Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดเพื่อละเมิดในการกระทำของตนเอง, นางสาวอนุสรา วันวาน 64012310427 -…
ความรับผิดเพื่อละเมิดในการกระทำของตนเอง
1.ลักษณะทั่วไปเรื่องความรับผิดของบุคคลในการกระทำของตนเอง
1.1ผู้ใดทำต่อบุคคลอื่่นโดยผิดกฎหมาย
1.1.1.
ผู้ใด
ในมาตรา 420 คือ "ผู้ทำละเมิด" รวมถึงบุคคลทุกลักษณะไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ในส่วนของบุคคลธรรมดาถือเป็นผู้ทำละเมิดทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ผู้เยาว์ จนถึงคนชรา คนพิการ คนวิกลจริต คนไร้ความสามารถ ส่วนในกรณีนิติบุคคล โดยสภาพแล้วนิติบุคคลไม่สามารถเป็นผู้กระทำได้ การแสดงเจตนาผ่านนิติบุคคลนั้นๆ ตามมาตรา 70 ผู้แทนนิติบุคคลต้องกระทำภายในขอบวัตถุประสงค์
1.1.2.
ทำ
หรือ "การกระทำ" ในมาตรา 420 หมายถึง การกระทำของผู้ละเมิดซึ่งผลแห่งการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหาย คำพิพาทษาฎีกาวินิจฉัยไว้ว่า "การรกระทำ" ในทางละเมิดหมายรวมถึง การงดเว้นกระทำอันทำให้เกิดผลเสียหายขึ้นด้วย
จะเห็นได้ว่า หากบุคคลมีความเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกในความเคลื่อนไหวร่างกายของตนด้วยแล้ว ก็ย่อมถือได้ว่ายบุคคลดังกล่าวนั้นมีการกระทำ
1.1.3.
ต่อบุคคลอื่น
ตามมาตรา 420 คำว่า "ต่อบุคคลอื่น" คือ ผู้ที่ถูกทำละเมิดหรือผู้เสียหายนั่นเอง ซึ่งหมายถึงทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในกรณีของบุคคลธรรมดาที่ถูกทำละเมิดนั้น ผู้ถูกกระทำละเมิดดังกล่าวจะต้องมีสภาพบุคคล ในขณะเดียวกันหากบุคคลสิ้นสภาพไปแล้วคือ ตาย ก็ไม่สามารถเป็นผู้ถูกกระทำละเมิดได้ สิทธิในการฟ้องร้องคดีของบุคคลนั้นเองก็ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะไม่มีสภาพบุคคล แต่สิทธิดังกล่าวนั้นตกทอดแก่ทายาท ดังนั้นทายาทจึงเป็นผู้ใช้สิทธินั้นแทนในฐานะที่เป็นผู้เสียหาย
การกระทำละเมิดต่อนิติบุคคล นิติบุุคลมีสิทธิและหน้าที่อันสามารถพึ่งมีตามสภาพที่อาจมีได้ ดังนั้นหากมีการกระทำที่ผิดกฎหมายก่อให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคล เช่น การทำลายสถานที่ การปิดล้อสถานที่ซึ่งเป็นนิติบุคคลหรือทำให้ทรัพย์สินที่เป็นของนิติบุคคลเสียหาย แม้ไม่ใช่เป็นการกระทำต่อร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคลธรรมดาก็เป็นการกระทำละเมิดต่อนิตบุคคลได้
1.1.4.
