Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดในการกระทำของผู้อื่น - Coggle Diagram
ความรับผิดกระทำละเมิดในการกระทำของผู้อื่น
1.) ความรับผิดของนายจ้างในผลแห่งการละเมิดของลูกจ้างในทางการที่จ้าง
ความรับผิดของนายจ้าง
ความรับผิดของนายจ้างจะมีอยู่เฉพาะเมื่อลูกจ้างได้กระทำการอันเป็นความเสียหายระหว่างที่ตนกำลังปฏิบัติการตามหน้าที่ การที่ลูกจ้างได้กระทำไปนั้นต้องเป็นการปฏิบัติให้งานลุล่วงไป แหละเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการปฏิบัติงานนั้น มิใช่เป็นแต่เพียงเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ลูกจ้างกำลังปฏิบัติงานที่จ้างอยู่เท่านั้นหรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง นายจ้างไม่ต้องรับผิดในกรละเมิดของลูกจ้างเพียงแต่การละเมิดนั้นได้เกิดขึ้นในเวลาที่ลูกจ้างเกี่ยวข้องกับกับงานของนายจ้าง
ลูกจ้างทำละเมิดในทางการที่จ้าง
มีหลักกฎหมายทั้วไปว่า
“ผู้ใดทำสิ่งใดโดยบุคคลอื่นเท่ากับทำด้วยตนเอง”
แต่หลักที่ว่านี้ใช้เฉพาะแต่การที่ได้รับมอบอำนาจ ไม่ใช้แก่การกระทำในทางการที่ต้าง ซึ่งแม้ลูกจ้างจะเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้รับมอบอำนาจโดยเฉพาะ ในการที่นายจ้างต้องรับผิดในการละเมิดของลูกจ้างในทางการที่ต้างนั่นไม่ใช่เพราะว่ามอบอำนาจให้กระทำแทน แต่เป็นเพราะลูกจ้างได้เกี่ยวข้องกับงานที่จ้าง นายจ้างจึงต้องดูว่างานนั้นได้ปฏิบัติไปโดยความเอาใจใส่ต่อความปลอดภัยหรือผลประของบุคคลอื่นด้วยหรือไม่
การที่จะพิจารณาว่าการกระทำละเมิดของลูกจ้างได้เกิดขึ้นในทางการที่จ้างหรือไม่นั้นก็ต้องพิเคราะห์ดูว่าได้จ้างกันให้ทำงานชนิดใด ประเภทใด ลักษณะของงานที่จ้างเป็นอย่างไรเสียก่อน แล้วจึงจะได้พิจารณากันต่อไปว่าการละเมิดนั้นได้เกิดขึ้นใรทางการที่จ้างหรือไม่ เพราะขอบเขตอำนาจย่อมรู้หรือส่อให้เห็นได้จากลักษณะของงานนั้นๆ ทั้งยังต้องพิจารณาต่อไปอีกว่าขณะที่มีการละเมิดนั้น ลูกจ้างได้ปฏิบัติงานตามที่จ้างมาหรือเกี่ยวข้องในงานของนายจ้างหรือไม่ ลูกจ้างต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของนายจ้าง
สิทธิไล่เบี้ย
มาตรา 427 บัญญัติให้นำมาตรา 426 มาใช้บังคับแก่ตัวการตัวแทนโดยอนุโลม กล่าวคือเมื่อตัวการได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดตัวแทนได้ทำไปแล้วนั้น ก็ชอบที่จะได้ชดใช้จากตัวแทน ฎ. 648/2522 เกี่ยวกับนายจ้างที่กล่าวมาแล้วนั้นย่อมอนุโลมนำมาใช้ปรับกับกรณีตัวการตัวแทนได้เช่นเดียวกัน
ตัวการรับผิดในการกระทำละเมิดของตัวแทน
โดยเหตุที่ตัวแทนมิใช่ลูกจ้าง จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งสิทธิของตัวการที่ควบคุมดูแลเกี่วกับความประพฤติทางปฏิบัติของตัวแทน โดยปกตตัวแทนจึงย่อมมีความรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ตัวการไม่ต้อรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ตัวแทนอาจก่อขึ้น
ตัวแทน
คืออะไรนั้น มาตรา 797 บัญญัติว่า “อันว่าสัญญาตัวแทนนั้นคือสัญญาซึ่งให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าตัวแทน มีอำนาจทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าตัวการและตกลงจะทำการดังนั้น”
จะเห็นได้ว่าตัวแทนเป็นสัญญาอย่างหนึ่งและเป็นเอกเทศสัญญาเช่นเดียวกับจ้างแรงงานอันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างกันระหว่างนายจ้างลูกจ้าง จึงต้องพิเคราะห์ดูก่อนว่ากรณีใดที่บุคคลเป็นตัวการตัวแทนระหว่างกัน พึ่งสังเกตว่ามิใช่เป็นการตั้งตัวแทน
