Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วัตถุแห่งหนี้, หนี้งดเว้นกระทำการ, หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน, วัตถุแหงหนี้กับวัต…
วัตถุแห่งหนี้
การผิดนัดไม่ชำระหนี้
การผิดนัด(ลูกหนี้) การผิดนัดนั้นเป็นผลในทางกฎหมายที่มีความสำคัญต่อลูกหนี้และเจ้าหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีความรับผิดบางอย่างเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ก่อให้เกิดสิทธิบางอย่างแก่เจ้าหนี้เช่นกัน การผิดนัดกฏหมายกำหนดไว้ในลักษณะต่างๆ กัน ทั้งที่มีความสัมพันธ์กับกำหนดเวลาชำระหนี้และในกรณีละเมิดก็มีกำหนดไว้โดยกฎหมายด้วย อาจแยกพิจารณาได้2กรณีคือ
1.ลูกหนี้ผิดนัดโดยต้องเตือนก่อน เมื่อมีกำหนดเวลาชำระหนี้แล้ว ลูกหนี้ก็ต้องชำระหนี้ตามกำหนดนนั้น แต่การที่ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้นั้น ในบางกรณีกฎหมายยังไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด หนี้ประเภทที่เจ้าหนี้ต้องเตือนก่อนลูกหนี้จึงจะผิดนัดได้แก่หนี้ 2 กรณี คือ 1.หนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันเวลาแห่งปฏิทิน 2.หนี้ที่ไม่ม่กำหนดชำระหนี้ หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระมิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน ในมาตรา 204 วรรคแรก บัญญัติว่า ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร์ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนันเพราะเขาเตือนแล้ว หนี้ประเภทนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดชำระมิใช่ตามวันแก่งปฏิทิน เช่น กำหนดชำระหนี้เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ เมื่อสิ้นฤดูนํ้าหลาก ไม่อาจกำหนดวันที่แน่นอนชัดได้ ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว กฎหมายจึงได้กำหนดให้เจ้าหนี้ต้องเตือนลูกหนี้ก่อนเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระตามที่เจ้าหนี้เตือนลูกหนี้จึงจะผิดนัด ดังนั้นแม้หนี้จะถึงกำหนดชำระแล้ว และลูกหนี้ก็ยังไม่ชำระหนี้ ถ้าหากเจ้าหนี้ยังไม่เตือนแล้วลูกหนี้ก็ยังไม่ผิดนัด
2.ลูกหนี้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือน หนี้กลุ่มนี้มี2ประเภท 1.หนี้ที่มีกำหนดชำระตามปฏิทิน 2.หนี้ละเมิด
1.หนี้ที่กำหนดชำระตามวันแห่งปฏิทิน กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 204 วรรคสองว่า ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามที่กำหนดไซร์ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผูผิดนัดโดยมิต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแกกรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่บอกกล่าว จะเห็นได้ว่าหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เช่น กำหนดชำระหนี้ในวันที่ 10 สิงหาคม กำหนดชำระหนี้ในวันสงกรานต์ เช่นนี้วันที่กำหนดไว้นั้นมีความแน่นอนชัดเจนรู้ได้ตรงกันอยู่แล้ว ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดว่าถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดลูกหนี้ก็ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิต้องตกเตือนเลย
