Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

COVID-19 - Coggle Diagram

- - - - เป็นไวรัส SARS CoV-2 ที่มีพันธุกรรมกลายพันธุ์หลายตำแหน่ง (มากกว่า 50 จุด)
      - WHO ให้เป็น VOC (Variant of Concern)
      - เริ่มเจอครั้งแรกที่แอฟริกาใต้ ตัวอย่างแรกเก็บวันที่ 9 พ.ย. 2564
      - ดื้อต่อยาต้านไวรัสมากขึ้น และหลบหลีกต่อภูมิคุ้มกันและวัคซีนที่มีใช้อยู่
      - โดยรวมมีอาการน้อยกว่าสายพันธุ์Delta แต่มีความสามารถในการแพร่กระจายได้มากกว่าและไวกว่า โดยมีค่า R0 = 8.54 (Original Wuhan = 2.5, Delta = 6.5)
      - ลักษณะอาการ
        
        ไอ 54%
        
        เจ็บคอ 37%
        
        ไข้ 29%
        
        ปวดกล้ามเนื้อ 15%
        
        มีน้ำมูก 12%
        
        ปวดศีรษะ 10%
        
        พบปัญหาปวดกล้ามเนื้อได้บ่อยกว่า Delta ชัดเจน และพบอาการเมื่อยล้าอ่อนเพลียได้บ่อย
        
        ไม่ค่อยพบการได้กลิ่นหรือการรับรสลดลง
        
        พบปัญหาปอดอักเสบน้อยกว่า Delta (ซึ่ง Delta มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่มากที่สุด)
- - - - ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยแยกตัวที่บ้าน (Out-patient with self Isolation)
      - ให้ดูแลรักษาตามอาการดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เช่น favipiravir เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง
      - อาจพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรตามดุลยพินิจของแพทย์
    - - อาจพิจารณาให้ favipiravir ควรเริ่มยาโดยเร็วที่สุด ตามดุลยพินิจของแพทย์
      - หากตรวจพบเชื้อเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการหรืออาการน้อยไม่จำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพราะผู้ป่วยจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
    - - ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง ได้แก่
        
        1.อายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป
        
        2.โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) (GOLD grade 2 ขึ้นไป) รวมโรคปอดเรื้อรังอื่นๆ
        
        3.โรคไตเรื้อรัง (CKD) (stage 3 ขึ้นไป)
        
        4.โรคหัวใจและหลอดเลือด (NYHA functional class 2 ขึ้นไป) รวมโรคหัวใจแต่กำเนิด
        
        5.โรคหลอดเลือดสมอง
        
        6.เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
        
        7.ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือ BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 30 กก./ตร.ม.)
        
        8.ตับแข็ง (Child-Pugh class B ขึ้นไป)
        
        9.ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เป็นโรคที่อยู่ในระหว่างได้รับยาเคมีบำบัดหรือยากดภูมิหรือ corticosteroid equivalent to prednisolone 15 มก./วัน นาน 15 วัน ขึ้นไป)
        
        10.ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่มี CD4 cell count น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
        
        แนะนำให้ยาต้านไวรัสเพียง 1 ชนิด โดยควรเริ่มภายใน 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการจึงจะได้ผลดี ให้ยาตามตารางที่1 โดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้ ได้แก่ ประวัติโรคประจำตัว ข้อห้ามการใช้ยา ปฏิกิริยาต่อกันของยาต้านไวรัสกับยาเดิมของผู้ป่วย (drug-drug interaction) และการบริหารเตียง ความสะดวกของการให้ยารวมถึงปริมาณยาสำรองที่มี
        
        ตารางที่ 1 การให้ยาต้านไวรัสในผู้ป่วยกลุ่มที่3
        
        ไม่มีปัจจัยเสี่ยง
        
        Favipiravir
        
        ปัจจัยเสี่ยง 1 ข้อ
        
        Molnupiravir หรือ Remdesivir** หรือ Nirmatrelvir/ritonavir หรือ Favippiravir
        
        มีปัจจัยเสี่ยง มากกว่าหรือเท่ากับ 2 ข้อ
        
        Remdesivir** หรือ Nirmatrelvir/ritonavir หรือ Molnupiravir
        
        หมายเหตุ
        
        ลำดับการให้ยากลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง 1 ข้อ ดังนี้
        
        Molnupiravir
        
        2.Remdesivir (เป็นเวลา 3 วัน)
        
        3.Nirmatrelvir/ritonavir
        
        4.Favipiravir
    - - a. แนะนำให้ remdesivir โดยเร็วที่สุดเป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิก ควรติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ร่วมกับให้ corticosteroid
- - - - ข้อดี : ผลิตได้ง่าย เร็ว ปรับสูตรง่าย ขณะนี้ใช้ไปแล้วกว่า 4 ล้านโด๊ส พบว่าปลอดภัยดี ยกเว้นแพ้นาโนพาร์ติเคิล รุนแรงได้
      - ข้อด้อย : ต้องเก็บเย็นมาก -20/-70 องศา
    - - ข้อดี : เลียนแบบการติดเชื้อธรรมชาติ อาจจะใช้เพียงเข็มเดียวได้ ผลิตได้ง่าย เร็ว ปลอดภัย
      - ข้อด้อย : อาจจะไม่ได้ผลดีในผู้ที่เคยติดเชื้อหวัดอะดีโนมาก่อน ไม่ควรใช้ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
    - - ข้อดี : ผลิตได้ง่าย เร็ว ราคาไม่แพง เคยมีประสบการณ์การใช้มาก่อนอย่างดี
      - ข้อด้อย : ต้องใช้ adjuvant เพื่อให้ตอบสนองดี
    - - ข้อดี : เคยมีประสบการณ์การใช้มาก่อนอย่างดี มีการใช้กว่า 10 ล้านโด๊สในจีน แต่ข้อมูลไม่มากนัก
      - ข้อด้อย : ราคาแพงเพราะผลิตได้ช้า