ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง

1.2 การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

1) จงใจ

หมายถึงรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตน

  • การกระทำโดยผิดหลงหรือพลั้งพลาดหรือการเข้าใจโดยสุจริตไม่ถือว่าเป็นการจงใจ เช่น ก และ ข วางหนังสือใกล้กัน ก จึงเผลอหยิบเอาหนังสือของ ข มาเป็นของตน เป็นการกระทำที่เข้าใจโดยสุจิตว่าเป็นของตน
  • การจงใจเป็นการรู้สำนึกในผลเสียหาย ดังนั้นจึงไม่ต้องคำนึงถึงผลเสียหายว่าจะเกิดขึ้นมากน้อยก็ถือว่าเป็นการจงใจแล้ว
  • เจตนา ตาม ปอ. ผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลด้วยจึงจะเป็นเจตนา

2) ประมาทเลินเล่อ

  • หมายถึงไม่จงใจ แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่จะใช้
  • ปอ.มาตรา 59 ว.4 การกระทำโดยประมาทได้แก่กระทำความผิดโดยมิใช่เจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคล ในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมักระวังเช่นนั้นได้ แต่หาใช้เพียงพอไม่
  • ค.ระมัดระวังนี้กม.วางระดับไว้โดยทั่วไปตามระดับวิญญูชน (ดูตามมาตรา 323 473 553 653 วรรคสอง และมาตรา 802)
  • จงใจ/ประมาท ไม่เกี่ยวกับค.สามารถ เพราะว่าผู้เยาว์ คนไร้ คนเสมือน รู้ได้ว่าตนได้กระทำอะไร ก็ถือว่ารู้สำนึกในการกระทำและความเสียหาย ก็จงใจแล้ว
  • ส่วนค.รับผิดละเมิดก็จะเปรียบเทียบค.ระมัดระวังซึ่งจะแตกต่างไปตามพฤติการณ์ของตัวบุคคล
    ฎ. 769/10 จำเลยเป็นหญิงอายุ 28 ปีขับรถมาคนเดียวขนะหยุดรอสัญญาณไฟ เวลา21 นาฬิกา มีคนร้ายเปิดประตูรถเข้ามานั่งใช้ระเบิดมือขู่ให้ขับรถไป จำเลยตกใจขับรถฝ่าออกไปชนรถที่สวนมาโดยไม่เจตนา ตามพฤติการณ์เช่นนี้ จะเห็นว่าการชนเกิดจากความประมาทของจำเลยไม่ได้ เพราะบุคคลเมื่อตกในภาวะตะลึงกลัวจะให้มีความระมัดระวังตามบุคคลปกติหาได้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้ประมาทหรือจงใจ ก็ไม่ต้องรับผิดใความเสียหายนั้น

3)กระทำต่อบุคคลอื่น

เป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย และการงดเว้นไม่กระทำการที่มีหน้าที่ต้องทำ

  • หน้าที่ตามกฎหมาย เช่น สามีภริยามีนท. ต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน (มาตรา 1461) บุตรจำต้องเลี้ยงดูบิดามารดา (มาตรา 1563)
  • หน้าที่ตามสัญญา เช่น มีสัญญาจ้างแพทย์รักษาโรค แต่แพทย์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา
  • หน้าที่เกิดจากค.สัมพันธ์ทางข้อเท็จจริง เช่นแพทย์ระหว่างเดินทางกลับบ้านเห็นผู้ป่วยเจ็บจึงเข้าช่วยเหลือ

4) การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหาย

การใช้สิทธิ ถ้าใช้สิทธิเพื่อค.มุ่งหมายที่แตกต่างไปจากค.มุ่งหมายที่ด่อตั้งสิทธิ ย่อมให้สิทธินั้นสิ้นสภาพจากการเป็นสิทธิลง