2.หนี้ละเมิด หนี้บะเมิดนั้นเกิดขึ้นจากการล่วงสิทธิของผู้อื่น มิใช่เกิดจากนิติกรรมสัญญาจึงไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ ในเรื่องการผิดนัดสำหรับหนีละเมิดนั้นมีบัญญัติไว้ในมาตรา 206 ว่า ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาทำละเมิด เพราะกฎหมายเห็นว่าเมื่อการทำละเมิดทำให้เขาเสียหาย ก็มีหน้าที่ต้องจ่ายค่่าสินไหมทดแทนทันทีที่ทำละเมิด จึงถือว่าผิดนัดมาแต่เวลาทำละเมิดทันที โดยไม่ต้องเตือนแต่อย่างใดทั้งสิ้น รวมถึงค่าเสียหายในอนาคตก็ต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่เวลาทำละเมิก
3.กำหนดชำระหนี้กับการผิดนัด สรุปความต่างและความเหมือนของกำหนดเวลาชำระหนี้กับการผิดนัดดังนี้
1.กำหนดเวลาชำระหนี้นั้น เป็นกำหนดเวลาที่ลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ แต่การผิดนัดเป็นผลของการไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ประกอบกับเงือ่นไขบางประการของกฎหมาย กล่าวคือ ถ้าเป็นการไม่ชำระหนี้ที่มิใช่กำหนดตามวันแห่งปฏิทินลูกหนี้จะผิดนัดก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว แต่ถ้าเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระตามวันแห่งปฏิทินลูกหนี้ก็จะผิดนัดทันทีที่ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด แ้กระนั้นการผิดนัดก็ยังเริ่มในวันถัดจากวันที่หนี้ถึงกำหนดไม่ใชผิดนัดในวันถึงกำหนด
2.กำหนดเวลาชำระหนี้ เป็นกำหนดที่เจ้าหนี้ที่สามารถเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ และเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งของการผิดนัด คือการที่เจ้าหนี้จะทำให้ลูกหนี้ผิดนัดได้นั้นต้องเป็นการเตือนลูกหนี้หลังจากที่หนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว หากยังไม่ถึงกำหนดชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็ไม่อาจทำให้ลูกหนี้ผิดนัดได้ แม่เจ้าหนี้จะเตือนให้ลูกหนี้ชำระและลูกหนี้ไม่ชำระลูกหนี้ก็ยังไม่ผิดนัด เพราะลูกหนี้ยังสามารถถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาได้อยู่ ถ้ากรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 193
3.การผิดนัด แม้จะถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ และมีเงื่อนไขอื่นที่อาจทำให้ลูกหนี้ผิดนัดเช่น การเตือ่นของเจ้าหนี้แล้วก็ตาม หากการที่ไม่ชำระหนี้นั้นมีเหตุที่ลูกหนี้จะอ้างได้ว่าไม่ใช่ความผิดของตน แต่เกิดจากพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบแล้ว ตามมาตรา 205 ก็ถือว่าลูกหนี้ยังไม่ผิดนัด คือตราบใดที่ลูกหนี้ยังมีข้ออ้างที่เป็นที่ยอมรับของกฎหทายแล้ว ลูกหนี้ก็ยังไม่ผิดนัด แม้จะถึงกำหนดชำระหนี้และเจ้าหนี้ก็เตื่อนลูกหนี้แล้วก็ตาม
4.กรณีไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด พฤติการณ์ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนี้ อาจมีที่มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน เป็นต้นว่า
- เป็นดหตุที่เกิดจากเจ้าหนี้เอง การที่ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้นั้นหากเกิดเพราะเจ้าหนี้ จะต้องรับผิดแล้วก็ถือเป็นพฤติการร์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ เหตุที่เจ้าหนี้จะต้องรับผิดนั้นอาจมีหลายเหตุด้วยกัน ได้แก่ กรณีเจ้าหนี้ผิดนัด และกรณีที่เจ้าหนี้ต้องรับผิดด้วยดหตุอื่น
2.เหตุเกิดจากบุคคลภายนอก บางครั้งการชำระหนี้ยังไม่ได้กระทำลงนั้นเป็นพฤติการณ์ที่โทษลูกหนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเหตุเกิดจากบุคคลภายนอกซึ่งเป็นเรื่องนอกอำนาจของลูกหนี้ที่จะป้องกันได้ เช่น ตกลงกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โดยตกลงกันว่าลูกหนี้จะระวังวัดแบ่งแยกที่ดินที่จะซื้อขายและไปโอนให้แก่ผู้ซื้อภายในเวลาที่กำหนด ปรากฏว่า ลูกหนี้ได้พยายามดำเนินการเพื่อรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามสัญญาเต็มความสามารถแล้ว แต่รังวัดแบ่งแยกไม่เสร็จเพราะเจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจดำเนินการได้ทัน ถือว่าลูกหนี้ไม่ผิดนัด
