Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วัตถุแห่งหนี้, หน้าที่ในการชำระหนี้, กรณีการอันพึงต้องทำเพื่อชำระหนี้บางอย…
วัตถุแห่งหนี้
ทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้ ม.195 วรรคแรก เมื่อทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้แต่เพียงประเภท และถ้าตามสภาพแห่งนิติกรรม หรือตามเจตนาของคู่กรณีไม่อาจจะกำหนดได้ว่าทรัพย์นั้นจะพึงเป็นชนิดอย่างไรไซร้ ท่านว่าลูกหนี้จะต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดปานกลาง
ยกเว้น
1.ตามสภาพนิติกรรม แสดงว่าต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดใดก็ต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดนั้น
2.ตามเจตนาของคู่กรณี ตกลงไว้ว่าจะให้ส่งมอบทรัพย์ชนิดใด ก็ต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดนั้น
วรรคสอง ถ้าลูกหนี้ได้กระทำการอันตนพึงต้องทำเพื่อส่งมอบทรัพย์สิ่งนั้นทุกประการแล้วก็ดี หรือถ้าลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบแล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ก็ดี ท่านว่าทรัพย์นั้นจึงเป็นวัตถุแห่งหนี้จำเดิมแต่เวลานั้นไป
*วิธีปฏิบัติของลูกหนี้ที่จะทำให้ทรัพย์ทั่วไป กลายเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งมี 2 วิธี
1.ลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำ เพื่อส่งมอบทรัพย์ทุกประการแล้ว (โดยไม่ต้องรับความยินยอมของเจ้าหนี้)
ตัวอย่างเช่น ฟ้าซื้อข้าวสารมา 2กระสอบ ที่ร้านเฮียเมฆ โดยเฮียเมฆได้นำข้าว 2กระสอบขึ้นรถฟ้าแล้ว (เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้แล้ว
2.ลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบแล้ว ด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้
ตัวอย่างเช่น ฝนมาซื้อสุนัขจากฟาร์มของนายเป๋า เมื่อนายเป๋าได้เลือกสุนัขที่ฝนชอบแล้ว สุนัขตัวนั้นก็เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้แล้ว
ผลจากการที่เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
-ม.195 วรรค2 ถ้าไม่ใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่ง มีผลแตกต่างเมื่อเกิดภัยพิบัติแก่เจ้าหนี้ ม.370
-ถ้าไม่ใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่ง ม.195 วรรค2
-ม.370 วรรค2 เกิดภัยพิบัติ หรือสูญหรือเสียหายตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้
ทรัพย์ที่จะส่งมอบเป็นเงินตรา
- มูลค่าอยู่ที่ราคาที่ตราไว้ มิได้อยู่ที่คุณภาพความใหม่เก่า
- เงินตรานั้นโดยสภาพแล้วไม่มีการชำระหนี้ด้วยเงินตราจะกลายเป็นพ้นวิสัย
อัตราซื้อ=อัตราที่ธนาคารรับซื้อ
อัตราขาย=อัตราที่ธนาคารรับขายของ
ม.196 ถ้าหนี้เงินได้แสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศ:
ท่านว่าส่งใช้เป็นเงินไทยก็ได้
การเปลี่ยนเงินนี้ ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาใช้เงิน
1.เป็นการให้สิทธิก่อน ชำระหนี้เป็นเงินไทย
2.หนี้เงินได้แสดงว่าเป็นเงินต่างประเทศได้
- หนี้เงิน ชำระด้วยเงิน ตัวอย่าง สัญญากู้ยืมเงิน ชำระด้วยเงิน
- เป็นการทั่วไป คือ ไม่ใช่ตกลงไว้เป็นการ ทำให้รู้เป็นการทั่วไป
*ตัวอย่าง กรณีที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ว่าให้ชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศเท่านั้นจะชำระเงินไทยไม่ได้ ข้อตกลงเช่นนี้จะบังคับได้หรือไม่ จะถือว่าเป็นโมฆะตามมาตรา 150หรือไม่?