  • มาตรา 421 การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป้นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
  • ฏ. 1982/18 จล. เก็บสินค้าในตึกมีน้ำหนักเกินอัตราที่พื้นคอนกรีตชั้นล่างจะรับได้ เป็นเหตุให้ตึกของ จ.ซึ่งอยู่ใกล้ชิดทรุด เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่จ.
  • ฏ.46/39 จล. ว่าจ้างรถบรรทุก 10 ล้อ บรรทุกดินไปถมในโครงการหมู่บ้านเป็นเหตุให้ถนนพิพาทเสียหาย แต่การใช้สิทธิของจล.เป็นการใช้สิทธิที่่จะก่อให้เกิดค.เสียหายแก่จ. ตามมาตรา 421 จึงเป็นการละเมิดต่อจ.

1.3 การกระทำโดยผิดกฎหมาย

ในค. รับผิดละเมิดไม่ต้องมีกม.บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าการะกระทำนั้นเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย

  • คำว่าโดยผิดกฎหมายตามมาตรา 420 มีเพียงคำว่ามิชอบด้วยกฎหมาย ดังที่บัญญัติในมาตรา 421 มาตรา 421จึงเป็นบทขยายของมาตรา 420
  • โดยสรุปมาตรา 421 ถ้าได้กระทำโดยไม่มีสิทธิหรือข้อแก้ตัว ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย เพราะถ้ากระทำโดยมีสิทธิตามกม. ก็ถือว่าไม่ผิด

1) การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น

พิจารณาตามมาตรา 421 เป็นกรณีที่ผู้กระทำต้องมีสิทธิตามกม.เสียก่อน ถ้าไม่มีสิทธิหรือทำเกินกว่าสิทธิต้องพิจารณาตามมาตรา 420

  • การพิจาณาว่าเป็นการละเมิดต้องพิจารณา ส่วนประกอบตาม 420ด้วย พิจารณาแค่ 421 ไม่ได้เพราะเป็นเพียงส่วนขยาย
  • การใช้สิทธิตาม 421 อยู่ที่การใช้ (exercise) หาใช่เกี่ยวกับตัวสิทธิ ต้องเป็นการมุ่งต่อผล โดยเจตนาให้ผุ้อื่นเสียหายเท่านั้น
  • ถ้าเป็นการประสงค์ต่อผลเป็นธรรมดาแห่งการใช้สิทธิ ไม่เป็นการละเมิด เช่น ตำรวจจับผู้กระทำผิดตามหน้าที่ ผู้ถูกจับย่อมได้รับค.เสียหาย
  • ถ้าเป็นมิทธิที่ก่อให้เกิดคสห.แก่บุคคลอื่น เช่นตัวอย่างข้างต้นเพียงว่าตำรวจแกล้งจับในเวลาที่กำลังอยู่ในวงการสังคมโดยที่สามารถจับที่อื่นได้แต่ไม่จับ
  • ความยินยอมไม่ทำให้เป็นละเมิด เช่น ฎ.673/10 จ.ท้าให้จล.ฟันเพื่อทดลองอาคมซึ่งตนอวดอ้างว่าตนอยู่ยง เป็นการที่จ.ยินยอมหรือสมัครใจเป็นการยอมรับผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ตนเอง ตามกม.ถือไม่ได้ว่าจ. ได้รับค.เสียหาย จ.ฟ้องจล.ให้รับผิดใช้จ่ายค่าเสียหายไม่ได้

2) กระทำฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมาย

มาตรา 422 บัญญัติว่า ถ้าค.เสียหายเกิดแต่การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกม.ใดอันมีที่ประสงค์เพื่อปกป้องบุคคลอื่นๆ ผู้ใดทำการฝ่าฝืนเช่นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด

  • กม.ที่มีการฝ่าฝืนนั้นจะต้องมีที่ประสงค์จะป้องกัน คสห. แก่บุคคลอื่น และกม. สันนิษฐานว่าฝ่ายที่ฝ่าฝืนกม.เป็นผู้ผิด เช่น พระราชบัญญัติ กำหนด กฤษฎีกา เป็นต้น
  • ฎ. 1169-1170/09 การที่รถยนต์จล.แล่นเข้าไปชนรถยนต์จ.ทางด้านขวาของถนน เบื้อต้นศาลสันนิษฐานตามกม.ว่ารถยนต์ของจล.เป็นผู้ผิด ถ้าจล.จะสืบเป็นอย่างอื่นไปก็ย่อมไม่ทำให้พ้นผิด

