Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Gestation diabetes mellitus A2 - Coggle Diagram
Gestation diabetes mellitus A2
การตรวจร่างกาย
-หญิงตั้งครรภ์รู้สึกตัวดีสีหน้ายิ้มแย้มใบหน้าสมมาตรกันทั้งสองข้างสีผิวสีน้ําตาลรูปร่างอ้วนพูดคุยสื่อสารรู้ เรื่อง การแต่งกายใส่ชุดคลุมท้องเหมาะสม
Head/Hair : clean and normal distribution of hair (no hair loss) black and white long hair and thick hair a little dandruff 2
Eye : Normal eye movement,Conjunctiva not pale
Mouth and Teeth : oral lesions No cheilosis, No dental caries or gingivitis
Lumphnodes : Not enlarge
Thyroid : Not enlarge
Breasts & Nipple : Not retracted nipple , Not flat nipple
Abdominal examination
Inspection : Height of fundus 40 cm Striage Gravidarum
FHS : 158 bpm
Fetal position : Left Occiput Anterior (LOA)
Fetal presentation : Cephalic presentation
ข้อมูลทั่วไป
นางสาวเกษร ไผ่เขียว (นามสมมุติ) เพศ หญิง อายุ 29 ปี สถานภาพ สมรส เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ อาชีพ แม่บ้าน
ประวัติการเจ็บป่วยของผู้รับบริการ
1.1 อาการสําคัญที่มาโรงพยาบาล
มาฝากครรภ์ตามนัด GA 34+6 wks.
1.2 ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบันและ/หรือการตั้งครรภ์ การคลอดในปัจจุบัน
มารดาหญิงตั้งครรภ์ GA 34+6 wks ประวัติการตั้งครรภ์ G3P2A0
ปี 2552 คลอดบุตรคนที่ 1 อายุ 12 ปี คลอด C/S น้ําหนักแรกคลอด 3,600 g.
ปี 2560 คลอดบุตรคนที่ 2 อายุ 4 ปี คลอด C/S น้ําหนักแรกคลอด 3,100 g.
High Risk Gestation diabetes mellitus A2 (GDMA2), Previous C/S
1.3 ประวัติการเจ็บป่วยในอดีตและ/หรือการตั้งครรภ์ การคลอดในอดีต
ปี 2552 C/S เนื่องจากทารกมีส่วนนําเป็นท่าก้น (Breech Presentation)
ปี 2560 Previous C/S
ปี 2564 ผู้ป่วยเคยได้รับอุบัติเหตุรถชน ขาข้างขวาหัก (ปัจจุบันดามเหล็กอยู่) Admit โรงพยาบาล สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 17 นาน 1 เดือน รักษาแบบ Skin traction
ปฏิเสธการแพ้ยา แพ้อาหาร และการใช้สารเสพติด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1.มารดาตั้งครรภ์อาจเกิด ภาวะน้ําตาลในเลือดต่ำหรือสูงเนื่องจากภาวะเบาหวานชนิด A2 ขณะตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
SD :- มารดาบอกว่า “ชอบ รับประทานทุเรียน ไม่ชอบ รับประทานผัก”
OD : - มารดาหญิงตั้งครรภ์ GA 34+6 wks ประวัติการตั้งครรภ์ G3P2A0 มีประวัติคลอด C/S ตั้งแต่ครรภ์แรก
-แพทย์วินิจฉัยตรวจพบ GDMA2
-ตรวจ 75 g OGTT 1hr =93, 2hr=198, 3hr=168
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนํามารดาตั้งครรภ์ควบคุมน้ําหนัก โดยให้ มารดาชั่งน้ําหนักเวลาเดิมทุกวัน โดยแนะนําว่า มารดา BMI ก่อนตั้งครรภ์ที่ มากกว่า 30 kg/m2 น้ําหนักไม่ควรเกิน 7-9 kg ตลอดการตั้งครรภ์
2.แนะนํามารดาตั้งครรภ์ให้ควบคุมน้ําหนักโดยการ ควบคุมการรับประทานอาหาร โดยรับประทาน อาหารให้ครบ 5 หมู่ แนะนําให้รับประทานไขมันดี (HDL) ในปริมาณที่เหมาะสม เช่น อะโวคาโด อัล มอนด์ ถั่วลิสง หรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว และหลีกเลี่ยง หรือลดปริมาณอาหารที่มีรสชาติหวาน เช่น ทุเรียน ขนมหวาน มะม่วงสุก น้ําอัดลม