3.เกิดจากภัยธรรมชาติ การที่ลูกหนี้ไม่อาจชำระหนี้ได้ทันตามกำหนดอาจมีสาเหตุมาจากภัยธรรมชาติ ทั้ลูกหนี้ไม่อาจคาดการณ์และป้องกันได้ ก็ถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน
้เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องไปทำการอย่างใดอย่างหนึงหรื่อหลายอย่างแกเจ้าหนี้เช่นไปสร้างบ้าน ไปทำการงานต่างๆให้แก่นายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน มิใช่ว่าจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพียงอย่างเดียว
หนี้ที่ลูกหนี้ไม่ต้องกระทำเองก็ได้ เช่น หนี้ตามสัญญารับจ่างสร้างบ้านลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้รับเหมามาก็มิได้ลงมือสร้างด้วยตัวเองแต่ต้องไปจ้างพวกรับเหมาก็สร้างและให้ผู้รับเหมาไปจ้างคนก่อสร้างมาอีกที
เช่นเขียวไปจ้างดำผู้เป็นคนรับเหมาก่อสร้างแต่ดำไม่จำเป็นต้องทำเแงองก็ได้ ดำเลยไปจ้างคนที่ก่อสร้างมาสร้างบ้านให้เขียว
แต่ถ้าเป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องกระทำเองโดยเฉพาะ แต่ถ้าลูกหนี้ไม่สามารถมากระทำการชำระหนี้ได้ไซร้ ให้เสมือนว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้พ้นวิสัยตามมาตรา219 เช่น จ้างนักวาดภาพมาวาดภาพที่บ้านแต่นักวาดภาพเกิดอุบัตติเหตุเป็นอัมพาต
หนี้งดเว้นกระทำการ ส่วงหนี้ซึ่งมีวัตุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่าย และให้จัดการอันสมควรเพื่อกาลภายภาคหน้าด้วยก็ได้ วัตถุแห่งหนี้เป็นการงดเว้นการก่อสร้างเท่านั้นจึงกล่าวรื้อถอน เช่น ทำสัญญาเช่าที่ดินเขาสร้างอาคารพานิชณ์เพื่อทำการค้าขาย เจ้าขอที่ดินไม่ต้องการให้อาคารสูงเกิน2ชั้น ถเาผู้เช่าสร้างเกินกว่าที่ตกลงกันไว้ ผู้เช่าซึ่งเป็นลูกหนี้ก้ฝ่าฝืนหน้าที่ในกรชำระหนี้และอาจถูกบักคับให้รื้อถอนกาที่ได้ทำลงนั้นตามมาตรา213 วรรค3 อีกตัวอย่างเช่น แดงไปทำงานร้านอาหารไก่ทอดหาดใหญ่ซึ่งแดงรู้สูตรทำอาหารของร้านไก่ทอด เจ้าของร้านเลยบอกกับแดงว่าอย่าไปบอกศูตรร้านไก่ของผมนะถ้าในอนาคตแดงไปทำร้านอาหารไก่ทอดร้านอื่นแดงก็ต้องห้ามบอกสูตรร้านไก่ทอดหาดใหญ่ แต่หนี้งดเว้นกระทำการอาจขัดต่อกฎหมายขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือเป็นพ้นวิสัยด้วยเช่นกันเช่นทำสัญญาให้ค่าตอบแทนโดยที่ฝ่ายที่รับค่าตอบแทนมีหนี้ต้องไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
วัตถุแห่งหนี้เป็นการส่งมอบทรัพย์สินนั้นหมายถึงหน้านที่ลูกหนี้มีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินแก่เจ้าหนี้ เช่น สัญญาซื้อขายก๋วยเตี๋ยว ฝ่ายผู้ซื้อก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินคือราคาก๋วยเตี๋ยวแก่คนขาย คนขายก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินคือก๋วยเตี๋ยวแก่ผู้ซื้อ กฎหมายมาตรา458ได้กำหนดไว้ว่า กกรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่เมื่อได้ตกลงซื้อขายกัน สัญญาเช่าทรัพย์ ผู้เช่าก็มีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าให้ผู้เช่าได้สอยการส่งมอบทรัพย์อาจเป็นส่วนหนึ่งของแบบแห่งการโอนทรัพย์สิทธิ เพราะในเรื่องของสิทธิทางหน้า เจ้าหนี้มีเพียง สิทธิเรียกร้อง ให้ลูกหน้ปฏิบัติการชำระหนี้เท่านั้น
