AFI with DM very poor control with Hyperglycemia with Pneumonia with Hypertension

Pneumonia

ความหมาย

สาเหตุ

อาการ

การวินิจฉัย

การรักษา

โรคปอดอักเสบ (pneumonitis) หรือที่เรียกกันว่า ปอดบวม เป็นการอักเสบของเนื้อปอดที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะปอดอักเสบจากการติดเชื้อในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งบางครั้งการติดเชื้ออาจรุนแรงและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจึงควรได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไว้ก่อน

ปอดอักเสบจากการติดเชื้อ หรือ pneumonia (ปอดบวม) เป็นชนิดของปอดอักเสบที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเชื้อโรคที่เข้าสู่ปอดและทำให้เกิดการอักเสบของถุงลมปอดและเนื้อเยื่อโดยรอบ ได้แก่ เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ซึ่งเชื้อที่พบจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอายุ และสภาพแวดล้อมที่เกิดโรค เช่น ได้รับเชื้อจากที่ชุมชนทั่วไป หรือจากภายในโรงพยาบาล
ทั้งนี้ เชื้อแบคทีเรียที่พบมักได้แก่ เชื้อ Streptococcus pneumoniae, เชื้อ Haemophilus influenzae type b, เชื้อ Chlamydia pneumoniae, เชื้อ Legionella spp. และเชื้อ Mycoplasma pneumoniae ส่วนเชื้อไวรัส ได้แก่ เชื้อ Respiratory Syncytial Virus (RSV), เชื้อ Influenza หรือเชื้อไข้หวัดใหญ่ และเชื้อราจากมูลนกหรือซากพืชซากสัตว์

ปอดอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น เกิดจากการหายใจเอาสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น ฝุ่น ควัน สารเคมีที่ระเหยได้ นอกจากนี้ การใช้ยาปฏิชีวนะ ยาเคมีบำบัด และยาสำหรับควบคุมการเต้นของหัวใจบางชนิดก็อาจทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบได้

ไอมีเสมหะ เจ็บหน้าอกขณะหายใจหรือไอ หายใจเร็ว หายใจหอบ หายใจลำบาก มีไข้ เหงื่อออก หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย อ่อนเพลีย ผู้สูงอายุอาจมีอาการซึม ความรู้สึกสับสน อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ เด็กเล็กอาจมีอาการท้องอืด อาเจียน ซึม ไม่ดูดนมหรือน้ำ
ทั้งนี้ ระดับความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ อายุ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

แพทย์วินิจฉัยโรคปอดอักเสบได้โดยการซักประวัติ สอบถามอาการโดยเฉพาะอาการไอแบบมีเสมหะ มีไข้ และหายใจหอบในกรณีที่สงสัยว่าเกิดจากการติดเชื้อ ร่วมกับการตรวจร่างกาย เช่น ฟังเสียงปอด และเอกซเรย์ปอด นอกจากนี้ ยังมีการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคและแยกเชื้อที่เป็นสาเหตุ ได้แก่

  • ตรวจนับเม็ดเลือดขาวในเลือด เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ แต่ยังไม่สามารถแยกชนิดของเชื้อโรคได้อย่างชัดเจน -ตรวจวัดออกซิเจนในเลือด เพื่อดูประสิทธิภาพของปอดในการลำเลียงออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดว่าลดลงหรือไม่
  • ตรวจและเพาะเชื้อจากเสมหะและเลือด เพื่อหาชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรค
  • การให้ยาปฏิชีวนะ ใช้ในกรณีของการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่คิดว่าเป็นสาเหตุของโรคจากข้อมูลทางคลินิกและทางระบาดวิทยา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างแพร่หลายอาจทำให้เชื้อบางชนิด เช่น Streptococcus pneumoniae มีการดื้อยาเพิ่มมากขึ้น
    
  • การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ สำหรับผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส และเชื้ออื่นๆ ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดไข้ ยาขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ให้ออกซิเจน และทำกายภาพบำบัดทรวงอก เป็นต้น
    
การรักษาภาวะแทรกซ้อน เป็นกรณีที่พบได้ในกลุ่มเสี่ยง โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้แก่ เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายจากปอดเข้าสู่กระแสเลือดส่งผลให้อวัยวะอื่นๆ ติดเชื้อตามไปด้วย บางรายอาจพบฝีในปอด หรือเกิดภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดที่จำเป็นต้องเจาะหรือดูดออก ในรายที่อาการรุนแรงมาก ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตและจำเป็นต้องใส่ท่อเข้าหลอดลมร่วมกับเครื่องช่วยหายใจ