=ฎ.1693/2493 ข้อตกลงนี้สามารถบังคับกันได้ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ม.187 กรณีเงินตราที่จะพึงส่งใช้เป็นอันยกเลิกไม่ใช้แล้ว
- ไทยยกเลิกการใช้เงินพดด้วง
ม.194"ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่งการชำระหนี้ด้วยการชำระหนี้ด้วยการงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้”
วัตถุแห่งหนี้มี 3 กรณี
1.หนี้กระทำการ
-ตัวอย่างเช่น สมชายรับจ้างตัดผมให้แก่นายสมปอง สมชายจึงเป็นลูกหนี้ต้องทำการตัดผมให้แก่นายสมปอง
-วัตถุแห่งหนี้คือ การตัดผม ซึ่งเป็นหนี้กระทำการ
2.หนี้งดเว้นกระทำการ
-ตัวอย่างเช่น นางแดงทำสัญญากับนายดำว่าจะไม่เปิดร้านอาหารแข่งขันกับนายดำเพราะนายดำเคยสอนทำอาหารให้ ดังนั้นนางแดงเป็นลูกหนี้ มีหน้าที่ต้องไม่มาเปิดร้านอาหารแข่งกับนายดำ
-วัตถุแห่งหนี้คือ การงดเว้นกระทำการเปิดร้านอาหาร
3.หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน
-สมศรีทำสัญญาขายเครื่องดูดฝุ่นให้นายสมหมาย สมศรีเป็นลูกหนี้จะต้องส่งมอบเครื่องดูดฝุ่นให้แก่นายสมหมาย
-วัตถุแห่งหนี้คือ การส่งมอบเครื่องดูดฝุ่น
*การส่งมอบทรัพย์สินต้องมีทรัพย์สินที่จะส่งมอบซึ่งเป็นวัตถุในการชำระหนี้ ถ้าไม่มีทรัพย์สินนั้นอยู่ ก็ไม่มีวัตถุแห่งหนี้ที่จะบังคับให้ชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงได้ ต้องบังคับให้ชดใช้ค่าสินไหมต่อไป
กรณีวัตถุแห่งหนี้ซึ่งเลือกชำระได้
-หนี้เดี่ยว=คือวัตถุแห่งหนี้อันเดียว(สัญญาซื้อขาย)
-หนี้ผสม=หนี้ที่มีวัตถุแห่งหนี้หลายอย่าง
ม.198 สิทธิที่จะเลือกชำระหนี้
ม.201 กรณีให้บุคคลภายนอกมีสิทธิเลือก
แบ่งออกเป็น 4 กรณี
1.กำหนดไว้ให้ผู้ใดเป็นผู้เลือก
ตัวอย่างเช่น ปอจะซื้อสุนัขที่ฟาร์ม โดยให้เหมี่ยวเลือกว่าอยากได้สุนัขตัวใด ม.198,ม.201
2.ยังไม่ได้กำหนดว่าใครเป็นผู้เลือก สิทธิจะเลือกตกอยู่ที่ฝ่ายลูกหนี้ ม.198
3.กำหนดให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เลือก
-ผู้ใดก็ได้ที่ไม่ใช่เจ้าหนี้และลูกหนี้
-หากบุคคลภายนอกไม่สมัครใจ จะไปบังคับบุคลภายนอกมิได้
-ถ้าบุคคลภายนอกไม่เลือก สิทธิย่อมตกไปอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้
4.ฝ่ายลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายเลือก
-ฝ่ายที่มีสิทธิเลือกภายในเวลากำหนด
-ฝ่ายที่มีสิทธิไม่เลือกภายในเวลากำหนด สิทธิในการเลือกย่อมตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง
หน้าที่ในการชำระหนี้
กรณีวัตถุแห่งหนี้ซึ่งเลือกชำระได้
หนี้เดี่ยว = หนี้ส่งมอบทรัพย์
หนี้ผสม = หนี้กระทำการ หนี้ส่งมอบทรัพย์ หนี้งดเว้นกระทำการ
สิทธิในการเลือก
การเลือกชำระหนี้นั้นกฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 198 และมาตรา201 ว่า
"มาตรา 198 ถ้าการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง แต่จะต้องกระทำการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวไซร้ ท่านว่าสิทธิที่จะเลือกทำการอย่างใดนั้นตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”
“มาตรา 201 ถ้าบุคคลภายนอกจะพึงเป็นผู้เลือก ท่านให้กระทำด้วยแสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ และลูกหนี้จะต้องแจ้งความนั้นแก่เจ้าหนี้