3.แนะนําการฉีด insulin ชนิด insulin NPH 4 unit sc
-โดยในมารดาตั้งครรภ์ ตําแหน่งฉีดยาที่เหมาะสมคือ บริเวณหน้าท้อง ฉีดโดยห่างจากสะดือ 2 นิ้ว ส่วน บริเวณอื่นที่สามารถฉีดได้คือ ต้นแขน ต้นขา สะโพก -แนะนําวิธียกผิวหนังในการฉีดที่ถูกต้อง -การหมุนเวียนตําแหน่งฉีดยาที่เหมาะสมเพื่อป้องกัน การเกิด Lipohypertrophy
-การเก็บรักษา
อินซูลินที่ยังไม่ได้เปิดใช้ หากเก็บที่อุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส เก็บได้นานเท่ากับอายุยาข้างขวดแต่ สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง (ประมาณ 25 องศา เซลเซียส) ได้นานประมาณ 30 วัน อินซูลินที่เก็บใน อุณหภูมิสูง เช่น กลางแดดจัด หรือที่อุณหภูมิต่ำ มากๆ เช่น ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ไม่ควรใช้เป็น อย่างยิ่งเนื่องจากยาเสื่อมคุณภาพ และไม่แนะนําเก็บ ที่ฝาตู้เย็น เนื่องจาก อาจทําให้อุณหภูมิไม่ค่อยคงที่ จากการปิด-เปิดตู้เย็น
4.แนะนําให้มารดาควรออกกําลังกายสม่ำเสมอทํา ต่อเนื่องวันละ 30 นาทีในการตั้งครรภ์ไตรมาส สุดท้ายแนะนําเป็น การเดินช้าๆ
5.แนะนําให้มารดานับลูกดิ้น โดยแนะนําให้มารดา นับลูกดิ้นหลังรับประทานอาหารอิ่มในแต่ละมื้อ นํา ทั้ง 3 มื้อรวมกัน ต้องไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง/วัน และ ต้องบันทึกลูกดิ้นทุกวัน
6.แนะนําให้มารดาตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตามนัดและ สังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ เช่น เจ็บ ท้องท้องแข็ง ช่องคลอดมีมูกเลือด ลูกไม่ดิ้นหรือดิ้น น้อยกว่า 10 ครั้ง/วัน
7.แนะนําให้มารดาฉีด Insulin NPH 4 unit sc novorapid 4-4-4 unit sc (เช้า กลางวัน เย็น)ตาม แผนการรักษา
8.แนะนําให้มารดาสังเกตอาการ Hypoglycemia คือ อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง ปวดเวียนศีรษะ นอนไม่ หลับ มือสั่น ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ/หลัง เป็น ตะคริวบ่อย มีอาการคันตามผิวหนัง มือเท้าเย็น ตัว ชา และทรงตัวไม่ค่อยอยู่ หากมีอาการแนะนําให้ มารดารับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น ขนมปัง 1 แผ่น กล้วย 1 ผล เป็นต้น หากอาการไม่ดี ขึ้นแนะนําให้มาพบแพทย์
2.ทารกมีโอกาสเกิดภาวะ Fetal distress เนื่องจาก ทารกดิ้นน้อยลง
ข้อมสนับสนุน
SD: -มารดาบอกว่า “ลูกดิ้น น้อยลง ดิ้น8ครั้งต่อวัน”
OD:-จากใบฝากครรภ์ GA33+4 wks มีประวัติลูกดิ้นน้อยลง
-FHS 150 bpm
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนําให้นอนตะแคงซ้าย-ขวา หรืออยู่ในท่านั่ง เดิน กระตุ้นมารดาปัสสาวะทุก 2 ชั่วโมง
2.แนะนํามารดานับลูกดิ้น โดยแนะนําให้มารดานับ ลูกดิ้นหลังรับประทานอาหารอิ่มในแต่ละมื้อ นําทั้ง 3 มื้อรวมกัน ต้องไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง/วัน และต้อง บันทึกลูกดิ้น
3.ประเมินทารกโดยฟังการเต้นของหัวใจทารกใน ครรภ์และบันทึก on EFM โดยจัดท่ามารดานอน ตะแคงซ้าย
4.ให้ Dexamethasone 6 mg oral q 12 hours x 4 day ตามแผนการรักษาของแพทย์