คำว่าทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ที่มีการบัญญัติไว้ในมาตรา195ว่า เมื่อทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้แต่เพียงเป็นประเภท และถ้าตามสภาพแห่งนิติกรรม หรือตามเจตนาของคู่กรณี ไม่อาจจะกำหนดได้ว่าทรัพย์นั้นจะพึงเป็นชนิดอย่างไรไซร์ ท่านว่าลูกหนี้จะต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดปานกลาง วัตถุแห่งหนี้คือ การส่งมอบทรัพย์ ทรัพย์จึงเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในการชำระหนี้ เพราะสิทธิเรียกร้องในทางหนี้นั้นไม่ได้ก่อให้เกิด ทรัพย์สิทธิ แต่มีเพียงบุคคลสิทธิที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ส่งมอบทรัพย์ให้เท่านั้นืหากลูกหนี้ไม่ส่งมอบเกจ้าหนี้ก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลตามมาตรา 213 ดังนั้นขอให้เข้าใจตรงกันว่า แท้จริงแล้วทรัพย์ที่ส่งมอบนี้เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุที่จะใช้ส่งมอบ คือหนี้ในกรณีนี้วัตถุแห่งหนี้คือการส่งมอบทรัพย์สิน ทรัพย์สินนั้นจึงเป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้ ไม่ใช่เป็นวัตถุแห่งหนี้ ทรัพย์ที่ลูกหนี้จะต้องส่งมอบนี้เมื่อคำนึงถึงสถานะของทรัพย์ อาจแยกออกได้เป็น2อย่างคือ เงินตราอย่างหนึ่งและทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่เงินตราอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีกฎหมายกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับทรัพย์ทั้งสองประเภทนี้ไว้แตกต่างกัน จึงจะแยกพิจารณาออกเป็น2ส่วนคือ กรณีทรัพย์ที่จะต้องส่งมอบเป็นทรัพย์สินทั่วไปอย่างหนึ่ง และเป็นเงินตราอีกอย่างหนึ่ง
ทรัพย์สินที่จะส่งมอบเป็นทรัพย์สินทั่วไปนี้อาจเป็นได้ทั้งสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์และจะเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งหรือไม่ใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่งก็ได้และแม้จะเป็นทรัพย์ในอนาคต คือในขณะที่เกิดหนี้กันนั้น ลูกหนี้ยังไม่มีทรัพย์นั้นอยู่เลยก็ได้ เช่น แดงทำสัญญาขายเก้าอี้100ตัวให้กับดำกำหนดส่งมอบ 1 เดือน เช่นนนี้แม้แดงจะยังไม่มีเก้าอี้อยู่เลยในขณะทำสัญญาและเกิดหนี้นั้น ทรัพย์นั้นยังเป็นทรัพย์ในอนาคตก็ได้
จากบทบัญญัติมาตรา195วรรคสองนี้ จะเห็นได้ว่าทรัพย์สินทั่วไปนั้นจะเป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ได้มี 2 กรณีคือ 1.ลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำเพือส่งมอบทรัพย์สินนั้นทุกประการแล้ว เช่น ลูกค้ามาซื้อข้าวสาร 2 กระสอบจากข้าวสารในร้านที่มีมากมาย ผู้ขายได้จัดการขนส่งข้าวสารจำนวน 2 กระสอบขึ้นรภของลูกค้าแล้ว เช่นนี้ข้าวสารจำนอน2กระสอบบนรถนั้นก้เป้นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
2.ลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์แล้วดวยความยินยิมของเจ้าหนี้ เช่น มีลูกค้ามาซื้อลูกสุนัขจากฟาร์มเลี้ยงสุนัข เมื่อเจ้าของฟาร์มได้เลือกลูกสุนัขที่ลูกค้าเห็นชอบแล้ว ลูกสุนัขตัวนั้นก็เป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ตั้งแต่เวลานั้น
้มาตรา159วรรคแรก ว่า เมื่อทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้แต่เพียงเป็นประเภท และถ้าตามสภาพแห่งนิติกรรม หรือตามเจตนาของคู่กรณี ไม่อาจจะกำหนดได้ว่าทรัพย์นั้นจะพึงเป็นชนิดอย่างไรไซร์ ท่านว่าลูกหนี้จะต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดปานกลาง เช่น ลูกค้าเคยมาซื้อข้าวหอมมะลิ100%เป็นประจำ เช่นนี้ก็เห็นได้ว่าเจตนาของคู่กรณีนั้นต้องการซื้อขายข้าวหอมมะลิ100% นั้น ก็ต้องส่งมอบข้าวหอมมะลิ100%