1.4 การกระทำที่ก่อให้เกิด คสห.แก่บุคคลอื่น

2) ลักษณะแห่งสิทธิ

1) มีความเสียหายต่อสิทธิ

ความเสียหาต่อสิทธิ=ต่อร่างกาย อนามัย จิตใจ เสรีภาพ ทรัพย์สิน ...

  • กรณีที่ไม่ทำให้เกิดคสห.แต่ก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิได้ เช่น ก. ใช้มือที่สะอาดตบศีรษะ ข. ไม่มีอะไรเปื้อนร่างกายของ ข. เช่น ค ใช้ก้อนหินขว้างปาบ้านของ ง ถูกกระเบื้องมุงหลังคาแต่ไม่แตก ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ (คสห.ที่คำนวณเป็นตัวเงินได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง)
  • ที่กล่าวมาบุคคลธรรมดาอาจเห็นว่าไม่เกิด คสห. แต่ในกม.ย่อมถือว่าเกิดคสห. ส่วนจะถือว่าเป็นคสห.นั้นต้องวินิจฉัยดูตามาตรฐานความคิดทั่วไปของคนในสังคม
  • สิทธิ คือประโยชน์ที่กม.คุ้มครองและรับรอง - สิทธิจึงครอบคลุมวัตถุที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง รวมทั้งชีวิตร่างกาย เช่น เรามีปากกา เราก็มีสิทธิในปากกานั้น จะขาย จะทำอะไรก็ได้เพราะเรามีสิทธิในปากกามีอำนาจชอบธรรมเหนือปากกา

3) คสห.ที่คำนวณเป็นเงินได้และไม่อาจ
คำนวณเป็นเงินได้

ex. ถูกทำร้ายร่างกาย เสียค่ารักษาพยาบาล = คำนวณเป็นเงินได้ เป็นรอยแผลเป็น = ไม่อาจคำนวณเป็นตัวเงินได้ และ เช่น เอาก้อนหินขว้างหลังคาบ้าน ไม่แตกไม่เสียหาย = คสห.ไม่อานคำนวณเป็นเงินได้ - คสห. ต้องเป็น คสห.ที่แน่นอน เช่นก ขับรถชน ข เสียหาย ก ต้องชดใช้ค่าซ่อม ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในอนาคตที่ใช้รถไม่ได้อีกเป็นต้น

1.5 คสห. นั้นเป็นผลมาจากกรท. ของผู้กระทำคสห.

1) ทฤษฎีความเท่ากันแห่งเหตุหรือทฤษฎีเงื่อนไข
เหตุหลายๆเหตุมีน้ำหนักเท่ากัน หากไม่มีการกระทำนั้นผลก็จะไม่เกิดขึ้น ทุกคนต้องรับผิดเท่ากัน
ex. แดง เอาไม้หน้าสามตีหัว ขาว ส่วนดำและเขียวเอาไม้ตะเกียบตี ทำให้ขาวตาย ทุกคนต้องรับผิดในความตายของขาวเท่ากันเพราะตามทฤษฎีถ้าไม่มีเหตุทุกประการรวมกันแล้วผลนั้นย่อมไม่เกิด

2) ทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม
ดูตามเหตุปกติย่อมจะเกิดผล หรือดูตามความจริงตามธรรมชาติ ข้อดีผลที่เกิดขึ้นมี คสพ.กับการกระทำ ข้อเสียผู้กระทำละเมิดต้องรับผิดแค่เฉพาะที่คาดได้ แต่การกระทำโดยประมาทต้องวินิจฉัยตามพฤติการณ์ที่บุคคลในฐานะเช่นนั้นควรทราบ เช่น ขับรถด้วยความเร็วสูง กระทำโดยประมาท *รู้ว่าอาจเกิดความเสียหายรถขนได้

