Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

กลุ่มอาการเวียนศีรษะ, สมาชิก - Coggle Diagram

- - - - A Thai male, Good consciousness, Well co-operated, jaundice, no cyanosis Vital signs: T = 36.9 OC PR = 84 /min RR = 22 /min BP = 128/88 mmHg. Weight 58 kgs. Height 173 cm. BMI = 19.39 m2
    - - Normal size and shape
      - no asymmetry
      - no mass and lesions
    - - jaundice, good skin turgor
      - no lesions
      - Brown skin
      - no cyanosis and no petechiae
    - - icteric sclera jaundice
      - pupils round 2 mm. React to light at both eyes
      - conjunctiva pale
      - Normal eye movement
    - - External ears no mass
      - no lesion
      - both ears canal normal
      - normal hearing
    - - no septal deviation
      - no discharge
      - Symmetrical
    - - lips pale and dry
      - no cyanosis
      - Buccal mucous membrane pink
      - oropharynx not injected
      - tonsils not enlarged
    - - No trachea deviation
    - - Trachea in midline
      - no engorgement of neck vein.
    - - Palpation:
        
        Symmetrical tactile fremitus, Expansion full Rt.=Lt
      - Percussion
        
        Resonance sound
      - Inspection
        
        Symmetrical chest walls, with normal chest movement
      - Auscultation
        
        Normal breath sound, No adventitious sound
      - Cardiovascular
        
        Heart and peripheral vascular No active pre - cordial, no bulging, no thrill, Heart rate 84/min., no murmur, Capillary refill >2 sec.
    - - Palpation
        
        no soft, no mass palpable, liver can’t be palpated, no tenderness and no distension Auscultation: Bowel sound 6 /min
      - Percussion
        