กำหนเวลลาชำระหนี้
1.หนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ บางกรณีหนี้หลายอย่างก็อาจไม่ได้กำหนดเวลาไว้ แต่หนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้นี้ มิได้หมายความว่าลูกหนี้จะไม่ต้องชำระ กฎหมายได้กำหนดหลักเกณพ์ไว้ในมาตรา 203 วรรคแรกว่า ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงไม่ได้ไซร์ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน หนี้ที่จะถือว่าไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ต้องหมายถึงหนี้นั้นไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้โดยชัดเจน และอนุมานจากพฤติการณ์ก็ไม้ได้ด้วย แต่ถ้าแม้จะมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ แต่สามารถอนุมานจากพฤติการณ์ ก็ต้องถือว่าเป็นหนี้มีกำหนดเวลาชำระหนี้กันและจะบังคับตามนี้ไม่ได้(หนี้นี้จะต้องไม่มีกำหนดเวลาทั้งโดยปริยาย) การอนุมานจากพฤติการณ์ว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้มีการตกลงชำระกันเมื่อใดนี้ จะต้องดูประกอบกันหลายอย่าง เช่น วัตถุประสงค์ของการทำสัญญา(การอนุมานจากพฤติการณ์ต้องดูเป็นกรณีๆไป) เมื่อกรณีชำระหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาไว้ชัดเเจ้ง และจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่อาจทราบความประสงค์ของคู่กรณีเช่่นี้ กรณีจึงจะบังคับมาตรา 203 วรรคแรกคือ เจ้าหนี้มีสิทธิจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน บทบัญญัตินี้ให้สิทธิแก่ฝ่ายเจ้าหนี้และลูกหนี้เสมอกัน(ผลของนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้)
2.หนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระ อาจเป็นหนี้ที่กำหนดเวลาชำระไว้โดยชัดแจ้ง เช่น กำหนดเวลาตามวันปฏิทิน หรือกำหนดตามข้อเท็จจริง เช่น ยืมเสื้อครุยเพื่อไปรับปริญญาจะส่งคืนเมื่อรับปริญญาเสร็จ ก็ถือเป็นการกำหนดโดยชัดแจ้งคือมีการตกลงกัรระหว่างคู่กรณีที่ก่อหนี้ขึ้นก็ได้ หรืออาจจะกำหนดชัดแจ้งโดยบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น หนี้ละเมิด
1.กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่เป็นที่สงสัย มาตรา203 วรรค2 บัญญัติว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนหชำระนั้นก็ได้ เช่น ดำให้แดง ยืมขันเงินใบหนึ่งไปใช้ในงานมงคลสมรสของลูกสาวของแดง เผอิญการสมรสต้องเลื่อนไป 1 เดือน ดำ ไม่อาจเรียกร้องขันเงินคืนก่อนเสร็จการสมรส เว้นแต่ ดำ จะพิสูจน์ได้ว่า แดง มิได้มีเจตนาเอาขันนั้นไปเกินกว่า 15 วัน แต่ถึงอย่างไรก็ดี แดง อาจคืนขันก่อนทำการมงคลสมรสได้
2.กำหนดเวาลาชำระหนี้ไว้ไม่เป็นที่สงสัย กำหนดเวลาชำระหนี้ที่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ตกลงกำหนดกันไว้นั้นเมื่อไม่เป็นที่สงสัยก็ยังอาจแบ่งออกได้เป็น2 อย่าง ซึ่งมีผลบังคับในทางกฎหมายแต่างต่างกันคือ
1 กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแก่งปฏิทิน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 204 วรรคสองว่า ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เช่น กำหนดชำระหนี้ในวันที่10สิงหาคม กำหนดชำระหนี้ในวันสงกรานต์ เป็นต้น อม้กฎหมายจะใช้คำที่มีความหมายแคบว่าวันแห่งปฏิทิน แต่นักกฎหมายส่วนใหญ่ เห็นว่าต้องหมายความกว้างถึงการกำหนดตามเวลาแห่งปฏิทิน คืออาจเป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปีปฏิทินก็ได้