โดยผิดกฎหมาย
ความหมายเท่ากับคำว่า "มิชอบด้วยกฎหมาย" ใน
กฎหมายอาญาบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดว่าการกระทำอันใดเป็นความผิดที่ย่อมเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยไม่มีปัญหา แต่ความผิดฐานละเมิด ไม่ต้องมีกฎหมายบัญญัติโดยชัดเจนว่าการกระทำอันใดเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ในกรณีที่ผู้มีสิทธิ หน้าที่ หรือมีอำนาจในการกระทำตามกฎหมายแล้ว แม้การกระทำนั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายก็ไม่ผิดกฎหมายไม่เป็นการละเมิด ซึ่งแยกพิจารณาได้ 4 ประเภท
1.กรณีกฎหมายให้สิทธิหรืออำนาจกระทำได้ หมายความว่า มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิหรืออำนาจแก่บุคคลกระทำการในเรื่องนั้นๆไว้โดยชัดเจน เนื่องจากเรื่องที่กระทำนั้นกระทบต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน หรือสิทธิเสรีภาพบุคคลอื่น
2.กรณีมีสิทธิหรืออำนาจกระทำได้ตามสัญญา โดยหลักแล้วสัญญาก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคล ฝ่ายใดมีสิทธิฝ่ายนั้นเป็นเจ้าหนี้
3.กรณีสิทธิหรือมีอำนาจตามคำพิพาทษาหรือคำสั่งศาล ในกรณีนี้หมายความว่าเมื่อศาลมีคำพิพาทษาหรือคำสั่งอย่างใดแล้ว บุคคลก็มีสิทธิที่จะกระทำการตามคำพิพากษาของศาลโดยไม่ผิดกฎหมาย
4.กรณีมีสิทธิหรือมีอำนาจตกระทำโดยความยินยอมของผู้เสียหาย กรณีนี้หมายความว่าเมื่อผู้เสียหายให้ความยินยอมให้กระทำการใดแล้วผู้กระทำการนั้นย่อมมีอำนาจกระทำได้โดยถือว่าไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
1.2การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
1.2.1.
การกระทำโดยจงใจ
หมายถึง การกระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่เกิดจากการ
กระทำของตน ซึ่งคำว่ารู้สำนึกถึงผลเสียหายนี้มีความแตกต่างกับรู้สำนึกในการเคลื่อนไหวร่างกายซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ในเรื่องของการกระทำในทางอาญา ไม่เพียงแต่รู้สำนึกถึงความเคลื่อนไหวของตนเท่านั้น แต่ยังต้องรู้สำนึกถึงความเคลื่อนไหวของตนเท่านั้น แต่ยังต้องรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจาการกระทำของตนอีกด้วย ถ้ารู้ว่าจะเกิดผลเสียหายแก่บุคคลอื่นเป็นการกระทำโดยจงใจ ส่วนความเสียหายจะมากหรือน้อยไม่สำคัญ เพียงรู้ว่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นก็พอ
1.2.2.การกระทำโดยประมาทเลินเล่อ หมายถึงการกระทำโดยไม่จงใจ แต่เป็นการกระทำที่ขาดความระมัดระวังตามสมควร รวมถึงการกระทำในลักษณะของบุคคลผู้มีความระวังจะไม่กระทำด้วย "กระทำโดยประมาท'
ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยแและพฤติการ์ณและผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นำด้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
1.3 การกระทำก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
1.
เสียหายแก่ชีวิต
หมายถึง การถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำต่อบุคคลอื่นทำให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย จะเจตนาฆ่า ฆ่าโดยไม่เจตนาหรือที่เรียกว่าทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย หรืแชุลมุนต่อสู้ ก็เป็นความเสียหายแก่ชีวิตเหมือนกัน
2.
เสียหายแก่ร่างกาย
หมายถึง การกระทำที่ทำให้บุคคลผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายแก่กายหรือเป็นอันตรายสาหัส พิการ เสียโฉม หาเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึก เศร้าโศก เสียใจ ทุกข์ใจ โกรธ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่เป้นความเสียหายต่อจิตใจที่มีกฎหมายรองรับ
3.
เสียหายแก่อนามัย
หมายถึง การกระทำที่ทำให้ร่างกายของบุคคลอื่นเสื่อมสุขภาพไปหรือเป็นการบั่นทอนสุขภาพจิต เช่น ทำให้นอนไม่หลับ เหม็นกลิ่นสาบ กลิ่นควัน
4.
เสียหายแก่เสรีภาพ
หมายถึง การข่มขืนจิตใจให้ผู้อื่นกระทำหรือไม่กระทำการ หรือจำยอมอยู่ใต้ภาวะอย่างหนึ่งอย่างใด หรือการหน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลอื่นไว้โดยไม่มีอำนาจที่จะกระทำตามกฎหมาย
5.
เสียหายแก่ทรัพย์สิน
หมายความถึง วัตถุมีรูปร่างและไ่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราครและอาจถือเอาได้ ความเสียหายที่เกืิดแก่ทรัพย์สินที่มองเห็นได้ง่าย
6.