        Shifting dullness
      - Inspection
        
        abdominal distension, bulging, normal movement
    - - Glasgow coma score E4M6V5 normal reflex Musculoskeletal: No weakness
      - equal bilaterally
      - Good consciousness
    - - middle pale, Capillary refill > 2 sec
    - - no examination
    - - not enlarge and palpable Genitalia: no examination
- - - - จากอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย พบว่าผู้ป่วยมี อาการตัวตาเหลือง คันตามผิวหนัง อ่อนเพลียไม่มี แรง ทางานก็จะรู้สึกเหนื่อยง่าย น้าหนักตัวลดลง 2 กิโลกรัมใน 1 เดือน เบื่ออาหาร ร่วมกับมีอาการ เวียนศีรษะ เมื่อเปรียบเทียบกับอาการและอาการ แสดงของโรค (จากตารา) พบว่าผู้ป่วยไม่มีจุกแน่น ลิ้นปี่ หลังจากรับประทานอาหารมัน มีการเบื่อ อาหารทาให้เกิดอาการอ่อนเพลียและน้าหนักลดลง ซึ่งผู้ป่วยไม่มีอาการไข้. จากนั้นผู้ป่วยคลาไม่ได้ก้อนที่ ชายโครงขวาแต่โรคนี้มักพบก้อนใต้ชายโครงขวา จึง ทาให้มีความน่าจะเป็นโรคตับแข็งมากกว่าโรคมะเร็ง ตบั แต่โรคนี้ไม่พบอาการเวียนศีรษะ
    - - ผู้ป่วยอาจเป็นโรค CA Liver มีสาเหตุมาจากการดื่มเหล้าขาว เป็นระยะเวลานานติดต่อกันหลายปีทำให้แอลกอฮอล์จะ ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอะเซทัลดีไฮด์ (Acetaldehyde) ซึ่งทาให้เกิดการกลายพันธุ์ใน หน่วยพันธุกรรม หรือ DNA ซึ่งทาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งในที่สุด และการได้รับสารกำจัดศัตรูพืชโดยในสารนั้นจะประกอบไปด้วย สารจำพวกออร์กาโนฟอสเฟต คาร์บาเมต และออร์กาโนคลอรีน ซึ่งมีพิษร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์ มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของระบบประสาท
    - - อาการและอาการแสดงที่สงสัยว่าเป็น
        โรคมะเร็งตับผู้ป่วยจะได้รับการส่งตรวจพิเศษ Liver function test อาจพบระดับAlfa-fetoprotein (AFP) สูงผิดปกติ โดย Alfa-fetoprotein (AFP) มีค่าปกติ 10-20 ng/ml และค่าที่ใช้วินิจฉัยมะเร็ง ตับถ้ามากกว่า 400 ng/ml การอุลตราซาวด์ (US), เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือ คลื่น แม่เหล็ก (MRI) จะตรวจพบก้อนที่ตับ มี arterial hypervascularization และขนาดมากกว่า 2 cm
    - - การรักษาจำเป็นต้องประเมินโดยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ให้เหมาะสมกับพยาธิของผู้ป่วยแต่ละ รายเนื่องจากมีปัจจัยที่ต้องคานึงถึงมากมาย แต่ผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้มีพยาธิสภาพของโรคมะเร็งตับ (CA Liver) ทาให้ไม่ต้องเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมกับ โรคมะเร็งตับแต่เป็นการรักษาที่เหมาะสมกับโรคตับแข็ง
  - - - จากกรณีศึกษาสันนิษฐานว่าผู้ป่วยมีสาเหตุเกิดจากการที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ พวกลาบ ก้อย อยู่บ่อยครั้ง ทำให้อาจเกิดจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับจากการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เนื่องจากการดำรงชีพของพยาธิในตำแหน่งที่ไปเติบโตอยู่ มีการสร้างสารคัดหลั่ง การขยับเคลื่อนตัว ทำให้เกิดการระคายเคือง เซลล์เยื่อยุผิวท่อน้ำดีหลุดลอกช่วยกระตุ้นให้แบ่งตัว ทำให้เกิดเป็นมะเร็งขึ้นได้
    - - อาการของผู้ป่วยรายนี้มีอาการตัวตาเหลืองเนื่องจากน้ำดีที่มีสีเหลืองไม่สามารถไหลลงสู่ลำไส้เล็กได้จึงล้นเข้าสู่กระแสเลือดและมาสะสมอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกายตามเยื่อบุทำให้เกิดอาการตัวตาเหลือง นอกจากนี้ผู้ป่วยมีอาการแน่นท้องเนื่องจากรับประทานอาหารที่มันจัด ทำให้ย่อยได้ยากและมีไขมันสะสม แต่ผู้ป่วยรายนี้ยังไม่มีก้อนที่สะสมเป็นนิ่วในท่อไตและผู้ป่วยจะมีอาการคันตามตัว เนื่องจาก Bilirubinที่อยู่ในเลือดมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จึงไปกระตุ้นให้ปลายประสาทผิวหนังเกิดอาการคันขึ้นได้
    - - U/S เพื่อดูขนาดของตับตับและช่องท้องส่วนบน ทำการตรวจการทำงานของตับ(LFT)
      - การทำ CT Scan หรือ MRI
    - - การรักษามีหลายวิธีจําเป็นต้องประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้เหมาะสมกับพยาธิของผู้ป่วยแต่ละรายเนื่องจากมีปัจจัยที่ต้องคํานึงถึงมากมาย แต่ผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้มีพยาธิสภาพของโรคมะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma) ทำให้ไม่ต้องเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมกับโรคมะเร็งตับแต่เป็นการรักษาที่เหมาะสมกับโรคตับแข็ง
  - - - ผู้ป่วยอายุ 70 ปี มีพฤติกรรมสุขภาพคือดื่มเหล้าขาวพร้อมทานกับแกล้มเช่น ลาบก้อย ซอยจุ๊ มาตั้งแต่หนุ่มๆ แอลกอฮอล์ที่ผู้ป่วยดื่มเมื่อเข้าสู่ตับ ตับจะเปลี่ยนเป็น Acetaldehyde ซึ่งเป็นพิษต่อตับโดยเพิ่มการสร้างไตรกลีเซอร์ไรด์ในตับ แอลกอฮอล์สามารถทำให้ตับขาดออกซิเจน เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์ตับเพิ่มการสร้างพังผืด เนื้อตับถูกทำลายเกินความสามารถที่จะงอกใหม่ซ่อมแซมจึงทำให้โครงสร้างของตับเปลี่ยนแปลงทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย จนเกิดเป็นโรคตับแข็ง
    - - มีอาการดีซ่านตัวตาเหลือง
      - อ่อนเพลียไม่มีแรง
      - คันตามผิวหนัง ผิวมีสีคล้ำ
      - ทำงานรู้สึกเหนื่อยง่ายน้ำหนักลดลง 2 กิโลกรัมใน 1 เดือน
      - เบื่ออาหาร ร่วมกับมีอาการเวียนศีรษะ
      - คลำไม่พบตับบริเวณชายโครงขวา
      - มีอาการท้องมาน
    - - การวินิจฉัยทางการแพทย์ในกรณีศึกษามีการส่งตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (computerized tomography : CT scan)
      - ตรวจการทำงานของตับ Liver function test
      - ส่งตรวจความสมบูรณ์ของเกล็ดเลือด(Complete blood count)
    - - เเนะนำให้ผู้ป่วยลดปริมาณการดื่มสุรา
      - ให้ยาขับปัสสาวะ(Lasix 40 mg ½ tab oral OD pc)
      - ให้ Thiamine 1 tab oral tid ac
    - - มีอาการอ่อนเพลีย
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยทำการ bed rest
        
        ดูแลให้รับประทานอาหารโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนไขมันต่ำ เพื่อลดการสะสมของ cholesteral
      - เกิดภาวะท้องมาน
        
        ดูแลให้ผู้รับบริการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมต่ำและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของเกลือเพื่อลดการดูดกลับของสารน้ำเข้าสู่ร่างกาย
        
        จำกัดน้ำดื่มโดยปริมาณน้ำควรอยู่ประมาณ 1000-1500 ซีซี/วัน เพื่อลดปริมาณสารน้ำเข้าสู่ร่างกาย
        
