Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง - Coggle Diagram
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง
ความหมายของการกระทำ
คำว่า ‘ผู้ใด’ (a person) มีความหมายเป็นเบื้องแรกว่า ที่จะถือว่าเป็นการกระทำละเมิดได้นั้น ต้องเป็นการกระทำของมนุษย์ หาใช่ของสัตว์ไม่ เพราะสัตว์มิใช่มนุษย์ มิใช่บุคคล สัตว์จะก่อการกระทำละเมิดหาได้ไม่ เมื่อคำว่า ‘ผู้ใด’ หมายถึงมนุษย์แล้ว จึงรวมถึงบุคคลทุกชนิด ไม่ว่าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้เยาว์ บุคคลวิกลจริต ดังจะเห็นได้โดยนัยแห่ง มาตรา 429 ที่บัญญัติว่า ‘บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด…’
การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
จงใจ หมายถึง รู้สำนึกถึงผลเสียหาย (damaging effect) ที่จะเกิดจากการกระทำของตน ที่ว่ารู้สำนึกถึงผลเสียหายนั้นต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าเป็นคนละเรื่องกับรู้สำนึกในความเคลื่อนไหวอันเป็นหลักเกณฑ์ของการกระทำ ดังที่ได้ศึกษากันมาแล้ว จงใจนั้นไม่เพียงแต่รู้สำนึกถึงความเคลื่อนไหวของตนเท่านั้น แต่ยังต้องรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตนอักด้วย ถ้ารู้ว่าจะเกิดผลเสียหายแก่เขาก็เป็นจงใจ
ประมาทเลินเล่อ หมายถึง ไม่จงใจ แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่จะใช้รวมถึงในลักษณะที่บุคคลผู้มีความระมัดระวังจะไม่กระทำด้วย ที่ว่าหมายถึงไม่จงใจ ถ้าหากเป็นกรณีที่เป็นการจงใจ ก็ย่อมบังคับกันในลักษณะที่เป็นการจงใจอยู่แล้ว
การกระทำโดยผิดกฎหมาย
ที่ว่า ‘โดยผิดกฎหมาย’ นั้น ถ้ามีกฏหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง กรณีที่เห็นได้ชัดก็คือกฏหมายอาญาบัญญัติว่าการกระทำอันใดเป็นความผิด ดังนี้ ก็ย่อมเป็นการกระทำผิดกฏหมายอย่างไม่มีปัญหา เช่น ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 295 บัญญัติว่า “ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี….” หรือมาตรา 362 บัญญัติว่า “ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือบางส่วน….ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี…..”
การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
มีความเสียหายต่อสิทธิ
ที่จะถือว่ามีความเสียหายนั้น อาจไม่ตรงกับความคิดเห็นของบุคคลธรรมดาบางคนนักการทำร้ายร่างกายหรือลักทรัพย์กัน ย่อมถือว่าเป็นความเสียหายแน่นอน บุคคลธรรมดาทั่วไปย่อมคิดเห็นกันอย่างนั้น กฏหมายอาญาก็ได้บัญญัติรับรองเอาไว้ว่าเป็นความผิดต่อร่างกายหรือทรัพย์สิน อย่างไรก็ดี จะถืออย่างความคิดเห็นของบุคคลธรรมดาบางคนไม่ได้เสมอไป
มาตรา 420 มีความว่า “….ทำต่อบุลคลอื่นให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี…..” ดูคล้ายกับเป็นการจำกัดว่า ต้องเป็นการเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ฯลฯ ดังที่บัญญัติไว้แล้วเท่านั้น ซึ่งความจริงหาถูกต้องไม่ เพราะความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน ย่อมหมายถึงความเสียหายแก่สิทธิของบุคคลทั้งสิ้น เพราะบุคคลย่อมมีสิทธิในชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ และทรัพย์สิน สิ่งเหล่านี้จึงอยู่ในความหมายของคำว่าสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 420 อยู่แล้วนั่นเอง ฉะนั้นที่ว่า “ทำต่อบุคคล” นั้น ก็หมายความว่าทำต่อสิทธิของบุคคลว่ากันที่จริง จึงไม่มีความจำเป็นต้องบัญญัติคำว่า ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินจะมีบัญญัติไว้แต่เพียงว่า “สิทธิ” คำเดียวก็เป็นการเพียงพอ