ถ้าบุคคลภายนอกนั้นไม่อาจเลือกได้ก็ดี หรือไม่เต็มใจจะเลือกก็ดี ท่านว่าสิทธิที่จะเลือกตกไปอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้”
จากบทบัญญัติสามารถแยกได้เป็น 4 กรณีดังนี้
ก) ถ้ากำหนดไว้ให้ผู้ใดเป็นผู้เลือก สิทธิในการเลือกต้องเป็นไปตามที่ตกลง
ข) ถ้าไม่ได้กำหนดว่าใครเป็นผู้เลือก สิทธิจะตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้
ค) ถ้ากำหนดให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ลเทอกและผู้นั้นไม่อาจจะเลือกได้ เช่น ป่วยหนัก สิทธิจะตกไปอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้
ง) ถ้ากำหนดให้ฝ่ายลูกหนี้เป็นฝ่ายเลือก และฝ่ายที่มีสิทธินั้นไม่เลือกภายในเวลากำหนด สิทธิในการเลือกย่อมตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง คือ ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เท่านั้นตามมาตรา 200
วิธีการเลือก
แบ่งได้เป็น 2 กรณี
ก) กรณีฝ่ายลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นผู้มีสิทธิ์เลือก มาตรา 199 วรรคแรก บัญญัติว่า “การเลือกนั้นท่านให้ทำด้วยแสดงเจตนาแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง”
ข) กรณีบุคคลภายนอกเป็นผู้มีสิทธิเลือก มาตรา 201 วรรคแรก บัญญัติว่า “ถ้าบุคคลภายนอกจะพึงเป็นผู้เลือก ท่านให้กระทำด้วยแสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ และลูกหนี้จะต้องแจ้งความนั้นแก่เจ้าหนี้
*หากลูกหนี้ไม่แจ้งแก่เจ้าหนี้ผลจะเท่ากับมีการเลือกแล้ว เพราะการแจ้งเจ้าหนี้นั้นจึงน่าจะเป็นเพียงการกำหนดเพื่อให้เจ้าหนี้ทราบว่ามีการเลือกแล้ว หรือลูกหนี้จะมาชำระหนี้เจ้าหนี้ก็จะได้รับชำระหนี้ได้ถูกต้องเท่านั้น
ระยะเวลาในการเลือก
ตามบทบัญญัติมาตรา 200 อาจแบ่งแยกได้ 2 กรณี
ก) มีกำหนดระยะเวลาให้เลือก ซึ่งอาจกำหนดไว้โดยนิติกรรมที่ก่อหนี้นั้น ฝ่ายที่มีสิทธิเลือกต้องเลือกภายในระยะเวลากำหนด
ข) กรณีมิได้กำหนดเวลาให้เลือก ให้ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิเลือกกำหนดเวลา ต้องเป็นกรณีที่หนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และระยะเวลาที่กำหนดนั้นต้องพอสมควรแก่เหตุ
ผลของการเลือก
ผลของการเลือกเริ่มเมื่อการแสดงเจตนาเลือกมีผลแล้ว
มีบัญญัติไว้ในมาตรา 199 วรรคสองว่า “การชำระหนี้ได้เลือกทำเป็นอย่างใดแล้ว ท่านให้ถือว่าอย่างนั้นอย่างเดียวเป็นการชำระหนี้อันกำหนดให้กระทำแต่ต้นมา
กรณีการชำระหนี้บางอย่างพ้นวิสัย
ในระหว่างที่มีหนี้นั้น หนี้มีการอันพึงต้องทำเพื่อชำระหนี้มีหลายอย่าง แต่ลูกหนี้ต้องทำเพียงบางอย่าง คือ กรณีมีการเลือกชำระหนี้ แต่การชำระหนี้บางอย่างกลับเป็นพ้นวิสัย จะบังคับกันอย่างไรนั้น มาตรา 202 บัญญัติว่า “ถ้าการอันพึงต้องทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่างและอย่างใดอย่างหนึ่งตกเป็นอันพ้นวิสัยจะทำได้มาแต่ต้นก็ดี หรือกลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลังก็ดี ท่านให้จำกัดชำระหนี้ไว้เพียงการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัย อนึ่งการจำกัดอันนี้ย่อมไม่เกิดมีขึ้น หากว่าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายที่ไม่มีสิทธิจะเลือกนั้นต้องรับผิดชอบ”
- กรณีตกเป็นอันพ้นวิสัยจะทำได้มาแต่ต้น