2.กำหนดเวลาชำระหนี้มิใช่ตามวันแห่งปฏิทิน การกำหนดเวลาชำระหนี้แบบนี้นะ้น กฎหมายได้กล่าวถึงไว้ในมาตรา 204 วรรคแรกว่า ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วและชำระภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว กำหนดเวลาชำระหนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เช่น เดิมกำหนดชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อถึงกำหนดนั้นไม่มีการชำระหนี้ขึ้นด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ไม่ใช่ความผิดของลูกหนี้ ก็อาจมีผลทำให้หนี้นั้นกลายเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระไปได้
ผลของการผิดนัดของลูกหนี้
1.ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแต่การผิดนัด การที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดและตกเป็นผู้ผิดนั้น ก็ถือว่าเป็นการที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ด้วย ดังนั้นเมื่อการชำระหนี้ล้าช้าเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็อาจเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนได้ดังที่บัญญัติในมาตรา 215 ว่า เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ไซร์ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ไก้
2.เจ้าหนี้อาจไม่รับชำระหนี้ เวลาในการชำระหนี้นั้น แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการชำระหนี้ที่ลูกหนี้จะต้องชำระให้ถูกต้องในเรื่องของเวลาซึ่งเป็นความประสงค์แห่งมูลหนี้อย่างหนึ่งดังได้กล่าวแล้ว แต่เวลาในการชำระหนี้นั้นปกติแล้วก็ไม่ใช่สาระสำคัญถึงขนาดที่จะทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิจะปฏิเสธไม่รับชำระหนี้เสมอไป ผลของการชำระหนี้ที่กำหนดเวลาชำระเป็นสาระสำคัญ หนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้เป็นสาระสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสาระสำคัญมาตั้งแต่ต้นหรือเจ้าหนี้มาบอกกล่าวให้เวลาเป็นสาระสำคัฐตามมาตรา 388 ดังกล่าวนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้ก็มีสิทธิที่จะบอกปัดไท่รับชำระหนี้และเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนการชำระหนี้ได้ แต่เจ้าหนี้จะไม่บอกปิดและคให้ลูกหนี้ชำระหนี้เพียงแต่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการชำระหนี้ล่าช้าก็ได้
3.ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดระหว่างผิดนัดเพิ่มขึ้น
ความรับผิดของลูกหนี้ในกรณีนี้ต่างกับใน2กรณีแรก ในมาตรา 215 และ 216 คือในมาตรา 217 นี้ มิใช่เป็นความเสียหายที่เกิดจากการผิดนัด แต่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดเท่านั้นมิใช่เป็นเหตุโดยตรงมาจากการผิดนัดแต่เป็นเพราะลุกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามหน้าที่ของตนที่จะต้องชำระหนี้ตามกำหนด เมื่อไม่ชำระหนี้และลูกหนี้ต้องตกเป็นผู้ผิดนัดแล้ว เกิดการเสียหายหรือสูญหายขึ้นแก่ทรัพย์นั้นไม่ว่าจะด้วยความประมาทเลินเล่อของลูกหนี้ หรือเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างผิดนัด ลูกหนี้ก็ต้องรับผิด เพราะหากลูกหนี้ชำระหนี้ตามกำหนด ทรัพย์สินนั้นไปอยู่ในความครอบครองของเจ้าหนี้ความเสียหายนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น ดังนั้นกฎหมายจึงยอมให้ลูกหนี้พิสูจน์ได้ว่าแม้ตนจะได้ชำระหนี้ทันเวลากำหนดความเสียหายนั้นก็ต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง ลูกหนี้จึงจะไม่ต้องรับผิด ความเสียหายในเรื่อวนี้เกิดจาก 2 สาเหตุ คือ ความประมาทเลินเล่อของลูกหนี้อย่างหนึ่ง และเกิดจากอุบัติเหตุอีกอย่างหนึ่ง