เสียหายแก่สิทธิ
คือ ประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและตคุ้มครองให้ ซึ่งตามมาตรา 420 บัญญัติว่า สิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเป็นสิทธินอกเหนือจากชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ และทรัพย์สิน ดังนั้น เมื่อผู้หญิงผู้ใดกระทะการให้เสียหานแก่สิทธิ ผลก็เป็นการกระทำละเมิด
1.4ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลของการกระทำ
1.
ทฤษฎีเงื่อนไข
หรือทฤษฎีผลโดยตรงหรือทฤษฎีความเท่ากันแห่งเหตุ มีหลักว่าถ้าไม่มีการกระทำดังที่กล่าวหานั้นผลไม่เกิดขึ้นเช่นนั้น ผู้กระทำต้องรับผิดโดยไม่ต้องคำนึงว่ามีเหตุผลอื่นมาทำให้เสียหายด้วยหรือเปล่า
2.
ทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม
มีหลักอยู่ว่าในบรรดาเหตุทั้งหลายที่ก่อให้เกิดผลขึ้นนั้นในแง่ของความรับผิดของผู้กระทำนั้น ความเสียหายนั้นเป็นสิ่งที่เกินเลยจากที่การกระทำไม่เหมาะสมกับการกระทำ ใข้ทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสมมาช่วยในการพิจารณาว่าการกระทำนั้นเหมาะสมได้สัดส่วนกับความเสียหายที่เกิดจึ้นหรือไม่
2.การใช้สิทธิซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
การกระทำตามสิทธิบางครั้งก็อาจกระทบถึงบุคคลอื่นได้ เช่น ในฐานะที่เราเป็นเจ้าของทรัพย์ย่อมมีสิทธิใช้สอยในทรัพย์สินของตน แต่การใช้สิทธิใช้สอยในทรัพย์สินของตนบางครั้งอาจจะกระทบถึงสิทธิชองบุคคลอื่น ซึ่งเป็นธรรมดาของการใช้สิทธิ แต่การใช้สิทธิตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 421 นี้หมายถึง การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นฝ่ายเดียว ประการสำคัญจึงอยู่ที่การใช้สิทธิที่มีอยู่ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับตัวสิทธินั้นไม่ หมายความว่าสิทธินั้นมีอยู่แล้วแต่การใช้ไม่ถูกต้องหรือเหมาะสม จึงเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
3.การฝ่าฝืนกฎหมายที่ปกป้องบุคคลอื่น
มาตรา 422 บัญญัติหลักการว่าถ้าความเสียหายเกิด เพราะไปฝ่าฝืนกฎหมายที่มีประสงค์ปกป้องบุคคลอื่นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด ไม่รวมถึงการฝ่าฝืนต่อระเบียบหรือข้อบังคับที่ไม่ใช่กฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามมาตรา 422 มิใช่บทสันนิษฐานโดยเด็ดขาด จึงยังอาจนำสืบหักล้างได้ว่าความจริงไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ได้จงใจ หรือประมาทเลินเล่อ จากบทบัญญัติในมาตรา 422 มีหลักในการพิจารณาอยู๋ 2 ประการ คือ
1.เป็นการ
ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย
ซึ่งบทบัญญัติของกำหมายนั้นไม่รวมถึงระเบียบข้อบังคับ
2.บทบัญญัติของกฎหมายนั้น จะต้องเป็นกฎหมายที่บัญญัติไว้เพื่อ
ปกป้องบุคคลอื่น
มิใช่กำหมายที่บัญญัติไว้เพื่อปกป้อผู้กระทำเอง
4.การหมิ่นประมาทในทางแพ่ง
หมิ่นประมาทในทางแพ่งนั้น จะต้องเป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความที่ฝ่าฝืนความจริง ถ้าการพุดหรือกล่าวใดๆ ที่เป็นความจริงถือว่าไม่เป็นละเมิด เพราะกฎหมายใช้คำว่า "ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง" ดังนั้นจึงต้องมีมาตรา 423 บัญญัติไว้เป็นพิเศษจากมาตรา 420
1.