Hypertension

Hyperglycemia

DM very poor control

AFI
(Acute febrile illness)

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล

  1. ผู้ป่วยมีภาวะสับสน ถามตอบไม่ได้
  2. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน จากการใช้ High flow nasal cannula
  3. เสี่ยงต่อภาวะช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูง
  4. ผู้ป่วยมีการติดเชื้อของบาดแผลที่บริเวณเท้า

ความหมาย

สาเหตุ

อาการ

การวินิจฉัย

การรักษา

ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่พบบ่อย บางรายอาจมีภาวะดังกล่าวนานหลายปีโดยไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตามแม้จะไม่แสดงอาการ แต่สร้างความเสียหายต่อหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งสามารถตรวจพบความเสียหายเหล่านี้ได้ ความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพเรื้อรังอื่น ๆ เช่น หัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งนี้ ภาวะความดันโลหิตสูงมักจะพัฒนาต่อเนื่องในช่วงหลายปีและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย

-ความดันโลหิตสูงชนิด Primary Hypertension ความดันโลหิตสูงประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพัฒนาขึ้นในช่วงหลายปี
-ความดันโลหิตสูงชนิด Secondary Hypertension ความดันโลหิตสูงประเภทนี้เกิดจากสภาวะสุขภาพพื้นฐานโดยจะปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
สาเหตุโรคความดันโลหิตสูงและอาการความดันสูงแบบเฉียบพลัน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง อาจประกอบไปด้วยเงื่อนไขทางสุขภาพและยาดังต่อไปนี้
-ปัญหาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น
-โรคไต
-โรคต่อมไทรอยด์
-ความผิดปกติของหลอดเลือด
-เนื้องอกที่ต่อมหมวกไต
-การใช้สิ่งเสพติดที่ผิดกฎหมาย ตัวอย่างเช่น โคเคนและยาบ้า
-ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยารักษาโรคไข้หวัด ยาลดความอ้วน ยาแก้ปวด และยาอื่นๆ

อาการปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะตุบๆ เหมือนไมเกรน ในผู้ป่วยที่เป็นมานาน อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ และเมื่อมีอาการมากอาจโคมา และเสียชีวิตได้

  1. ออกกำลังกายแบบแอโรบิก หมายถึงการออกกำลังกาย ที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา เช่น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายนํ้า อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย วันละ 15-30 นาที 3-6 วันต่อสัปดาห์ และการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  2. ลดปริมาณแอลกอฮอล์ให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
  3. งดบุหรี่
  4. ลดเครียด
  5. รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ โดยการลดอาหารเค็มจัด ลดอาหารมัน เพิ่มผักผลไม้ เน้นอาหารพวกธัญพืช ปลา นมไขมันต่ำ ถั่ว รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ หลีกเลี่ยงเนื้อแดง น้ำตาล เครื่องดื่มที่มีรสหวานจะทำให้ระดับความดันโลหิตลดลงได้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่เพราะมียาบางตัวทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้
  6. ปรึกษาแพทย์ถ้าต้องใช้ยาคุมกำเนิด

-ความดันปกติ ระดับความดันที่ต่ำกว่า 120/80 มม. ถือว่าอยู่ในระดับปกติ
-ความดันสูงเล็กน้อย ความดันโลหิตระหว่าง 120/80 – 129/80 มม.
-ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1 หากความดันโลหิตอยู่ระหว่าง 130-139/80-89 มม. ปรอทถือว่าเป็นความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
-ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2 หากความดันโลหิตมีค่าเกินกว่า 140/90 ขึ้นไปถือเป็นความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรงและถือว่าเป็นความดันโลหิตสูงระยะที่ 2

ความหมาย

สาเหตุ

อาการ

การวินิจฉัย

การรักษา

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ หากสงสัยว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่พบว่าไม่มีอาการที่แสดงชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาให้ตรวจเลือดเพิ่มเติมตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือด หากค่าน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรัมหากอาการหายไป ภายหลังจากการรับประทานอาหารหวาน ก็แสดงว่าอาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

มักเกิดจากการกินอาหารน้อยไปหรือไม่ตรงเวลา กินยาลดระดับน้ำตาลในเลือดบางชนิดเกินขนาด หรือฉีดยาอินซูลินมากเกินไป รวมถึงอาจเกิดจากการออกกำลังกาย หรือทำงานมากกว่าปกติ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตรมักทำให้เกิดอาการใจสั่นอ่อนเพลียซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นสูงกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลหรือฉีดอินซูลิน

เหงื่อออก ไม่มีแรง เวียนศีรษะ สับสน ผิวหนัง เย็นอ่อนเพลีย ตาพร่า หิวบ่อย ตัวสั่น ชักขาดสติ หัวใจเต้นเร็วอาการโคม่า

การรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มีเป้าหมาย คือ การเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นจนกลับมาสู่ภาวะปกติ และการรักษาสาเหตุเบื้องหลัง รวมไปถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการรักษาและการดูแลตนเองการรักษาด้วยตนเองในเบื้องต้นจะขึ้นอยู่กับอาการ หากมีอาการระยะเริ่มต้นมักจะรักษาได้ด้วยการบริโภคคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbohydrates) ปริมาณ 15-20 กรัม โดยอาจเลือกรับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งต่อไปนี้

-น้ำผึ้งและน้ำตาล ประมาณ 1 ช้อนชา
-เครื่องดื่มที่มีรสชาติหวาน ประมาณ 120 มิลลิลิตร อย่างน้ำผลไม้ หรือ ION Drink ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงกับของเหลวในร่างกาย สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นและทดแทนปริมาณน้ำตาลในเลือดที่ต่ำกว่าปกติ
-ลูกอม กลูโคสแบบเม็ด หรือแบบเจล โดยอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อรับประทานในปริมาณที่ถูกต้อง

ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือไขมัน เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้า หลังจากนั้น 15 นาที ให้ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด หากระดับน้ำตาลในเลือดยังต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำยังไม่ดีขึ้น ให้บริโภคคาร์โบไฮเดรตเพิ่มอีก 15-20 กรัม และให้ตรวจสอบซ้ำอีกครั้งในอีก 15 นาที และให้ปฏิบัติซ้ำตามวิธีข้างต้นจนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรหรือมีอาการดีขึ้น

เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดกลับมาสู่ภาวะปกติ ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารเพื่อช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายกักเก็บไกลโคเจนที่อาจเสียไปจากการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

หากผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรง และไม่สามารถรับประทานอาหารหรือน้ำตาลได้ อาจจำเป็นต้องฉีดกลูคากอน (Glucagon) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด โดยชุดอุปกรณ์ฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon Kit) ชนิดที่สามารถใช้ได้เองนั้นยังไม่ได้รับการรับรองในประเทศไทย จึงควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล เพื่อรับกลูโคสผ่านทางหลอดเลือดดำ และควรระวังอย่าให้ผู้ป่วยที่หมดสติรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่ม เพราะผู้ป่วยอาจสำลักอาหารหรือเครื่องดื่มเข้าสู่ปอดได้

ความหมาย

สาเหตุ

อาการ

การวินิจฉัย

การรักษา

ความผิดปกติที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลด

-การตรวจพบน้ำตาล ขณะอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง มากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
-การตรวจพบระดับน้ำตาล 2 ชั่วโมงหลังรับประทานน้ำตาล 75 กรัม มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

-การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) มากกวาหรือเท่ากับ 6.5 %
-ในผู้ป่วยที่มีอาการของน้ำตาลสูง ร่วมกับตรวจพบน้ำตาลสูงมากกว่าเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
-
โดยแนะนำให้ตรวจวินิจฉัย 2 ครั้ง หากไม่มีอาการชัดเจน*

  1. ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย อ่อนเพลีย
  2. รับประทานอาหารมากแต่น้ำหนักลด
  3. อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตา ไตวาย และแผลเรื้อรังที่เท้า
  4. อาจมีอาการเลือดเป็นกรดจากน้ำตาลสูงมาก ซึม หายใจหอบ

เบาหวานชนิดที่ 1 – เกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายเซลล์สร้างอินสุลินในตับอ่อน ทำให้เกิดภาวะขาดอินสุลิน
เบาหวานชนิดที่ 2 – เกิดจากภาวะการลดลงของการสร้างอินสุลิน ร่วมกับภาวะดื้ออินสุลิน และมักเป็นกรรมพันธุ์
เบาหวานชนิดพิเศษ – สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดนี้อาจเกิดจากความความผิดปกติของตับอ่อน หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับการทำงานที่ผิดปกติของอินสุลินโดยกำเนิด
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ – เบาหวานชนิดนี้เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์และหายไปได้หลังคลอดบุตร แต่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