  • ดังนั้นการกระทำโดยประมาท จึงจะเอาความรู้หรือคาดเห็นมาใช้ไม่ได้ และไมาอาจนำมาใช้กับทฤษฎีนี้ได้
  • ทำให้การรับผิดละเมิด ศาลไม่เอาทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสมมาใช้ แต่จะปรับใช้มาตรา 438 วินิจฉัยทำให้น้ำหนักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสอดคล้องและเหมาะสม

ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง (ต่อ)

2.1 ละเมิดโดยหมิ่นประมาท

2.2 การพิพากษาคดี

มาตรา 424 วางหลักว่า ในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทน...และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่


  • วินิจฉัยต่างทางแพ่งก็ส่วนแพ่ง อาญาก็ส่วนอาญา เช่น แดงขับรถไปชนดำ = ละมิดตาม 420 และปรับทางอาญา เจตนาทำให้เสียทรัพย์


  • ฎ.1229/2498 ศาลพิพากษายกฟ้องคดีอาญาเพราะจำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดิน ไม่ได้ชี้ว่าที่ดินเป็นของใคร โจทย์ฟ้องคดีแพ่งให็ศาลวินิจฉัยแสดงกรรมสิทธิ์ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องได้

มาตรา 423 หมิ่นประมาททางแพ่งเป็นการ กล่าวหรือไขข่าว ข้อความที่ฝ่าฝืนความจริง

  • การไขข่าว คือ การแสดงข้อความใดๆให้บุคคลที่สามทราบ และต้องมีผู้เข้าใจว่าหมายถึงผู้เสียหาย การกล่าวหรือไขข่าวไม่จำกัดว่าต้องทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ถ้าได้กระทำโดยสำนึกในการกระทำก็ถือว่าเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแล้ว
  • เช่น ฎ.939-940/2478 ห้างหุ้นส่วนยังไม่เลิกกัน จล.ซึ่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งประกาศทางหนังสือพิมพ์ว่าเลิกกันแล้วทำให้จ.ซึ่งเป็นหุ้นส่วนอีกคนเสียหาย
  • ต่างจากหมิ่นประมาท ทาง ปอ. แม้เป็นความจริงก็อาจเป็นหมิ่นประมาทได้ แต่ตาม423 ต้องเป็นข้อความที่ไม่จริง หรือการใช้คำหยาบ ก็เป็นละเมิด
  • ว.2 เป็นข้อยกเว้นค.รับผิด กรณีที่ผู้กล่าวหรือผู้รับข้อความมีทางได้เสียโดยชอบในการกล่าวนั้น ส่งข่าวโดยรู้อยู่แล้วว่ามันไม่จริง = ผิด ถ้ากล่าวโดยสุจริตก็ไม่ผิด
  • เช่น ก. เคยทำงานที่บริษัท ข. แต่ลาออกแล้วไปสมัครที่บริษัท ค. บริษัท ค. จึงสอบถามประวัติกับบริษัท ข. ข. จึงบอกว่าลาออกเพราะเอาทรัพย์สินของบริษัทไปเป็นของส่วนตัว แม้ยังไม่แน่ชัดว่า ก เอาไปแต่ ข เชื่อโดยสุจริต ดังนี้บริษัท ข. ค. มีส่วนได้เสียในการบอกรับข้อความไม่ต้องรับผิดตามาตรา 423 ว.2 *แต่ถ้าบริษัท ข รู้ว่า กไม่ได้เอาไป บริษัท ข. ต้องรับผิดต่อ ก. ตามมาตรา423 ว.1

2.3 การร่วมกันทำละเมิด

มาตรา 432 ตามว.1 เป็นกรณีที่บุคคลหลายคนก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล โดยร่วมกันทำละเมิด แม้ไม่รู้ตัวได้แน่ว่าผู้ที่ร่วมกันทำละเมิดนั้นใครเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย

  • การร่วมทำละเมิด=มีเจตนาหรือความมุ่งหมายร่วมกัน โดยนัดหมายกันมาก่อน เช่น ก. วานให้ ข. เอาน้ำที่ผสมยาพิษไปให้ ค. ดื่มโดยที่ ข. มาทราบภายหลังว่ามียาพิษ ก่อนเอาไปให้ ค ดื่ม เป็นเรื่องที่ ก. และ ข. ต่างกระทำละเมิดต่อ ค.
    *แต่ถ้า ข ถาม ก. ก. ก็บอกความจริง แล้ว ข. ก็ยอมที่จะเอาไปให้ ค. เช่นนี้เป็นการร่วมกันละเมิดต่อ ค.

การร่วมกันทำละเมิด มีคม. เทียบได้กับตัวการในทางอาญา ม.83 การที่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะกระทำละเมิดต่อบุคคลนั้น ก็มิได้หมายความว่ามีเจตนาร่วมกัน ดังตัวอย่างที่เคยกล่าวมา

  • โดยเหตุที่วิสัยและพฤติการณ์ บุคคลอาจใช้ความระมัดระวังไม่เพียงพอ จึงอาจมีการกระทำละเมิดร่วมกันโดยประมาทเลินเล่อได้เช่นเดียวกับอาญา มาตรา 83 เช่น ฎ.1211/30 (ประชุมใหญ่) ร่วมกันลักน้ำมันของผู้เสียหาย
  • ก ชกต่อย ค ค ได้รับบาดเจ็บ ข มาพบจึงถือโอกาสชกต่อย ค อีก กและข มิได้ร่วมกันทำละเมิดต่อ ค เพราะมิได้มีเจตนาหรือค.มุ่งหมายร่วมกันและกระทำร่วมกัน

ในความรับผิด กฎหมายมุ่งถึงการกระทำ ไม่ได้ดูผลความเสียหายไม่แยกว่าใครทำเสียหายมากน้อย ทุกๆคนต้องรับผิดร่วมในผลแห่งละเมิดนั้น ตามมาตรา 432 ว.3 ต้องรับผิดเท่าๆกัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ศาลจะวินิจฉัย

  • ผู้ใด หมายถึงบุคคลที่ทำละเมิด อาจจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ รวมไปถึงผู้เยาว์หรือคนวิกลจริต ผู้ไร้ความสามารถก็เป็นผู้ทำละเมิดได้

ผู้เยาว์และบุคคลวิกลจริต ในมาตรา 429 ต้องดูตามข้อเท็จจริงว่ามีความเคลื่อนไหวโดยรู้สำนึกหรือไม่ มีการกระทำที่ทำให้เกิดละเมิดหรือไม่

  • การกระทำ หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกถึงการกระทำของตัวเอง แต่ถ้าเป็นการเคลื่อนไหวโดยไม่รู้สำนึก = ไม่เป็นการกระทำตามมาตรา 420 รวมถึงการงดเว้นกระทำการหน้าที่อันตนมีหน้าที่ที่ต้องกระทำโดยเฉพาะ ได้แก่
    1) หน้าที่ตามกฎหมาย คือกฎหมายบัญญัติให้บุคคลมีหน้าที่ที่ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์หรือบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้วทุพพลภาคและหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ มาตรา 1564 ถ้าไม่เลี้ยงดูย่อมเป็นการละเมิด *ถ้างดเว้นไม่ทำในสิ่งที่กม.ไม่ได้กำหนด=ไม่ละเมิด
    2) หน้าที่ตามสัญญา สัญญาก่อให้เกิดหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อคู่สัญญา ถ้าได้งดเว้นตามสัญญาและทำให้เกิดความเสียหาย=ละเมิด เช่น มีสัญญาจ้างแพทย์รักษาโรค แต่แพทย์ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่อันเกิดจากสัญญาคือไม่ยอมรักษา ทำให้เกิดความเสียหายย่อมเป็นการงดเว้น ผิดทั้งสัญญาและละเมิด
    3) หน้าที่เกิดจากคสพ.ทางข้อเท็จจริง เช่น แขกมาเยี่ยม เจ้าของบ้านก็ต้องจัดเก้าอี้ให้แขกในสภาพที่เรียบร้อยไม่ชำรุด เป็นกรณีที่บุคคลที่อยู่นฐานะควบคุมสิ่งของเพื่อความปลอดภัยของบุคคลอื่น
    หรือหน้าที่หน้าที่ที่เกิดจากการกระทำครั้งก่อนของตน แต่เดิมไม่มีหน้าที่อะไร เช่นแพทย์เดินทางกลับเห็นผู้ป่วยจึงเข้าไปช่วย หากงดเว้นไม่ทำให้ตลอด=งดเว้น

