Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Windows 11 - Coggle Diagram
Windows 11
-
Windows 10 เปิดตัวในปี 2015 โดยเปลี่ยนมาใช้แนวทาง Windows as a Service ออกฟีเจอร์ใหม่เรื่อยๆ ปีละสองครั้ง พลิกแนวทางของระบบปฏิบัติการตระกูลวินโดวส์ที่ออกอัพเดตใหญ่เวอร์ชันใหม่ทุกประมาณ 3 ปี (Vista-7-8 ออกห่างกัน 3 ปี)
ก่อนหน้านี้ทุกคนเชื่อกันว่า Windows 10 จะเป็นวินโดวส์เวอร์ชันสุดท้าย เพราะไมโครซอฟท์จะออกอัพเดตย่อยไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเราก็ได้พบกับ Windows 11 แบบเหนือความคาดหมาย อย่างไรก็ตาม ด้วยการเปลี่ยนแปลงภายในที่ไม่เยอะนัก (ยกเว้น UI) เราอาจมองว่า Windows 11 เปรียบเสมือนอัพเดตใหญ่ (Feature Release) อีกตัวหนึ่งของ Windows 10 ที่มีของใหม่เยอะหน่อย หรือถ้านับเป็นเลขเวอร์ชัน ก็อาจเป็น Windows 10.5 ก็ได้เช่นกัน
หากธีมหลักของ Windows 10 คือ "การกลับสู่เดสก์ท็อป" หลังจากไปหลงทางในโลกแท็บเล็ตกับ Windows 8 อยู่หลายปี
ธีมหลักของ Windows 11 สามารถนิยามได้สั้นๆ ว่าไมโครซอฟท์ได้รับอิทธิพลจาก OS ใหม่ๆ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน ทำให้ต้องปรับหน้าตาของ Windows 11 ไปในทิศทางดังกล่าว เพื่อจับกลุ่มผู้ใช้งานรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับยุคสมาร์ทโฟนให้มากขึ้น
แต่นั่นเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงภายนอกเท่านั้น เพราะตัวแกนหลักของ Windows 11 ยังเป็นแกนเดียวกับ Windows 10 เหมือนเดิม ยังให้ความรู้สึกแบบเดิมๆ ไม่ต่างอะไรจาก Windows 10 มากนัก
-
-
ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดของ Windows 11 และได้รับความสนใจยิ่งกว่าตัวระบบปฏิบัติการเองเสียอีก คือ ข้อกำหนดสเปกฮาร์ดแวร์ขั้นต่ำที่สร้างการถกเถียงอย่างมาก (สเปกละเอียด)
Blognone เคยลงข่าวเรื่องสเปกขั้นต่ำของ Windows 11 ไปแล้วหลายครั้ง ถ้าให้สรุปแบบสั้นๆ จุดที่เป็นประเด็นมากๆ มีอยู่ 2 เรื่องคือ
-
-
สเปกทั้งสองข้อนี้ทำให้มีพีซีจำนวนมากที่ไม่สามารถไปต่อกับ Windows 11 ได้ (อย่างเป็นทางการ) และการที่พีซีเหล่านี้มีอายุไม่มากนัก (ผมมีโน้ตบุ๊กที่เป็น Core i7-7700HQ อายุ 4 ปีกว่าๆ ก็ไม่ได้ไปต่อ แม้มีชิป TPM 2.0 ก็ตาม) จึงไม่น่าแปลกใจที่รอบนี้ไมโครซอฟท์ถูกผู้ใช้วิจารณ์อย่างหนัก เพราะถือเป็นการฉีกธรรมเนียมเดิมๆ ของไมโครซอฟท์ในฐานะ "เจ้าพ่อแห่งความเข้ากันได้" ที่ลากยาวพีซีเก่าๆ มาได้ตลอดมาหลายสิบปี
แต่ถูกถล่มหนักแค่ไหน ไมโครซอฟท์ดูแน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจในเรื่องนี้ ไม่ยอมผ่อนปรนเรื่องซีพียูหรือ TPM ดังนั้น ทางออกของคนที่ใช้พีซีที่สเปกไม่ถึงเกณฑ์ คงมีแค่เพียงอยู่กับ Windows 10 ต่อไป ซึ่งจะซัพพอร์ตนานถึงปี 2025 หรืออีก 4 ปีถัดจากนี้
-
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของ Windows 11 คือการเปลี่ยนส่วนติดต่อผู้ใช้ (ในที่นี้คือ shell) ของ Windows 10 ให้ทันสมัยขึ้น
เท่าที่ลองใช้มา ธีมการออกแบบ Windows 11 ของไมโครซอฟท์มีอยู่ 2 แนวทางควบคู่กันไป ได้แก่ ออกแบบให้หน้าตาสวยขึ้น (beautified) และออกแบบให้การใช้งานเรียบง่ายขึ้น (simplified)
คำว่าหน้าตาสวยขึ้น ต้องย้อนไปถึงแนวทาง Fluent Design ที่ไมโครซอฟท์เริ่มทำมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว มันคือการอัพเกรดระบบการออกแบบ (design system) ครั้งใหญ่ของไมโครซอฟท์นับตั้งแต่ Windows 8 (2012) ที่ใช้แนวทาง Metro ไอคอนแบนราบบนพื้นสีเดียว ก่อนที่ทยอยมาเป็น Fluet Design ที่เน้นแสงเงามากขึ้นใน Windows 10 รุ่นหลังๆ และโตเต็มวัยใน Windows 11 (2021) กระบวนการทั้งหมดกินเวลานาน 9 ปี การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีผลแค่วินโดวส์ แต่ยังรวมถึงแอพอื่นของไมโครซอฟท์แทบทุกตัวด้วย
-
ธีมหลักอันที่สองของ Windows 11 คือเรียบง่ายขึ้น (simplified) ตรงนี้ชัดเจนว่าไมโครซอฟท์ได้อิทธิพลอย่างมากจากระบบปฏิบัติการใหม่ๆ โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการมือถือ (Android/iOS) และระบบปฏิบัติการเดสก์ท็อปยุคใหม่ (Chrome OS)
ผมคิดว่าปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ไมโครซอฟท์หันมาทางนี้คือ demographic ของผู้ใช้งานรุ่นใหม่ๆ ที่เติบโตมากับสมาร์ทโฟน เกิดมาก็เจอสมาร์ทโฟนแล้ว มีวิธีคิดที่ต่างไปจาก demographic กลุ่มที่เติบโตมากับพีซี มีความคาดหวังแตกต่างกันไป
ผู้ใช้กลุ่มใหม่นี้มีความคุ้นเคยกับ OS บนมือถือที่มีไอคอน มี launcher มีแถบแจ้งเตือน มี widget แสดงผลข้อมูลโดยไม่ต้องเปิดแอพก่อน ปัจจัยเหล่านี้ส่งอิทธิพลต่อไมโครซอฟท์อย่างชัดเจน ในการออกแบบ Start Menu และ Taskbar แบบใหม่ที่เรียบง่ายขึ้นมากเพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ แต่กลับตัดฟีเจอร์เดิมๆ ออกไปเกือบหมด (อย่างตั้งใจ) จนทำให้ฐานผู้ใช้ยุคเก่าไม่พอใจ
-
-
-
-
-
-