5.สังเกตอาการข้างเคียงหลังการได้รับยา Dexamethasone 6 mg oral q 12 hours x 4 day อาการผิดปกติคือ กล้ามเนื้อเกร็งอ่อนแรง รู้สึก ชา หายใจตื้น มีอาการบวม มีอาการชัก เป็นต้น
6.ประเมิน FHS ถ้ามากกว่า 120-160 ครั้ง/ นาที หรือ irregular ให้รายงานแพทย์
7.แนะนํามารดามาตรวจครรภ์ตามนัด
มารดาตั้งครรภ์เสี่ยงต่อการ คลอดก่อนกําหนดเนื่องจากมี ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
SD:-มารดาบอกว่า “ลูกดิ้น น้อยลง ดิ้น 8 ครั้งต่อวัน” -มารดาบอกว่า “ท้องแข็งเวลา เดินมากๆ”
OD:- ut 7-8 min -มารดาหญิงตั้งครรภ์ GA 34+6 wks. ประวัติการตั้งครรภ์ G3 P2A0 มีประวัติคลอด C/S
-จากการสังเกตมารดามีเหงื่อออกที่มือและบริเวณใบหน้า
-FHS 150 bpm
กิจกรรการพยาบาล
แนะนําส่งเสริมให้มารดาปรับตัวเพื่อให้เกิดการ ยอมรับการตั้งครรภ์ ซึ่งหญิงตั้งครรภ์บางรายอาจ รู้สึกเป็น ทุกข์ กังวล
การรักษาความสะอาดร่างกายทั่วไปควรอาบน้ํา วันละ 2 ครั้ง เพราะต่อมใต้ผิวหนัง จะมีการทํางาน มากขึ้น มีเหงื่อออกมาก
แนะนําให้มารดาทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอก ทุกครั้งหลังปัสสาวะหรือ ขับถ่าย โดยเช็ด จากหน้าไปหลัง ซึ่งหญิงตั้งครภ์อาจมี ตกขาวเพิ่มข้ึน แต่หากมีลักษณะผิดปกติ มีมากกว่าปกติ มีสี มีกลิ่น ที่เปลี่ยนไปควรรีบมาพบแพทย์
ดูแลสุขภาพช่องปากควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือหลังมื้ออาหารทุกมื้อ เพราะหากมี ฟันผุ หากปล่อยไว้เชื้อโรคอาจลุกลามไปยังลูกใน ครรภ์ได้และอาจทําให้เกิด ภาวะคลอดก่อนกําหนด
หญิงตั้งครรภ์ควรงดการดื่มสุรา การสูบบุหรี่ รวมทั้ง บุหรี่มือ 2 จากคนรอบข้างหรือสารเสพติด อื่นๆ เพราะ กําหนดได้
แนะนํามารดานับลูกดิ้น โดยแนะนําให้มารดานับลูกดิ้นหลังรับประทานอาหารอิ่มในแต่ละมื้อนำทั้ง 3 มื้อรวมกัน ต้องไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง/วัน และต้องบันทึกลูกดิ้น
แนะนํามารดาหลีกเลี่ยงการทํางานที่ต้องใช้แรงมาก หรือยกของหนักร่วมถึงการขึ้นลงบันไดบ่อยๆ
งดมีเพศสัมพันธ์เพราะทําให้มดลูกเกิดการหดรัดตัวอาจทําให้เกิดการคลอดก่อนกําหนดได้
หากมีอาการมดลูกบีบตัวในไตรมาส 3 ควรรีบมาพบ แพทย์ทันที
แนะนําการมาตรวจตามนัดทุกครั้งหากมีอาการผิดปกติ แพทย์จะนัดถี่และบ่อยขึ้น
แนะนําให้มารดาผ่อนคลายหลีกเลี่ยงสถานการณ์ ที่มีผลต่อความเครียดควรหาวิธีการที่ช่วย เช่น การ ทําสมาธิ การฟังเพลง ดูหนังที่ชอบ การอ่านหนังสือ เป็นต้น
4.มารดามีความวิตกกังวล เนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับ โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกัน ภาวะแทรกซ้อน
ข้อมูลสนับสนุน
SD : -มารดาบอกว่า “ถ้าเรากิน น้อยลูกก็จะไม่ได้สารอาหาร เต็มที่อีกล่ะ เราเลยต้องกิน เยอะๆ”
-มารดาบอกว่า “วิตกกังวล เกี่ยวกับโรคเบาหวานและกลัว ทารกเสียชีวิตในครรภ์”
-มารดาบอกว่า “ชอบ รับประทานทุเรียนครั้งละ 1-2 พู”
OD : -มารดามีสีหน้าวิตกกังวล เมื่อแพทย์บอกให้ควบคุม อาหาร
-มารดาซักถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ผลกระทบของการเป็น โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
กิจกรรมการพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับมารดาตั้งครรภ์พุดคุย ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และเป็นมิตร เปิดโอกาสให้ มารดาได้ซักถามข้อสงสัย ปลอบใจมารดาว่ายัง มีหลายวิธีที่ช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้
ซักถามและเปิดโอกาสให้มารดาระบายความรู้สึก และความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเป็นโรคเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์
แนะนําเรื่องโภชนาการสําหรับมารดาตั้งครรภ์ที่ เป็นโรคเบาหวาน ในช่วงอายุ 19-50 ปี ให้แบ่งมื้อ อาหารหลักเป็น 3 มื้อ และเพิ่มมื้ออาหารว่าง 2–3 มื้อ โดยให้ความสําคัญกับการมีอาหารว่างมื้อก่อนนอน
คาร์โบไฮเดรต -คาร์โบไฮเดรตสําคัญต่อการควบคุมเบาหวาน เนื่องจากทารกในครรภ์มีความจําเป็นต้องใช้น้ําตาล เป็นพลังงานหลักเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของสมอง แหล่งอาหารที่พบ: ผลิตภัณฑ์จากข้าวแป้ง เผือก มัน ธัญพืช ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ วุ้นเส้น ขนมปัง เป็นต้น
โปรตีน -ในมารดาตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวานพบว่าโปรตีน อาจช่วยให้การตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้น
แหล่งอาหารที่พบ : โปรตีนที่ได้จาก ไขมัน เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ
ไขมันหรือน้ํามัน -ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ พบว่าไขมันนับเป็นพลังงานที่ดีสําหรับมารดา
แหล่งอาหารที่พบ : น้ํามันมะกอก น้ํามันรําขาว น้ํามันทานตะวัน น้ํามันข้าวโพด น้ํามันงา กะทิ
วิตามิน
-วิตามิน A ช่วยสร้างกระดูกและฟันของทารกใน ครรภ์ เช่น ผักใบเขียวต่างๆ
-วิตามิน D พบมากในอาหารจําพวกไข่แดง ตับ นม ปลาทะเล
-วิตามิน E เช่นน้ํามันรําข้าว เมล็ดทานตะวัน ถั่ว เหลือง
-วิตามิน B 1,2,6,12
-กรดโฟลิค ช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาทของ ทารกในครรภ์ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด เมล็ดถั่ว ต่างๆ
-วิตามิน C ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม
-แคลเซียม เช่น น้ํานม ผักใบเขียว
-เหล็ก ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง เช่น ตับ เครื่องใน ไข่แดง
-ฟอสฟอรัส ต้องต้องควบคู่กับแคลเซียมใน อัตรา 1:1 เช่นปลา ไข่ นม เนย และผักใบเขียว ชนิดต่างๆ
แนะนําให้มารดาตั้งครรภ์งดการรับประทาน น้ําอัดลมหรือน้ําที่มีรสหวาน งดผลไม้ที่รสหวาน เช่น ทุเรียน เงาะ ลําไย ขนุน มะม่วงสุก เป็นต้น
อธิบายเกี่ยวกับโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คือ ความหมาย
ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus:GDM) คือ ความผิดปกติในความทนต่อกลูโคสทุกระดับ ซึ่งเกิดขึ้นหรือได้รับ การวินิจเป็นครั้งแรก ในขณะตั้งครรภ์และตายไปแล้ว การคลอดเป็นภาวะแทรกซ้อนทางการกรรมที่พบ มากที่สุดขณะตั้งครรภ์และส่งผลกระทบต่อ หญิง ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ ปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 1.อ้วนมากหรือมีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 กิโลกรัม ต่อตารางเมตร
2.มีประวัติเคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในการ ตั้งครรภ์ครั้งก่อน