วัตถุแห่งหนี้กับวัตถุทีประสงค์แห่งนิติกรรม อาจมีความใกล้เคียงกันอยู่ เช่น ทำสัญญาซื้อขายม้ากันหนึ่งตัว วัตถุประสงค์ของนิติกรรมคือการโอนกรรมสิทธิ์ในม้าจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อและผู้ซื้อก็มีหนี้ที่มีวัตถุแห่งหนี้เป็นการส่งมอบ หรือในสัญญาจ้างต่อเรือวัตถุประสงค์ของสัญญาก็คือการให้ผู้รับจ้างต่อเรือให้ เมือสัญญาจ้างเกิดแล้วหนี้ของฝ่ายผู้รับก็คือ มีวัตถุแห่งหนี้เป็นการกระทำการ ส่วนผู้ว่าจ้างก็มีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์ ทำนองเดียวกันในสัญญาเช่าบ้าน วัตถุประสงค์แห่งนิติกรรมก็คือ ผู้เช่าได้ใช้สอยบ้านเช่าเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อการอื่นตามที่ตกลงโดยผู้เช่าก็ได้ค่าเช่าเมื่อสัญญาเช่าเกิดแล้ว หนี้ที่เกิดแก่คู่สัญญาก็คือฝ่ายผู้เช่าก็มีหนี้ที่มีวัตถุแห่งหนี้เป็นการส่งมอบทรัพย์ และหนี้ที่มีวัตถุเเห่งหนี้ เช่น การกระทำการ ในขณะที่ผู้ให้เช่าก็มีหนี้ที่มีวัตถุแห่งหนี้เป็นการส่งมอบทรัพย์และมีหนี้กระทำการ เป็นต้น
เงินตรา1000พันบาทไม่ว่าจะแบงค์ใหม่หรือเก่า มันก็มีค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะมีแบงค์500อยู่2แบงค์ มันก็เปรียบได้ว่ามีเงินอยู่1000บาท มาตรา196 ถ้าฝากเงิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผ฿้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝาก แต่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวน
หนี้ที่เป็นหนี้ผสม อาจเป็นหนี้ที่เลือกชำระได้ก็ได้ ซึ่งหมายถงหนี้ที่มีวัตถุหลายอย่างแต่ไม่ต้องทำทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น ยืมสตางค์เขามา2000บาท เจ้าของเงินเขาบอกว่าจะนำเงินมาคืนเขา2000บาท หรือถ้าสุนัขออกลูกจะเอาลูกสุนัขมา 1 ตัวมาให้เขาแทนก็ได้
ในระหว่างที่ที่หนี้เกิดขึ้นและหนี้นั้น มีการอันพึงต้องทำเพื่อช่วงชำระหนี้มีหลายอย่าง แต่ลูกหนี้ต้องทำเพียงบางอย่าง คือ กรณีมีการเลือกชำระหนี้ แต่การชำระหนี้บางอย่างกลับเป็นพ้นวิสัย จะบังคับกันอย่างไรนั้น มาตรา 202 บัญญัติว่า ถ้าการอันจะพึงต้องทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่างและอย่างใดอย่างหนึ่งตกเป็นอันพ้นวิสัยจะทำได้มาแต่ต้นก็ดี หรือกลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลังก็ดี ท่านให้จำกัดหนี้นั้นไว้เพียงการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัย อนึ่งการจำกัดอันนี้ย่อมไม่เกิดขึ้น หากว่าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายที่ไม่มีสิทธิจะเลือกนั้นต้องรับผิดชอบ
การชำระหนี้บางอย่างพ้นวิสัยมาก่อนทำนิติกรรมแล้ว เช่นการชำระหนี้ส่วนนั้น แม้จะมีการตกลงกันก็ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 แล้วดังนั้นจึงจำกัดหนี้ไว้เพียงเพื่อการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัยเท่านั้น ตัวอย่างเช่น แดงทราบว่าต้อยมีลูกสุนัขอยู่ 3 ตัวคือตัวสีดำ ตัวสีขาว และตัวหนึ่งด่าง แดงพบต้อยที่ตลาดจึงขอซื้อลูกสุนัขหนึ่งตัว ต้อยตกลงขายให้โดยแดงเลือกเอาตัวใดก็ไก้ 3 ตัว ปรากฏว่าขณะที่ตกลงกันนั้น ลูกสุนัขสีขาวที่อยู่บ้านได้ตายเสียก่อนแล้ว โดยที่แดงและต้อยไม่ทาบ กรณีเช่นนี้สัญญา ส่วนที่ตกลงมาถึงลูกสุนัขสีขาวจึงตกเป็นโมฆะ แดงก็จะเลือกได้เพียงตัวสีดำ และด่างเท่านั้น
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-