ความรับของตัวการ
พึงเข้าใจว่าเหตุละเมิดที่จะได้ตัวการรับผิดต้องเป็นเหตุที่ได้เกิดขึ้นในขอบเขตแห่งการปฏิบัติตามหน้าที่เพื่อตัวการหรือในฐานที่ตัวแทนได้ทำการเป็นตัวแทน ฉะนั้นในเบื้องแรกจึงต้องทราบขอบเขตของการเป็นตัวแทนเสียก่อนว่ามีเพียงไร ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ ย่อมจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้กิจการอันตัวการได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป (มาตรา 800)
2.) ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของ
ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของไม่เป็นความรับผิดในการ
กระทำของบุคคลอื่น
มีเหตุที่แสดงให้เห็นว่าความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของไม่เป็นความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น ดังบทบัญญัติมาตรา 428 คือ
1. กฎหมายได้บัญญัติถึงผู้ว่าจ้างเป็นผู้ผิด
ได้กล่าวมาแล้วว่าบุคคลที่รับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นนั้นมิได้กระทำละเมิดด้วยตนเอง ถ้าได้กระทำละเมิดแล้ว ก็มิใช่เรื่องความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น แต่เป็นความรับผิดของบุคในการกระทำของตนเอง ก็เมื่อตัวบทแปลได้ความว่าผู้ว่าจ้างจะต้องรับผิด ถ้าหากเป็นผู้ผิดแล้ว ฉะนั้นความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของตามมาตรา 428 จึงไม่ใช่เรื่องความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น เมื่อมิใช่ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นแล้ว จึงเป็นความรับผิดของผู้ว่าจ้างในการกระทำของตนเองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 420 นั่นเอง เพียงแต่บทบัญญัติมาตรา 428 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับผู้ว่าจ้างทำของเท่านั้น
2.ตัวบทมาตรา 428
ใช้คำว่า “ความเสียหาย” หาได้ใช้คำว่า “กระทำละเมิด” หรือ “ละเมิด” อย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 425, 429, 430 ไม่ โดยที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจมิได้เกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้รับจ้างก็ได้ ผู้รับจ้างจึงไม่ต้องรับผิดในทางละเมิด แต่ผู้ว่าจ้างก็ยังต้องรับผิด เพราะได้มีส่วนผิด จึงเป็นอักข้อหนึ่งที่เห็นได้ชักว่าความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของมิใช่ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น
3. โดยเหตุที่ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของมิใช่ความผิดในการกระทำของบุคคลอื่น
ในเมื่อผู้ว่าจ้างได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายไปแล้ว จึงไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ว่าจ้างไล่เบี้ยเรียกให้ชดใช้เอาจากผู้รับจ้าง จึงต่างกับความรับผิดตามมาตรา 425, 427, 429, 430 ซึ่งเป็นคามรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นแลมีบทบัญญัติไล่เบี้ยเรียให้ชดใช้คืนกันได้ตามมาตรา 426, 431 จึงเป็นข้อสำคัญ
หลักความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของ
มีหลักทั่วไปว่าความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของมิใช่ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น ทั้งนี้ก็เพราะว่าผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิควบคุมวิธีการทำงาน จึงถือว่าเป็นงานของผู้รับจ้างเอง ผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิที่จะออกคำสั่งบังคับบัญชาผู้รับจ้างดังนายจ้างกับลูกจ้างในสัญญาแรงงาน
มาตรา 428 บัญญัติว่า “ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง”
ความผิดของผู้ว่าจ้างตามที่กฎหมายกำหนด
ไว้มี 3 กรณี คือ
1. ความผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ :
เป็นเรื่องสั่งให้ทำตามสัญญาจ้างที่มีต่อกัน เช่นจ้างให้ทำถนนเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นเพื่อผ่านไปถึงที่ของตนอันเป็นการละเมิด เป็นต้น
2. ความผิดในคำสั่งที่ตนให้ไว้
กล่าวคือแม้การงานที่สั่งให้ทำจะไม่เป็นละเมิดในตนเอง แต่อาจสั่งให้ผู้รับจ้างทำโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นผลให้ผู้อื่นเสียหายก็ได้ คำสั่งที่ว่านี้ไม่เหมือนกับคำสั่ง เมื่อกล่าวถึงในส่วนการงานที่สั่งให้ทำตอนก่อน เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น
3. ความรับผิดในคำสั่งที่ตนไว้ให้
ที่ว่าเลือกหาผู้รับจ้างก็คือการจ้างนั่นเอง (ฎ. /821/2522) คือจ้างคนที่ตนไม่รู้ว่าไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถหรือระมัดระวังอันควรแก่สภาพของการงานที่จ้างให้ทำ จึงเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยละเมิด
3.) ความรับผิดของบิดามารดหรือผู้อนุบาลในการกระทำละเมิดของผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตและความรับผิดของครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาล
ผู้ที่จะต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของบุคคลผู้ไร้ความสามารถได้แก่บิดามารดาหรือผู้อนุบาล สำหรับบิดามารดานั้น หมายถึงเฉพาะผู้มีหน้าที่ดูแลผู้เยาว์ตามความในตอนท้ายของมาตรา 429 นี้เท่านั้น ซึ่งอาจรวมทั้งบิดามารดาหรือเพียงคนใดคนหนึ่งก็ได้ จึงต้องพิจารณาต่อไปอีกชั้นว่าบิดาหรือมารดาหรือทั้งสองคนเป็นผู้ดูแลผู้เยาว์อันหมายถึงอำนาจปกครองตามมาตรา 1566, 1567 ซึ่งเป็นหน้าที่ควบคุมดูแลผู้เยาว์ และหมายถึงผู้รับบุตรบุญธรรมโดยบุตรบุญธรรมมีฐานะอย่างเดียวกับุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมด้วยตามมาตรา 1598/28 ส่วนผู้ปกครองตามมาตรา 1585 อาจต้องรับผิดตามมาตรา 430
ส่วนผู้อนุบาลนั้น ไม่หมายเฉพาะผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นผู้อนุบาลตามมาตรา 30 เท่านั้น เพราะได้กล่าวมาแล้วว่า คำว่า “บุคคลวิกลจริต” หมายถึงบุคคลวิกลจริตที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถด้วย คำว่า “ผู้อนุบาล” ตามมาตรา 429 นี้มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “ผู้อนุบาล” ตามมาตรา 29 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กล่าวถึงผู้อนุบาลที่มีขึ้นก่อนร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถ โดยผู้อนุบาลตามข้อเท็จจริง ผู้อนุบาลตามมาตรา 429 จึงย่อมหมายถึงผู้อนุบาลของบุคคลวิกลจริตที่ศาลยังไม่สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถด้วย
ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาล
ตามมาตรา 429
เป็นความรับผิดเนื่องจากความบกพร่องในหน้าที่ดูแลผู้ไร้ความสามารถและเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นนั้นต้องเกิดขึ้นในขณะที่ผู้ไร้ความสามารถอยู่ในระหว่างการดูแลของบิดามารดาหรือผู้อนุบาล จึงจะทำให้บุคคลเหล่านี้ต้องรับผิด
นอกจากนี้ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลตามมาตรา 429 นี้ เป็นความรับผิดที่ผู้ไร้ความสามารถไปทำความเสียหายอันเป็นการละเมิดต่อบุคคลภายนอกตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 420 ถ้าหากไม่เป็นการละเมิดผู้ไร้ความสามารถก็ไม่ต้องรับผิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลก็ไม่ต้องรับผิดร่วมด้วยตามมาตรา 429 แต่บิดามารดาหรือผู้อนุบาลที่มีหน้าที่ดูแลนั้นอาจต้องรับผิดฐานละเมิดเป็นส่วนตัวโดยการกระทำผิดตามมาตรา 420 เพราะการกระทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อในการควบคุมดูแลเป็นเหตุให้ผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตนั้นไปทำความเสียหายบุคคลอื่นอีกด้วยก็ได้ โดยไม่คำนึงว่าความเสียหายที่ทำไปนั้น ผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตต้องรับผิดฐานละเมิดด้วยหรือไม่
สิทธิไล่เบี้ยของบิดามารดาหรือผู้อนุบาล
เมื่อบิดามารดาหรือผู้อนุบาลได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วก็ชอบที่จะได้ชดใช้จากผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตและไล่เบี้ยเอาได้จนครบจำนวนที่ได้ชดใช้ (มาตรา431, 426) ไม่ใช่เรียกได้ตามส่วนเท่าๆกันอย่างในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา 296
ความรับผิดของครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
ก. บุคคลผู้ต้องรับผิด
มาตรา 430 บัญญัติว่า “ครูบาอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่น ซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิจก็ดี ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”
ผู้ที่ต้องรับผิดร่วมกับบุคคลผู้ไร้ความสามารถตามมาตรานี้ คือครูบาอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลดังกล่าว หากไม่รับดูแล ก็เป็นกรณีที่ไม่ต้องด้วยมาตรานี้ จะดูแลอยู่เป็นนิจหรือชั่วคราวก็ต้องรับผิดเช่นเดียวกัน แต่ไม่หมายถึงผู้ดูแลหรือผู้ช่วยเหลือในการดูแล
ข. ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล
ความรับผิดตามมาตรา 430 นี้ต่างกับความรับผิดตามมาตรา 429 ที่ว่าตามมาตรา 429 บัญญัติให้บิดามารดาหรือผู้อนุบาลมีหน้าที่นำสืบว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมค จึงจะพ้นจากความรับผิด ถ้าไม่นำสืบหรือนำสืบยังไม่ได้ ก็ไม่พ้นจากความรับผิด แต่ตามมาตรา 430 เป็นหน้าที่ของผู้เสียหายต้องนำสืบให้ได้ความว่าผู้ที่มีหน้าที่ดูแลมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ที่ต้องดูแล ถ้าไม่นำสืบหรือนำสืบให้หังไม่ได้ บุคคลที่รับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถก็ไม่ต้องรับผิด
สิทธิไล่เบี้ยของครูบาอาจารย์หรือบุคคลซึ่งรับดูแลผู้ไร้ความสามารถ
เมื่อครูบาอาจารย์หรือบุคคลซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว ก็ชอบที่จะได้ชดใช้จากบุคคลผู้ไร้ความสามารถและไล่เบี้ยเอาได้จนครบจำนวนที่ได้ชดใช้ (มาตรา 431, 426) เช่นเดียวกับกรณีตามมาตรา 429