูกไฟที่ไหม้ลามมาจากที่อื่น ลูกหนี้จะหลุดพ้นจากความผิดก็ต้องพิสูจน์ได้ว่า ถึงแม้ตนจะได้ชำระหนี้ทันกำหนดรถก็คงถูกไฟไหม้เช่นเดียวกันอยู่ดี
อุบัติเหตุ
ต้องมีสาเหตุมาจากมนุษย์เท่านั้นไม่รวมเหตุการณ์ธรรมชาติ
เหตุสุดวิสัย
เป็นเหตุที่เกิดจากการกระทำของคนก็ได้ หรือเกิดโดยธรรมชาติ เช่นฟ้าผ่า น้ำท่วม แผ่นดินไหว