การรักษาโรคเบาหวาน เป็นการรักษาที่ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากแพทย์ พยาบาล โภชนากร และ ที่สำคัญที่สุดคือตัวผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยต้องตระหนักถึงความสำคัญของการรักษา โดยต้องเข้าใจก่อนว่า โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงปกติที่สุดได้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงทำงานประจำได้ตามปกติหากแต่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติโดยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้มาก

การควบคุมอาหาร
การรักษาโรคเบาหวานด้วยวิธีการควบคุมอาหารมีความสำคัญมากในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และถือเป็นการรักษาหลักที่ผู้ป่วยเบาหวานทุกรายควรเข้าใจและปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยอาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานได้อย่างไม่จำกัดจำนวนได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ขาว เป็นต้น อาหารบางชนิดที่สามารถรับประทานได้ในปริมาณจำกัด เช่น ผลไม้ แนะนำให้รับประทานผลไม้ชนิดหวานน้อย เช่นฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร เป็นต้น

การออกกำลังกาย
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานการออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาโรคเบาหวานที่สำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้อินสุลินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนะนำว่าควรออกกำลังกายชนิดแอโรบิค เช่น วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และออกกำลังกายชนิดต้านน้ำหนัก เช่น การยกเวท เป็นเวลาอย่างน้อย 45 นาทีต่อวัน 2 วันต่อสัปดาห์ และไม่ควรนั่งอยู่เฉย ๆ หรือนอนเล่นพักผ่อนเกิน 90 นาที หากเกินควรลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบท

การใช้ยา
การรักษาโรคเบาหวานโดยการใช้ยา แพทย์จะพิจารณาจากชนิดของโรคเบาหวาน เช่น เบาหวานชนิดที่ 1 ควรรักษาโดยการฉีดอินสุลินเท่านั้น ส่วนในเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์จะพิจารณาตามความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อน โอกาสการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ และเศรษฐานะของผู้ป่วยเพื่อประกอบการพิจารณาในการเลือกใช้ยา

สาเหตุของโรคเบาหวานเกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงมากขึ้นถึงระดับหนึ่ง จนทำให้ไตดูดกลับน้ำตาลได้ไม่หมด ซึ่งปกติไตจะมีหน้าที่ดูดกลับน้ำตาลจากสารที่ถูกกรองจากหน่วยไตไปใช้ ส่งผลให้มีน้ำตาลรั่วออกมากับปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของคำว่า “โรคเบาหวาน” หากเราปล่อยให้เกิดภาวะเช่นนี้ไปนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมาในที่สุด

ความหมาย

สาเหตุ

อาการ

การวินิจฉัย

การรักษา

  1. โรคติดเชื้อไวรัส ซึ่งอาการไข้เฉียบพลันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสเป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุด
  2. โรคติดเชื้อในกลุ่ม Rickettsai ได้แก่ โรคมูรีนไทฟัส ที่มีลักษณะอาการป่วยคล้ายกับไข้ รากสาดใหญ่แต่อาการที่เกิดขึ้นของโรคจะมีความรุนแรงน้อยกว่า หรือโรคไข้รากสาดใหญ่หรือโรคสคับไทฟัส ที่มักมีไรอ่อนเป็นพาหะนำโรค ซึ่งอาการของโรคไข้รากสาดใหญ่จะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับลักษณะอาการไข้เฉียบพลันจากติดเชื้อไวรัส
  3. โรคติดเชื้อแบคทีเรีย

คลื่นไส้ ซึมลง เบื่ออาหาร มีไข้ อ่อนเพลีย

การเช็คตัวลดไข้
การให้ยาลดไข้ เช่น paracetamol
การให้ยาฆ่าเชื้อ

-จากการซักประวัติ
-การตรวจร่างกาย
-การตรวจห้องปฏิบัติการ

อาการไข้เฉียบพลัน ( Acute Febrile illness : AFI ) คือ อาการไข้ที่ร่างกายมีอุณหภูมิมากกว่า 37.2 องศาเซลเซียนในช่วงเช้าและอุณหภูมิ 37.7 ในช่วงเย็น ซึ่งอาการไข้ที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งอาการไข้จะแสดงอาการให้เห็นและสามารถทำการวินิจฉัยได้ตั้งแต่เริ่มมีอาการไข้ อาการไข้ชนิดนี้จะเกิดร่วมกับอาการของระบบอื่นเสมอ เช่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร คลื่นไส้หรืออาเจียน เป็นต้น มักไม่เกิดอาการไข้เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าอาการไข้ที่เกิดขึ้นนานเกิน 2 สัปดาห์จะเรียกว่า “ ไข้กึ่งเฉียบพลัน ( Subacute fever ) ” [adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