เป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย
คือ การพูดหรือโฆษณษทำให้ได้ยิน ได้ฟัง มองเห็นภาพได้เข้าใจ หรือล่วงรู้ข้อความหรือความหมายไม่จำกัดเฉพาะการพูด และการกล่าวไขข่าวนี้ไม่จำเป็นต้องกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แม้ไม่ตั้งใจให่้เขาเสียหาย แก่ชื่อเสียง
2.
เป็นข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความจริง
คือไม่ตรงกับความจริงแม้จะไม่มีใครเชื่อว่าเป็นจริงตามที่กล่าวหรือไขข่าวนั้น ดังนั้นจะต้องมีข้อเท็จจริงสามารถยืนยันได้ ไม่ใช่การกล่าวเลื่อนลอย หรือเป็นคำกล่าวที่ไม่อาจะเชื่อถือได้โดยธรรมชาติ
3.
ทำให้ผู้อื่นเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ
ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขา คำว่า "เกียรติคุณ" หมายถึง คุณค่าหรือความนิยมของบุคคลนั้นในทางสังคมที่บุคคลนั้นได้สั่งสมมาในอดีต เพราะเป็นความรู้สึกของคนในสังคม โดยเฉพาะมีการกล่าวถึงกลุ่มบุคคลหรือการกล่าวโดยรวมโดยไม่เจาะจงว่าหมายถึงบุคคลใด
4.
เป็นข้อความที่ไม่จริงจังซึ่งผู้กระทำหรือควร
ดังนั้นหากข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวเป็นความจริง ในทางแพ่งถือว่าไม่เป็นละเมิล ดังนั้นความจงใจหรือประมาทเลินเล่อจึงมีความสำคัญเฉพาะแต่ว่าผู้กล่าวรู้หรือไม่ว่าข้อความที่กล่าวนั้นไม่จริง
5.การพิพาทษาคดีความรับผิดเพื่อละเมิด
เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาแล้ว การวินิฉัยความรับผิดทางแพ่งต้องเป็นไปตามกฎหมายแพ่ง จำเลยจะมีความผิดทางอาญาหรือไม่ หรือจะต้องรับโทษทางอาญาหรือไม่ ไม่ต้องคำนึงถึง เพราะหลักเกณฑ์ความรับผิดชอบทางอาญาและทางแพ่งอาจต่างกันดั่งที่กล่าวแล้วว่า เจตนา ในทางอาญาไม่ตรงกับ จงใจ ทางแพ่งดังที่ได้ศึกษามาแล้ว
6.บุคคลหลายคนร่วมกันทำละเมิด
ลักษณะการร่วมกันทำละเมิด
การวินิจฉัยว่าเป็นการร่วมกันทำละเมิดหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทำโดยบุคคลทั้งหลายมีเจตนาหรือมีความมุ่งหมายร่วมกัน และจะต้องมีการกระทำร่วมกันตามความมุ่งหมายแห่งเจตนานั้นด้วย กล่าวคือจะต้องมีการร่วมใจและร่วมกาย ไม่ใช่ต่างกันต่างมีเจตนา หรือมีความมุ่งหมายของตนเอง หรือต่างคนต่างกระทำ
การยุยงส่งเสริมเพื่อช่วยเหลือในการกระทำละเมิด
โดดยกฎหมายถือว่าเป็นการร่วมกันทำละเมิด และหลักการในการพิจารณาเรื่องบุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการกระทำละเมิดนั้น มีลักษณะเช่นเดียวหรือเทียบได้กับผู้ใช้ในการกระทำผิด
ความรับผิดระหว่างผู้ร่วมกันทำละเมิด
ความรับผิดของผู้ร่วมกันทำละเมิดนั้น มิได้ดูผลแห่งความเสียหายที่เกิดตากการกระทำของแต่ละบุคคลแยกกันในกรณีที่สามารถแยกได้ หรือหากไม่สามารถรู้ได้ว่าในระหว่างผู้ที่ร่วมกันทำละเมิด ทุกคนก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันในผลแห่งละเมิดนั้นเต็มจำนวนความเสียหาย ผู้กระทำละเมิดร่วมทุกคนยังคงต้องผูกพันกันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระจนสิ้นเชิง
นางสาวอนุสรา วันวาน 64012310427