Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง - Coggle Diagram
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง
ละเมิด
มาตรา 420 อันเป็นแม่บทลักษณะละเมิด บัญญัติว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดีท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”
การกระทำที่ไม่รู้สำนึกไม่ถือว่าละเมิด
1.เด็กที่ไร้เดียงสาซึ่งย่อมไม่รู้ว่าตนทำอะไรลงไป เช่น เด็กทารกแบเบาะ
2.การเคลื่อนไหวของบุคคลในเวลาหลับ เช่น หาว ละเมอ อันเป็นไปตามสัญชาตญาณของมนุษย์
3.ความเคลื่อนไหวของบุคคลในเวลาที่ไม่รู้สึกตัวอย่างอื่น เช่น เวลาป่วยจนไม่มีสติวิกลจริต เมาสุรรถึงขนาดไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป
4.อาการสะดุ้งผวาของบุคคล
ผู้เยาว์และบุคคลวิกลจริต
มาตรา 429 บัญญัติว่า “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด”
*แต่ถ้ากระทำโดยไม่รู้สำนึกในความเคลื่อนไหวของตนเองก็ย่อมไม่ถือว่ามีการกระทำ
การงดเว้นไม่กระทำ
คำว่า “การกระทำ” ตามมาตรา 420 มิได้หมายความแต่เพียงการกระทำในทางเคลื่อนไหวอิริยาบทเท่านั้น ยังหมายถึงการงดเว้นหรือละเว้นไม่กระทำการที่มีหน้าที่ต้องทำ อาจเกิดจากกฎหมายก็ได้ เกิดจากสัญญาหรือความสัมพันธ์ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหายก็ได้
พิจารณาได้ ดังนี้
หน้าที่ตามกฎหมาย เช่น สามีภริยามีหน้าที่ต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน (มาตรา 1461) บุตรจำเป็นต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (มาตรา 1563)
*พึงสังเกตว่าการงดเว้นไม่กระทำในสิ่งที่กฎหมายมิได้บัญญัติ
อุทาหรณ์
ฎ. 881/2495 จำเลยเป็นนายอำเภอไม่จดทะเบียนการซื้อขายที่ดินให้ตามที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อได้ร้องขอย่อมเป็นการละเมิด
ตามฎีกานี้ การจดทะเบียนซื้อขายที่ดินเป็นหน้าที่ของนายอำเภอตามกฎหมาย การที่จำเลย ไม่ยอมจดทะเบียนให้โจทก์จึงเป็นการงดเว้นไม่ปฎิบัติการตามหน้าที่ที่กฎหมายบังคับจึงเป็นละเมิด
หน้าที่ตามสัญญา คือหน้าที่ตามกฎหมาย เพราะสัญญาที่ใช้บังคับกันได้ย่อมเป็นกฎหมายระหว่างคู่สัญญา เช่น มีสัญญาจ้างแพทย์รักษาโรค แต่แพทย์ไม่ปฎิบัติตามหน้าที่อันเกิดจากสัญญาคือไม่ยอมรักษา เป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่ตัวเขา ย่อมเป็นการงดเว้น จึงเป็นทั้งผิดสัญญาและละเมิด
หน้าที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงที่มีอยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหาย หรือเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งผู้งดเว้นได้ก่อขึ้น
หน้าที่จากความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงที่มีอยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหาย ได้แก่ กรณีบุคคลที่อยู่ในฐานะอันสามารถควบคุมสิ่งของหรือบุคคลใดเพื่อความปลอดภัยของบุคคลอื่นย่อมมีหน้าที่ต้องทำการตามสมควรเพื่อความปลอดภัยของบุคคลอื่น เช่น แขกผู้คุ้นเคยมาเยี่ยม เจ้าของบ้านก็ต้องจัดเก้าอี้ที่แขกจะนั่งให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่ชำรุด
หน้าที่อันเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยหรือผู้งดเว้นได้ก่อขึ้น เช่น แพทย์ประจำโรงพยาบาลระหว่างเดินทางกลับบ้านเห็นผู้เจ็บป่วยก็เข้าช่วยเหลือพยาบาลอันมิใช่หน้าที่ตามกฎหมายหรือสัญญา หากงดเว้นไม่ทำหน้าที่ต่อให้ตลอดก็ย่อมเป็นงดเว้น
จงใจ
จงใจ หมายถึง รู้สำนึกว่าจะเกิดผลเสียหายแก่บุคคลอื่นจากการกระทำของตนนั้น ฉะนั้น การกระทำโดยผิดหลงหรือพลั้งพลาดหรือการเข้าใจโดยสุจริต คือ การเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงจึงไม่เป็นจงใจ