ซึ่ง อาการไข้เฉียบพลันที่แสดงออกมามักไม่สามารถทำการวินิจฉัยอย่างชัดเจน ( Definite diagnosis ) จึงต้องทำการซักประวัติ ทำการตรวจร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น เช่น การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ ( Complete Blood Count : CBC ) , การตรวจปัสสาวะ ( Urinalysis หรือ UA ) , การตรวจเอกซเรย์ทรวงอก ( chest x-ray , CXR ) ที่เรียกว่า อาการไข้เฉียบพลันที่ไม่ทราบสำเหตุ ( Acute fever / pyrexia of unknown origin , AFUO ) หรือภาวะไข้เแบบเฉียบพลันที่เมื่อทำการตรวจแล้วไม่พบการติดเชื้อที่อวัยวะหรือระบบใด ( acute undifferentiated fever )

อาการไข้เฉียบพลัน จัดเป็นอาการป่วยที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด และมีจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับการรัษาทางการแพทย์มากที่สุดอีกอาการหนึ่ง สาเหตุของอาการไข้เฉียบพลันมักเกิดเนื่องจากโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งสาเหตุสามารถบ่งบอกหรือวินิจฉัยได้จากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย ที่นำมาซึ่งแนวทางการรักษาอย่างได้ผล แต่บางครั้งอาการไข้เฉียบพลันที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถวินิจฉัยหาสาเหตุได้ในระยะแรก เนื่องจากไม่ร่างกายยังไม่แสดงอาการส่งผลให้ตรวจไม่พบอาการหรือลักษณะที่ผิดปกติ ดังนั้นพื่อหาสาเหตุจึงจำเป็นต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการและทำการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด แพทย์จึงจะสามารถทำการวินิจฉัยสาเหตุและแนวทางในการรักษาได้

ข้อมูลผู้ป่วย

ผู้ป่วยชายไทย อายุ 60 ปี ผิวสีดำ ผมสีขาวดำ ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวบนเตียง พูดคุยไม่รู้เรื่อง ถามตอบไม่ได้

CC : เหนื่อยเพลีย DTX 583 mg %

PI : 09.23 น. รับแจ้ง เหนื่อยเพลีย มีไข้ ไม่ทราบเป็นมากี่วัน

PH : Diabetes Mellitus , Hypertension ขาดยา 2 เดือน

กรณีศึกษา
มีการติดเชื้อจากที่ชุมชนทั่วไป หรือจากภายนอกโรงพยาบาล

กรณีศึกษา
มีอาการ เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก On O2 high flow
อ่อนเพลีย มีไข้ ซึม สับสน

กรณีศึกษา
ได้รับการวินิจฉัยจากการตรวจเพาะเชื้อจากเลือด

กรณีศึกษา
ได้รับการรักษาด้ายยาปฏิชีวนะ และสารน้ำทางหลอดเลือดดำ

กรณีศึกษา
ความดันโลหิตสูงชนิด Primary Hypertension ความดันโลหิตสูงประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพัฒนาขึ้นในช่วงหลายปี

กรณีศึกษา
มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย หมดสติ

กรณีศึกษา
เป็นความดันในระยะที่ 1

กรณีศึกษา
อยู่ในการดูแลของแพทย์

กรณีศึกษา
ไม่มีการดูแลตนเอง เนื่องจากขาดความรู้ และความสนใจ

กรณีศึกษา
มีอาการ ไม่มีแรง สับสน อ่อนเพลีย

กรณีศึกษา
ผู้ป่วยขาดยา 2 เดือน

กรณีศึกษา
ผู้ป่วยรักษาด้วยการรับประทานยา แต่ขาดยามาแล้ว 2 เดือน

กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลสูงถึง 583 mg %

กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีอาการ แผลติดเชื้อที่เท้า อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ซึม หายใจหอบเหนื่อย

กรณีศึกษา
ผู้ป่วยขาดยานานถึง 2 เดือน

กรณีศึกษา
ผู้ป่วยได้รับยา ลดไข้ ยาฆ่าเชื้อ

กรณีศึกษา
ผู้ป่วยได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจร่างกาย การซักประวัติ จากญาติ

กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีอาการ ซึม สับสน มีไข้ อ่อนเพลีย