        ให้ยา Lasix 40 mg ½ tab oral OD pc
        
        ดูแลให้ผู้รับบริการชั่งน้ำหนักทุกวัน วันละหนึ่งครั้ง วัดรอบท้อง
        
        การเจาะท้อง (Abdominal paracentesis)
      - มีอาการซีด
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยทำการ bed rest
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารจำพวกธาตุเหล็กเช่น ไข่แดง เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว เครื่องในสัตว์เป็นต้น
        
        ดูแลให้ได้รับยา Folic acid 1 tab oral OD pc
        
        ดูแลให้ได้รับเลือด (Pack red cell)
  - - - จากกรณีศึกษาผู้ป่วยอาจเป็นโรคนิ่วในท่อน้ำดีที่มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย โดยผู้ป่วยเป็นเพศชาย อายุ 70 ปี ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของผู้สูงอายุ โดยผู้สูงอายุนั้นจะมีอวัยวะที่เสื่อมสภาพลงทำให้ถุงน้ำดีบีบตัวไม่ดี และเกิดความไม่สมดุลของสารประกอบในน้ำดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งคอเลสเตอรอลที่มาจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงซึ่งในรายนี้รับประทานอาหารที่เป็นไขมัน และทั้งนี้อาจเกิดการสะสมของสารบิลิรูบินจากตับที่มีจำนวนมากโดยบิลิรูบินหรือน้ำดีในปัสสาวะเกิดจากผลการสลายตัวของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง หากตรวจพบแสดงว่ามีความผิดปกติที่เซลล์ตับหรือมีการอุดตันที่ท่อน้ำดี ทำให้มีปริมาณของบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้นในกระแสเลือดและถูกขับออกมาในปัสสาวะ เนื่องจากบิลิรูบินมีสีเหลืองเข้ม เมื่อมีปริมาณบิริรูบินที่เพิ่มมากขึ้น จะไปสะสมตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้ปัสสาวะมีสีเข้ม ผิวหนังและตาขาวมีสีเหลือง เมื่อถุงน้ำดีบีบตัวไม่ดีจึงทำให้มีการตกตะกอนซึ่งอาจทำให้เกิดการตกผลึกเป็นก้อนนิ่วได้
    - - เมื่อรับประทานอาหารมันจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการแน่นอึดอัดท้อง
      - คันตามผิวหนัง
      - มีอาการตัวตาเหลือง
    - - การวินิจฉัยทางการแพทย์ในกรณีศึกษามีการส่งตรวจ Liver function test เพื่อดูการทำงานของตับ
      - ส่งตรวจการตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (computerized tomography : CT scan) เพื่อหานิ่วในท่อน้ำดี
      - การตรวจอัลตร้าซาวด์ตับ และระบบท่อน้ำดีด้วยการส่องกล้อง (endoscopicultrasonography : EUS) เพื่อดูนิ่วและขนาดตับอย่างใกล้ชิด
    - - ในผู้ป่วยรายนี้ยังไม่มีแผนการรักษาหรือใช้ยา
  - - - จากการที่ผู้ป่วยทำสวนและใช้ยากำจัดศัตรูพืช การได้รับสารกำจัดศัตรูพืชโดยในสารกำจัดศัตรูพืชจะประกอบไปด้วยสารจำพวกออร์กาโนฟอสเฟต คาร์บาเมต และออร์กาโนคลอรีน ซึ่งแม้จะมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดแมลง แต่มีพิษภัยร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์ มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงาน ของระบบประสาท หากสูดดมเข้าไปติดต่อกันในปริมาณมากๆ ก็อาจจะส่งผลต่อการเป็นมะเร็งได้ และผู้ป่วยมีอายุ 70 ปี โอกาสเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็ยิ่งสูงขึ้น เพราะเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
    - - -การสัมผัสกับสารเคมีในสิ่งแวดล้อม เช่น สารเคมีในกลุ่มพวกเบนซีน และยาฆ่าแมลงบางชนิด เนื่องจากผู้ป่วยเคยให้ประวัติอาชีพเดิมเป็นเกษตรกร อาจจะมีการสัมผัสกับยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
      - -อายุ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโอกาสเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็ยิ่งสูงขึ้น จากกรณีศึกษา อายุ 70 ปี จึงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงในการมะเร็งเม็ดเลือดขาว
    - - จากกรณีศึกษาสงสัยว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (acute leukemia) คือการที่เซลล์ตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาวแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว อาการของโรคจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง โดยปัจจัยเสี่ยงของการเกิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาวอาจจะเกิดได้ดังนี้
    - - จากกรณีศึกษา อาการของมะเร็งเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยรายนี้เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติไปรบกวนการสร้างเม็ดเลือดชนิดต่างๆ ทำให้เกิดอาการดังนี้
    - - -การเจาะเลือดตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (complete blood count, CBC)
      - -การเจาะไขกระดูก
    - - 1.เคมีบำบัด (Chemotherapy)
      - 2.การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (Targeted therapy)
      - 3.การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell transplantation)

สมาชิก

นางสาวญาณกร    ธรรมปาพจน์ เลขที่ 20

ฐิติพร จงประเสริฐ เลขที่ 21

นางสาวณัฐกานต์ ไชยฤทธิ์ เลขที่ 25

นางสาววิลันดา เจริญธรรม เลขที่ 79