เช่น แดงทราบว่าต้อยมีลูกสุนัขอยู่ 3 ตัว คือตัวสีดำ สีขาว และสีด่าง แดงพบต้อยจึงขอซื้อสุนัขตัวหนึ่ง ต้อยตกลงขายให้โดยให้แดงเลือกเอาตัวใด้ก็ได้ใน 3 ตัว ปรากฎว่าในขณะที่ซื้อขายกันนั้น ลูกสุนัขตัวสีขาวได้ตายเสียก่อนโดยที่แดงและต้อยไม่ทราบ กรณีเช่นนี้สัญญาส่วนที่ตกลงซื้อลูกสุนัขตัวสีขาวจึงเป็นโมฆะ แดงก็จะเลือกได้เพียงตัวสีดำและสีด่าง
กำหนดเวลาชำระหนี้
ถ้าหนี้ยังไม่ถึงกำหนดเจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ถึงแม้เจ้าหนี้จะเตือนให้ชำระหนี้แต่ถ้ายังไม่ถึงกำหนดชำระ ลูกหนี้ก็ยังไม่ผิดนัด ตามมาตรา 204 สามารถแบ่งได้ 2 กรณี
- หนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ ไม่อาจอนุมานได้ ต้องคาดเดาจากพฤติการณ์ กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ในมาตรา 203 วรรคแรกว่า “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน เช่น ยืมกรรไกรเพื่อตัดกระดาษโดยไม่ได้ตกลงกันว่าจะคืนเมื่อไหร่ แต่ก็อนุมานได้ว่าจะคืนเมื่อใช้เสร็จ จึงต้องถือว่าเป็นหนี้มีกำหนดชำระหรือเช่น กู้ยืมเงินโดยมิได้กำหนดวันชำระคืนไว้
หนี้มีกำหนดชำระ เช่น กำหนดตามวันแห่งปฎิทิน หรือกำหนดตามข้อเท็จจริง เช่น สัญญาซื้อขายข้าวสารไม่มีกำหนดส่งมอบข้าวสารแก่ผู้ซื้อ แต่ในสัญญาระบุให้ผู้ซื้อต้องชำระราคาภายในวันที่ 30 กันยายน 2565
การพิจารณาถึงกำหนดเวลาชำระหนี้จึงจะแยกพิจารณาเป็น 2กรณี
1.กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่เป็นที่สงสัย กรณีนี้มาตรา 203 วรรคสองบัญญัติว่า “ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้” เช่น กำหนดชำระหนี้ในวันที่สิบห้าค่ำเดือนแปด ก็มีข้อสงสัยว่าเป็นขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปด หรือแรมสิบห้าค่ำเดือนแปด
2.กำหนดเวลาชำระหนี้ไม่เป็นที่สงสัย เช่น วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา สามารถแบ่งได้ 2 อย่างซึ่งมีผลบังคับในทางกฎหมายแต่งต่างกัน
- กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฎิทิน เช่น กำหนดชำระหนี้ในวันที่ 10 สิงหาคม
ผลบังคับทางกฎหมายเหมือนกันคือ “กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฎิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 204 วรรคสอง
- กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฎิทิน กฎหมายได้กล่าวถึงไว้ในมาตรา 204 วรรคแรกว่า “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระหนี้แล้วและภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว” เช่น ยืนเงินไปกำหนดว่าจะใช้คืนเมื่อขายข้าวได้แล้ว
การผิดนัดไม่ชำระหนี้
การผิดนัด(ลูกหนี้)
1.ลูกหนี้ผิดนัดโดยต้องตักเตือนก่อน เมื่อมีกำหนดเวลาชำระหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ ในบางกรณีกฎหมายยังไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด ในบางกรณีเจ้าหนี้ต้องตักเตือนก่อนลูกหนี้จึงจะผิดนัด
มาตรา 204 วรรคแรก ลูกหนี้จะผิดนัดได้มี 2 กรณีคือ
1.หนี้มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันเวลาปฎิทิน
2.หนี้ที่มิได้กำหนดชำระหนี้
เช่น ดำยืมเลื่อยขาวมาเลื่อยไม้เสร็จแล้วจะนำไปคืน (เมื่อขาวเห็นดำเลื่อยไม้ทั้งหมดเสร็จไปหลายวันแล้ว จึงได้บอกให้ขาวนำมาคืน ดำจึงผิดนัดที่ให้ไว้)