ที่ว่าเข้าใจโดยสุจริตก็หมายความว่า มิได้รู้สึกว่าจะเกิดผลเสียหายแก่บุคคลอื่นั่นเอง เช่น หนังสือของ ก. และของ ข. วางอยู่ใกล้ชิดกัน ก. เผลอหยิบเอาหนังสือของข. ไปเป็นของตน ดังนี้ ก. มิได้กระทำโดยจงใจ
อุทาหรณ์
ฎ. 1053/2521 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพาทษาเชื่อว่าร้านค้าของโจทก์เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพาทษาจึงยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ในร้าน โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเจ้าหนี้จงใจทำให้โจทก์เสียหาย ไม่เป็นละเมิด
*พึงสังเกตว่า การที่สำนึกในผลเสียหายจากการกระทำของตนเท่านั้นก็เป็นการจงใจแล้ว ฉะนั้นจึงไม่ต้องคำนึงถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นซึ่งอาจมากน้อยกว่าที่คาดคิดไว้ก็ได้
ประมาทเลินเล่อ
ประมาทเลินเล่อ หมายถึง ไม่จงใจ แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่จะใช้ รวมถึงในลักษณะที่บุคคลผู้มีความระมัดระวังจะไม่กระทำด้วย
อุทาหรณ์
ฎ. 608/2521 จำเลยครอบครองใช้ประโยชน์ท่าเรือ คนกรูกันจะลงเรือสะพานไม้ที่ทอดลงไปสู่โป๊ะหักทำให้โป๊ะคว่ำ จึงถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ไม่ระมัดระวังดูแลสะพานให้ท่าเทียบเรืออยู่ในสภาพแข็งแรงมั่นคง ปล่อยให้สะพานไม้ที่ทอดไปสู่โป๊ะหัก จำเลยต้องรับผิดในผลโดยตรงที่คนตกน้ำตายเพียงแต่ร้องห้ามมิให้คนกรูกันไปลงเรือไม่เป็นการใช้ความระมัดระวังอันเพียงพอ
การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
มาตรา 421 บัญญัติว่า “การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
-คำว่า “ใช้สิทธิ” ในมาตรานี้ หมายถึงกรณีที่ผู้ทำความเสียหาย “มีสิทธิตามกฎหมายเสียก่อน” ถ้าเป็นการกระทำโดยไม่มีสิทธิหรือทำเกินไปกว่าสิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายแล้วต้องพิจารณาตามมาตรา 420
-ข้อสำคัญจึงอยู่ที่การใช้ หาใช่เกี่ยวกับตัวสิทธินั้นเองไม่ สิทธินั้นมีอยู่แล้ว แต่การใช้หรือวิธีใช้นั้นดำเนินไม่ถูกต้องตามวิธีการที่เหมาะสมหรือผิดกาลเทศะจึงเกิดความเสียหายแก่ผู้บุคคลอื่น
ตัวอย่างเช่น
เจ้าหน้าที่ตำรวจจับผู้ต้องหาว่ากระทำผิด แต่แกล้งไปจับในเวลาที่กำลังอยู่ในวงการสังคมโดยที่สามารถจับในที่อื่นได้ แต่ไม่จับในที่นั้น
การกระทำฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมาย
มาตรา 422 บัญญัติว่า “ถ้าความเสียหายเกิดแต่การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายใดอันมีที่ประสงค์เพื่อปกป้องบุคคลอื่นๆ ผู้ใดทำการฝ่าฝืนเช่นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด
อุทาหรณ์
ฎ. 1169-1170/2509 การที่รถยนต์จำเลยแล่นเข้าไปชนรถยนต์โจทก์ทางด้านขวาของถนน เบื้องต้นศาลสันนิษฐานตามกฎหมายว่ารถยนต์จำเลยเป็นผู้ผิด จำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างว่าจำเลยมิใช่เป็นผู้ผิด
ความยินยอมไม่ให้ทำละเมิด
ตัวอย่าง 1 ดำยินยอมให้ ขาว สูบน้ำจากบ่อของตนไปใช้ พรบ.ว่าด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา9 ความตกลงล่วงหน้าหรือภายหลัง ห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
ตัวอย่าง 2 แดงใช้มีดฟันดำ (กฎหมายบัญญัติชัดแจ้งว่าห้ามทำร้ายร่างกายผู้อื่น)
มาตรา8 ความตกลงก่อนล่วงหน้าหรือขณะกระทำการ
มาตรา 8 วรรคแรก ความผิดต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย
มาตรา 8 วรรคสอง ความผิดอื่นๆ เช่น ทรัพย์สิน