3.มีประวัติคลอดทารกน้ําหนักมากกว่า 4,000 กรัม
4.ตรวจพบน้ําตาลในปัสสาวะขณะตั้งครรภ์
5.มีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน
6.มารดาอายุมากกว่า 35 ปี
7.มีประวัติคลอดบุตรที่มีความพิการแต่กําเนิดหรือ ทารกเสียชีวิตในครรภ์โดยไม่ทราบสาเหตุ ผลของภาวะเบาหวานต่อการตั้งครรภ์
ด้านหญิงตั้งครรภ์ -ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์หรือครรภ์เป็น พิษ
-เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ -เพิ่มอัตราในการผ่าตัดคลอด เพิ่มความเสี่ยงการเป็น โรคเบาหวานในอนาคต -เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
-ภาวะแท้งบุตร
-ครรภ์แฝดน้ํา
ด้านทารกในครรภ์ -เพิ่มโอกาสการเกิดทารกพิการในครรภ์ -ภาวะทารกตัวโตรวมถึงเกิดการบาดเจ็บระหว่างการ คลอด -ทารกเกิดภาวะน้ําตาลในเลือดต่ำภายหลังการคลอด -เพิ่มความเสี่ยงการตายปริกําเนิด
แนะนําวิธีปฏิบัติเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน เช่น -รับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยสูงเพื่อการขับถ่ายที่ดี -ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น อกไก่ นม ถั่วเหลือง ปลาแซลม่อน ทูน่า -งดหรือลดปริมาณอาหารจําพวกแป้ง เช่น ข้าวขาว เปลี่ยนเป็นข้าวกล้อง ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น
แนะนําวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น ดูหนังที่ชอบ ฟังเพลง นั่งสมาธิ หรือทํากิจกรรมที่ชอบ แนะนําวิธี ฝึกการหายใจผ่อนคลายความเครียด คือฝึกการ หายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลมบริเวณหน้าท้อง แทนการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าอกเมื่อหายใจ เข้า หน้าท้องจะพองออก และเมื่อหายใจออก หน้า ท้องจะยุบลง ซึ่งจะรู้ได้โดยเอามือวางไว้ที่หน้าท้อง แล้วคอยสังเกตเวลาหายใจเข้าและหายใจออกหายใจ เข้าลึกๆ และช้าๆ กลั้นไว้ชั่วครู่แล้วจึงหายใจออก ควรทําติดต่อกันประมาณ 4-5 ครั้งและควรฝึกทุก ครั้งที่เครียด
สรุปปัญหา 11 แบบแผน
แบบแผนที่ 2 อาหารและการเผาผลาญสารอาหาร
น้ําหนักก่อนตั้งครรภ์ 83 kg สูง 162 cm ค่าดัชนีมวลกาย (BMI)=31.63 kg/m2 ปัจจุบันขณะตั้งครรภ์น้ําหนัก
92.3 kg ส่วนสูง 162 cm ค่าดัชนีมวลกายขณะตั้งครรภ์ (BMI) คือ 35.1 kg/m2 หลังจากที่แพทย์ตรวจครรภ์ แพทย์มีการแนะนําเรื่องการรับประทานอาหารให้มารดาตั้งครรภ์ควบคุมน้ําหนัก มารดาบอกว่า “ถ้าเรากิน น้อยลูกก็จะไม่ได้สารอาหารเต็มที่อีกล่ะ เราเลยต้องกินเยอะๆ”
แบบแผนที่ 7 การรับรู้อัตมโนทัศน์
มีสีหน้ากังวลเล็กน้อยเมื่อแพทย์แนะนําให้ควบคุมอาหาร จากการสอบถาม“มารดาบอก ว่าตนเองก็ควบคุมอาหารแล้วถ้าคุมมากกว่านี้กลัวว่าลูกจะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ”
แบบแผนที่ 10 การปรับตัวและการทนทานกับความเครียด
มารดากังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์กลัวว่าลูกจะเป็นอันตรายจากโรคที่เป็น เช่น ทารกเสียชีวิตในครรภ์ (Fetal distress) เนื่องจากมารดามีการซักถามถึงผลกระทบของโรคเบาหวานที่จะเกิดกับทารกในครรภ์ เมื่อ มารดารู้สึกเครียดเรื่องลูกเช่น กังวลว่าลูกจะปลอดภัยไหม ก็จะไประบายให้สามีฟัง สามีก็รับฟังและให้ คําปรึกษาได้เป็นอย่างด