ลักษณะแห่งสิทธิ
สิทธิคืออะไรนั้น อาจกล่าวได้ว่า สิทธิคือประโยชน์ที่บุคคลมีอยู่และบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพพ ฎีกา 124/2487 วินิจฉัยไว้ว่า “สิทธิได้แก่ประโยชน์จากอันบุคคลมีอยู่ แต่ประโยชน์เป็นสิทธิหรือไม่ ก็ต้องแล้วแต่ว่า บุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพหรือไม่ ถ้าบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพ ประโยชน์นั้นก็เป็นสิทธิ กล่าวคือได้รับการรับรองและคุ้มครองของกฎหมาย ในกฎหมายมีบัญญัติลงโทษการด่าไว้ในกฎหมายอาญา ฉะนั้นจึงต้องถือว่ากฎหมายเรารับรองว่าบุคคลมีสิทธิที่จะไม่ให้ใครมาด่า และให้ความคุ้มครองไว้สำหรับการนั้น ฉะนั้นการที่จำเลยด่าโจทก์ จึงเป็นกการทำให้เสียสิทธิของโจทก์ เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ตามมาตรา 420”
ความเสียหายที่คำนวณเป็นตัวเงินได้และไม่อาจคำนวณเป็นตัวเงินได้
ความเสียหายอันเป็นมูลความรับผิดทางละเมิดนั้น อาจเป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นเงินได้หรือไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ก็ได้ แต่ที่ว่าเป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นเงินได้หรือไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ดังกล่าวมานี้ เราจะต้องระวังให้ดีว่าจะต้องไม่นำไปปะปนกับกรณีที่มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องเยียวยาในความเสียหายกันภายหลัง เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว เพราะค่าสินไหมทดแทนนั้นย่อมรวมทั้งการคืนทรัยพ์สินหรือใช้ราคารวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ (มาตรา 438 วรรค 2) ซึ่งราคาหรือค่าเสียหายนั้นย่อมจะชดใช้กันเป็นเงินด้วยไปในตัว
ความเสียหายนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ทำความเสียหาย
ทฤษฎีความเท่ากันแห่งเหตุหรือทฤษฎีเงื่อนไข
ถือว่าหากปรากฏว่าถ้าไม่มีการกระทำดังที่ถูกกล่าวหาแล้ว ผลจะไม่เกิดขึ้นเช่นนั้นจะไม่มีความเสียหายดังที่กล่าวอ้าง ผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลอันเกิดจากการกระทำที่ถูกกล่าวหาผลอันใดอันหนึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากเหตุหลายประการ ถ้าเหตุอันหนึ่งคือการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาแล้วผู้นั้นก็ต้องรับผิดโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่ายังมีเหตุอื่นที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นด้วยเหมือนกันถือว่าเหตุทุกๆ เหตุมีน้ำหนักเท่านั้น จะถือว่าเป็นเหตุบางประการเท่านั้นที่ก่อให้เกิดผลนั้นขึ้นหาได้ไม่ เพราะถ้าไม่มีเหตุทุกๆ ประการเหล่านั้นรวมเข้าด้วยกันแล้วผลก็ย่อมไม่เกิดขึ้น
ทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม
ถือว่าในบรรดาเหตุทั้งหลายที่ก่อให้เกิดผลขึ้นนั้น ในแง่ความรับผิดของผู้กระทำการใดๆแล้ว เฉพาะแต่เหตุที่ตามปกติย่อมก่อให้เกิดผลเช่นว่านั้นที่ผู้กระทำจะต้องรับผิด