เลขที่ 163 นางสาววรดา ละเอียด 64012310492

1.1 ความหมายของการกระทำ

ความรับผิดกระทำละเมิดในการกระทำของผู้อื่น

  1. ครผ.ของนายจ้างในผลแห่งละเมิดของลูกจ้างในทางการที่จ้าง

1.1 ความรับผิดของนายจ้าง

  • มาตรา 425 นจ.ต้องรับผิดร่วมกับลจ.ในผลแห่งละเมิด โดยที่ลจ.ต้องกระทำไปในทางที่จ้าง
  • โดยต้องเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามกฎหมาย ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ตามมาตรา 575 และต้องมีสินจ้าง
  • นจ.มีอำนาจบังคับสั่งให้ลจ.ปฏิบัติตามคำสั่ง
  • นจ.จะร่วมรับผิดด้วยลจ.ต้องกระทำในเวลางานกับต้องคาบเกี่ยวกับเวลาที่จ้าง : ถ้าลจ.ทำเพื่อผลปย.ของตนเอง=นจ.ไม่ต้องร่วมรับผิด
    : ข้อสังเกต ข้าราชการไม่มี คสพ.เป็นนจ.กับลจ.

1.2 ลูกจ้างทำละเมิดในทางการที่จ้าง

การพิจารณาว่าการทำละเมิดของลจ.ได้เกิดขึ้นในทางการจ้างหรือไม่

  • ต้องดูชนิดของงาน ประเภทงานก่อน
  • ต้องพิจารณาว่าขณะที่มีการละเมิดนั้น ลจ.ได้ปฏิบัติตามที่จ้างมาหรือเกี่ยวข้องกับงานที่จ้างไหม
  • ลจ.ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของนจ.
  • ครผ.ของนจ.จะมีอยู่เฉพาะเมื่อลจ. ได้กระทำคสห.ระหว่างที่กำลังปฏิบัติตามนท.
  • การที่ลจ.ได้กระทำไปนั้นต้องเป็นการปฏิบัติให้ลุล่วง
    ex. แดงเป็นลจ.ดำ ดำใช้ให้เแดงขับรถไปส่งของขาวลูกค้า ด้วยความไม่พอใจ ดำ นจ. แดงจึงแกล้งขับรถตกหลุมทำให้รถเสียหายหรือของลูกค้าเสียหาย และขับชนคนโดยประมาทอีกด้วย ดำ ต้องร่วมรับผิดต่อ ขาวลูกค้าและคนที่แดงขับรถชน
    วิธีการปฏิบัติ : ในการสั่งให้กระทำนั้น ถ้า นจ.ไม่ได้แจกแจงวิธีการกระทำ ลจ.ใช้วิธีตามที่เห็นพอสมควรเพื่อให้กิจการลุล่วง และสมปย.ของนจ. นจ.ก็ยังต้องรับผิด แม้ลจ.กระทำกิจส่วนตัวในขณะเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในขณะที่จ้าง หรือกรณีที่นจ.มีคำสั่งห้าม ก็ไม่เป็นข้อต่อสู้ที่จะทำให้ นจ. ไม่ต้องรับผิด