2.ลูกหนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ตักเตือน ลูกหนี้จะผิดนัดได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ได้เตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว แต่หนี้บางประการลูกหนี้ผิดนัดได้โดยเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือน 2 ประการคือ
1.ลูกหนี้มีกำหนดชำระตามวันเวลาแห่งปฎิทินหรือลูกหนี้ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งอาจคำนวณนับได้ตามวันเวลาแห่งปฎิทิน เช่น จะคืนเงินที่ยืมไปในวันที่ 4 สิงหาคม
2.หนี้ละเมิด
3.กำหนดชำระหนี้กับการผิดนัด
- กำหนดเวลาชำระหนี้นั้น ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ตามกำหนด
- เป็นกำหนดที่เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้
- เป็นการผิดนัดเมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ เช่น การเตือนของเจ้าหนี้
4.กรณีที่ไม่ถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัด
- เป็นเหตุที่เกิดจากเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ผิดนัด
- เหตุเกิดจากบุคคลภายนอก เช่น เจ้าหน้าที่วัดขนาดที่ดินผิด
- เกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น ต้องการวันที่ดินเพื่อขาย แต่เกิดพายุฝนตกหนักจึงไม่สามารถวัดได้ภายในกำหนด
ผลของการผิดนัดของลูกหนี้
1.ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแก่การผิดนัด ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดและตกเป็นผู้ผิดนัด ชำระล้าช้าเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้เรียกค่าสินไหมทดแทนได้ มาตรา 215
2.เจ้าหนี้ไม่อาจรับชำระหนี้ เวลาของการชำระหนี้นั้น ม้เป็นส่วนหนึ่งของการชำระหนี้ลูกหนี้ต้องเลือกชำระหนี้ให้ถูกต้องในเรื่องเวลา เช่น ขาวนำเงิน 1 ล้านบาทไปชำระให้แดงที่สนามบินในขณะที่แดงจะบินไปต่างประเทศ แดงจึงไม่รับชำระหนี้
3.ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแก่การผิดนัดเพิ่มขึ้น ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายบรรดาที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัด ทั้งต้องรับผิดในการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างที่ผิดนัด
-
- กรณีการอันพึงต้องทำเพื่อชำระหนี้บางอย่างกลายมาเป็นพ้นวิสัยในภายหลัง
การชำระหนี้บางอย่างที่กลายเป็นพ้นวิสัยที่เกิดขึ้นหลังจากการก่อหนี้ แต่ก่อนที่ผู้มีสิทธิจะใช้สิทธิเลือกนี้ ต้องแบ่งเป็น 2 กรณี
ก. กรณีที่การชำระหนี้บางอย่างเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายที่ไม่มีสิทธิจะเลือกไม่ต้องรับผิดชอบ
เช่น แดงตกลงซื้อลูกสุนัขจากต้อยที่มีอยู่ 3 ตัว คือสีดำ สีขาว สีด่าง โดยตกลงกันให้แดงเลือกตัวใดก็ได้ โดยให้แจ้งแก่ต้อยก่อนส่งมอบ 7 วันข้างหน้า ปรากฎว่าก่อนที่แดงจะเลือก ลูกสุนัขตัวสีขาวถูกรถชนตาย เช่นนี้การชำระหนี้จึงจำกัดไว้เฉพาะลูกสุนัข 2 ตัว
ข. กรณีที่การชำระหนี้บางอย่างพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิจะเลือกต้องรับผิดชอบ กรณีนี้ผู้มีสิทธิเลือกก็ไม่ถูกจำกัดให้ต้องเลือกส่วนที่จะเป็นพ้นวิสัยเท่านั้น ตามมาตรา 218 คือลูกหนี้ก็ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จากตัวอย่างในข้อ ก. ถ้าลูกสุนัขสีขาวตายลงเพราะความประมาทของต้อย แดงก็ยังมีสิทธิเลือกทั้ง 3 ตัว แต่ถ้าแดงเลือกตัวสีขาวต้อยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 218
-