ทฤษฎีทั้งสองนี้ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียอยู่ด้วยกัน ทฤษฎีเงื่อนไขที่ถือหลักว่า ถ้าไม่มีการกระทำแล้ว ความเสียหายก็ย่อมไม่เกิด ผู้นั้นจึงต้องรับผิด มีข้อดีที่เป็นหลักตรงกับความจริงตามธรรมชาติ แต่ก็มีข้อเสียเพราะทำให้ผู้กระทำละเมิดต้องรับผิดโดยไม่มีขอบเขต ตลอดจนถึงความความเสียหายที่ไม่มีใครคาดหมายได้ ก็ต้องรับผิด ส่วนทฤษีมูลเหตุเหมาะสมที่ถือว่าผลที่ผู้กระทำจะต้องรับผิดต้องรับผิดต้องเป็นผลที่ตามปกติควรจะเกิดจากการกระทำของผู้กระทำ ก็มีข้อเสียตรงที่ตรงกับหลักวินิจฉัยความผิดหรือประมาทเลินเล่อของผู้กระทำ ซึ่งต้องวินิจฉัยตามพฤติการณ์ที่บุคคลในฐานะเช่นนั้นควรจะทราบ แต่มีข้อเสียที่จำกัดผลที่ผู้กระทำต้องรับผิดแคบอยู่ภายในขอบเขตที่ผู้กระทำควรจะได้คาดเห็นเท่านั้น จึงขัดกับความเป็นจริงที่อาจมีความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของผู้กระทำแท้ๆ แต่ผู้กระทำละเมิดกลับไม่ต้องรับผิด
เป็นที่เห็นได้ว่า ถ้าผลนั้นผู้กระทำละเมิดตั้งใจจะก่อให้เกิดแก่ผู้เสียหายแล้วผู้กระทำก็ต้องรับผิด ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร จะถือว่าไกลกว่าเหตุไม่ได้
ตัวอย่าง
ฎ 64/2501 บริษัทจำเลยเลียนชื่อบริษัทโจทก์มานานเป็นการทำให้โจทย์เสียหาย จำเลยต้องรัวผิดชอบแต่จะคิดมูลค่าเลียนชื่อเป็นเงินเท่าใดไม่มีราคาเหมือนทรัพย์สินอื่น ศาลจึงกำหนดให้ตามความร้ายแรงแห่งละเมิด โดยศาลฎีกามองว่าจำเลยมีเจตนากระทำละเมิดต่อโจทก์ ทั้งๆ ที่มีปผู้ทักท้วงแล้วจำเลยยังฝ่าฝืน และแม้ว่าโจทก์จะไม่ได้เสียหายเป็นเงินตราเพราะยังมีกำไรในทางการค้า แต่การที่ศาลขั้นต้นกำหนดให้จำเลยมีความรับผิดชดเชยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 50000 บาทนั้น ก็เป็นการสมควรแล้ว
สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกานี้จะเห็นได้ว่า ข้อเท็จจริงแม้จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดแต่ผู้ถูกละเมิดไม่เกิดความเสียหายใดๆ ในทางตรงกนข้ามยังมีกำไรในทางการค้า แต่ศาลก็ยังคงใช้ดุลพินิจในการให้ผู้ทำละเมิดต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงินทีทค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเงินในสมัยนั้น ซึ่งก็อาจถือได้ว่าเป็นการที่ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนในเชิงลงโทษอีกเข่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษนั้นเริ่มมีปรากฏให้ดห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นในบทบัญญัติเฉพาะเรื่องดังปรากฏความในกฎหมาย 3 ฉบับ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ และการกระทำอันเป็นละเมิดนั้นได้เกิดขึ้นโดยการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ทำละเมิด อีกทั้งกฎหมายได้มีการกำหนดอัตราสูงสุดที่จะกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษไว้
โดยสรุป กฎหมายไทยเริ่มยอมรับในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดในลักษณะของค่าเสียหายเพื่อการลงโทษบ้างแล้วในกฏหมายเฉพาะเรื่องแต่สำหรับกฎหมายลักษณะละเมิดในบรรพ 2 ปพพ. นั้นก็ควรถือตามแนวคิดทั่วไปก่อนว่า กฏหมายไทยยอมให้มีการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด ก็แต่เพื่อเป็นการเยียวยาผู้ถูกทำละเมิดหรือผู้ต้องเสียหายให้กบับคืนสู่สถานะเดิม ทั้งนี้ จะมากหรือน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์แห่งกรณีและความร้ายแรงแห่งละเมิดซึ่งศาลจะเป็นผู้ใช้ดุลพินิจ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะกล่าวในส่วนต่อไปนั่นเอง