1.3 สิทธิไล่เบี้ย

มาตรา 426 วางหลักไว้ว่า นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้าง

  • โดยเป็น ครผ.อย่างลูกหนี้ร่วมระหว่างนจ.กับลจ.ทั้งสองต้องรับผิดต่อผสห.ในฐานะลูกหนี้ร่วมจนกว่าหนี้นั้นจะไดำระ โดยผสห.จะเรียกได้ทั้งนจ.และลจ.
    ex. ลจ.ทำละเมิด นจ.ถูกฟ้องได้ใช้ค่าเสียหายแล้วไล่เบี้ยเอาจาก ลจ.ได้

1.4 ตัวการรับผิดในการกระทำละเมิดของตัวแทน

  • ครผ.บัญญัติไว้ในมาตรา 427 โดยตัวการต้องรับผิดในการทำละเมิดของตัวแทนด้วย ตัวแทน : ตามมาตรา 797 บัญญัติว่า อันว่าสัญญาตัวแทนนั้น คือสัญญาซึ่งให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าตัวแทน มีอำนาจทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกตัวการ และตกลงทำการนั้น
  • ลักษณะของตัวแทน ต้องทำการที่ตัวการมอบอำนาจให้ นท.มี2ลักษณะคือนท.โดยเฉพาะกาล และนท.โดยทั่วไป และกิจการที่ตัวแทนทำย่อมเป็นงานของตัวการ และต้องทำตามคำสั่ง เช่นเดียวกับ นจ. ลจ.
    การวานหรือการใช้ = ไม่ใช่คสพ.ระหว่างตัวแทนกับตัวการ
    ex. ดำ ตั้ง แดง เป็นตัวแทนขายที่ดินซึ่งมีแต่หลุมบ่อ แดง หลอกหลวง ขาว ผู้ซื้อโดยพาไปดูที่ที่ไม่มีหลุม ขาวตกลงซื้อโดยคิดว่าเป็นที่ดินของดำ ดำตัวการต้องรับผิดต่อขาวร่วมกับแดงด้วย
  1. ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของ

2.1 ครผ.ของผู้ว่าจ้างทำของไม่เป็นครผ.ในการกระทำของบุคคลอื่น

  • เหตุที่ผวจ.ทำของไม่เป็นครผ.ในการกระทำของบุคคลอื่น ดังบทบัญญัติ 428
    1. ผวจ.เป็นผู้ผิด ต้องกระทำละเมิดด้วยตนเอง ตามมาตรา420 ไม่ใช่เรื่องครผ.ในการกระทำของบุคคลอื่นตามมาตรา 428
    2. ไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเพราะผวจ.ไม่ต้องรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น

2.2 หลักครผ.ของผู้ว่าจ้างทำของ

  • ตามบทบัญญัติมาตรา 428 โดยหลัก ผวจ.ทำของไม่ต้องรับผิดในคสห.เพราะเป็นผลมาจากการกระทำของผู้รับจ้าง
  • ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิด เพราะผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจบังคับตัวของผู้รับจ้าง หวังแต่ผลสำเร็จของงาน : เสร็จงานเมื่อไหร่จ่ายเมื่อนั้น เช่น ดำจ้างแดงให้สร้างบ้านให้ คสพ.จบเมื่อมีบ้านให้ดำ งานเสร็จถือเป็นสาระสำคัญ
  • ครผ.ของผวจ.3กรณี
    1.ค.ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ เป็นการสั่งให้ทำตามสัญญาจ้างที่มีต่อกัน เช่น จ้างให้ทำถนนโดยเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นเป็นการละเมิด
    2.ค.ผิดในคำสั่งที่ตนให้ไว้ เป็นเหมือนคำแนะนำ เช่น แนะนำให้ช่างทำรางน้ำใกล้ที่ดินข้างเคียง เวลาฝนตกน้ำก็ไหลไปที่ดินข้างๆ
    3.ค.รับผิดในการเลือกหาผู้รับจ้าง เช่นจ้างสร้างบ้านแล้วผู้รับเหมาไม่มีประสบการณ์ จึงเป็นเหตุให้บ้านทรุดถูกทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย
  • ครผ.ตามมาตรา 428 เป็นครผ.ในฐานะผู้ว่างจ้างเป็นผู้ทำละเมิด ไม่ใช่ครผ.ในการกระทำของบุคคลอื่น จึงไม่มีบทบัญญัติในการไล่เบี้ย
  1. ครผ.ของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลในการทำละเมิดของผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริต และครผ.ของครูอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ

3.1 ครผ.ของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลในการทำละเมิดของคนไร้ความสมารถ

  • มาตรา 429 บุคคลใดแม้ไร้คสม.เพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด
  • บุคคลไร้คสม.ได้แก่ ผู้เยาว์ คนวิกลจริต(ศาลยังไม่สั่ง) คนไร้ความสามารถ และบุตรบุญธรรมที่มีฐานะอย่างเดียวกับบุตรท่ชอบด้วย กม. : มาตรา429 ไม่ใช้กับคนเสมือนไร้คสม.
  • บุคคลที่ต้องรับผิด ได้แก่ บิดามารดา ผู้อนุบาล ผู้อนุบาลตามความเป็นจริง และผู้รับบุตรบุญธรรม
  • ครผ.ในมาครา429 ต้องรับผิดเนื่องจากค.บกพร่องใน นท.ระหว่างดูแล ถ้าเกิดเหตุละเมิดในระหว่างที่ไม่ได้ลูแล=ไม่ต้องรับผิด
  • ข้อยกเว้นให้ไม่ต้องรับผิด คือต้องพิสูจน์ว่าตนได้ใช้ค.ระมัดระวังตามสมควรแก่ นท.ที่ดูแลอยู่
    : สิทธิไล่เบี้ยของบิดามารดาและผู้อนุบาล เมื่อได้ใช้คสม ทท.แก่บุคคลภายนอกแล้ว ก็สามารถไล่เบี้ยเอาได้จากผู้เยาว์และบุคคลวิกลจริตได้

3.2 ครผ.ของครูอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ

  • บุคคลต้องรับผิดตามมาตรา 430 ครผ.ของผู้มี นท .ดูแลผู้ไร้คสามารถในผลแห่งละเมิดเช่นเดียวกับมาตรา 429 แต่ต่างกันที่ตัวผู้มี นท.ดูแล
  • ครผ.ในมาตรานี้ หากไม่ได้รับดูแลก็ไม่เข้ามาตรานี้ แต่จะดูแลเป็นนิจหรือชั่วคราวก็ต้องรับผิดเช่นเดียวกัน : ไม่รวมถึงผู้ดูแลแทนหรือผู้ช่วยเหลือในการดูแล เช่น จ้างครูพิเศษไปสอนเด็กที่บ้านที่อยู่กับบิดามารดา การดูแลเด็กอยู่กับบิดามารดา ไม่ได้อยู่กับครู
  • คสค.อยู่ที่หน้าที่ดูแลอันมีอยู่ระหว่างผู้ไร้คสม.กับตัวผู้ที่จะต้องรับผิด อาจเป็นผู้ปกครองที่ไม่ใช่บิดามารดา เช่น พี่เลี้ยงโดยมีสัญญาหรือโดยสมัครใจชั่วคราวก้ได้
  • ค.ระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล ตามมาตรา 430 การนำสืบเป็นหน้าที่ของผู้เสียหายเองว่าผู้มีหน้าที่ดูแลได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่หรือไม่ ถ้านำสืบไม่ได้ผู้ดูแลไม่ต้องรับผิด
    : ต่างกับมาตรา 429 ผู้ดูแลจะต้องรับผิดก่อน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ค.ระมัดระวังหรือยัง
  • สิทธิไล่เบี้ย ครูอาจารย์หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคไร้คสม.ชอบที่จะเรียกค่าชดใช้จากผู้ไร้คสม.ได้จนครบจำนวนที่ชดใช้ได้