Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง - Coggle Diagram
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง
ความหมายของการกระทำ
ม 420 คำว่า ผู้ใด จะถือว่าเป็นการกระทำละเมิดได้นั้นต้องเป็นการกระทำของ มนุษย์ รวมถึงบุคคลทุกชนิด ไม่ว่าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะเเล้วหรือผู้เยาว์ บุคคลวิกลจริต
-การกระทำ หมายถึง ความเคลื่อนไหวในอิริยาบถโดยรู้สำนึกจะต้องรู้สึกในความเคลื่อนไหวของตนเอง จึงจะเรียกว่ามี การกระทำ
เช่น ก ยกเเก้วน้ำขึ้นดื่ม ย่อมเป็นการกระทำ เพราะ ก รู้สำนึกในความเคลื่อนไหวของตนเองที่ยกเเก้วน้ำดื่ม
-เเสร้งทำ ย่อมเป็นการกระทำเพราะมีควาเคลื่อนไหวโดยรู้สำนึกในความเคลื่อนไหวของตนเอง เช่น เเสร้งทำเป็นสะดุ้งผวา
-การงดเว้นไม่กระทำ คือ เป็นการงดเว้นไม่กระทำการที่มีหน้าที่ต้องทำ
1.หน้าที่ตามกฎหมาย เช่น สามีภรรยามีหน้าที่ต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน
2.หน้าที่ตามสัญญา เช่น สัญญาจ้างเเพทย์รักษาโรค เเต่เเพทย์ไม่ปฏิบัติหน้าที่อันเกิดจากสัญญาไม่ยอมรักษาทำให้เกิดความเสียหายเเก่ตัวเขา ย่อมเป็นการงดเว้น
3.หน้าที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงที่อยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหายหรือเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งผู้งดเว้นได้ก่อขึ้น เช่น เเพทย์ประจำโรงพยาบาลระหว่างเดินทางกลับบ้านเห็นผู้ป่วยจึงเข้าไปช่วยเหลือรักษาอันมิใช่หน้าที่ตามกฎหมายตามสัญญาหากงดเว้นไม่ทำหน้าที่ ก็ย่อมเป็นการงดเว้น
การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
-จงใจ หมายถึง รู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตน
เช่น ก ยกเเก้วน้ำราดบนศรีษะ ข ก กระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นเเก่ ข จากการกระทำของตน
-การกระทำโดยผิดหลงหรือพลั้งพลาด เข้าใจโดยสุจริต คือ เข้าใจผิดในข้อเท็จจริง ไม่เป็นจงใจ
เช่น หนังสือของ ก เเละของ ข วางอยู่ใกล้ชิดกัน ก เผลอหยิบเอาหนังสือ ข
ไปเป็นของตน ดังนี้ ก มิได้กระทำโดยจงใจ
-ประมาทเลินเล่อ หมายถึง ไม่จงใจเเต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่จะใช้
เช่น ฎ21/2540 กรณีที่สารวัตรใหญ่และพนักงานสอบสวนได้ยึดรถของกลางของผู้เสียหายไว้เเล้วไม่นำมาเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจหรือสถานที่อื่นเป็นเหตุให้รถยนต์ดังกล่าวสูญหายอันเป็นการประมาทเลินเล่อ
การกระทำโดยผิดกฎหมาย
กระทำโดยจงใจ
ประมาทเลินเล่อ
การกระทำ
กระทำโดยผิดกฎหมาย
-ม 421การใช้สิทธิซึ่งมีเเต่จะให้เกิดความเสียหายเเก่บุคคลอื่น
-ข้อสำคัญ ม 421 จึงอยู่ที่การใช้ หาใช่เกี่ยวกับตัวสิทธิสิทธินั้นมีอยู่เเล้ว การใช้หรือวิธีใช้นั้นดำเนินไม่ถูกต้องตามวิธีการที่เหมาะสมหรือผิดกาลเทศะจึงเกิดความเสียหายเเก่บุคคลอื่น
การใช้สิทธิอย่างใดจึงจะถือว่าเป็นการอันมมิชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นการเเสดงว่าต้องเป็นการกระทำที่มุ่งต่อผล เป็นการกระทำโดยเจตนาโดยให้ผู้อื่นเสียหาย
การใช้สิทธิโดยประมาทเลินเล่อเเม้จะผิดเเต่ก็ไม่เป็นละเมิด ถ้าหากใช้สิทธิเพื่อความมุ่งหมายอย่างอื่น เช่น มุ่งหมายจะก่อประโยชน์เเก่ผู้ใช้ก็ไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีเเต่จะก่อให้เกิดความเสียหาย
-ตัวอย่าง จำเลยเก็บสินค้าในตึกของจำเลยมีน้ำหนักเกินอัตราที่พื้นคอนกรีตชั้นล่างจะรับได้ทำให้พื้นคอนกรีตของจำเลยยุบต่ำลงเป็นเหตุให้ตึกของโจทย์ ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกันทรุด
พื้นคอนกรีตเเละผนังตึกของโจทย์เเตกร้าว ตึกของโจทย์เอนเอียงไปทางจำเลย เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีเเต่จะเกิดความเสียหายเเก่โจทย์
-ม 422 การกระทำฝ่าฝืนบทบังคับเเห่งกฎหมาย มีความเสียหายเป็นผลเนื่องมาจากการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย ตาม ม 422 กฎหมายสันนิษฐานว่าฝ่ายที่ฝ่าฝืนกฎหมายเป็นผู้ผิด เช่น การที่รถยนต์จำเลยเเล่นเข้าไปชนรถยนต์โจทย์ทาง ด้านขวาของถนน เบื้องต้นศาลสันนิษฐานตามกฎหมายว่ารถยนต์จำเลยเป็นผู้ผิด จำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างว่าจำเลยมิใช่เป็นผู้ผิด
การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายเเก่บุคคลอื่น
1.มีความเสียหายต่อสิทธิ เช่น ก.ใช้มือที่สะอาดตบศรีษะนางสาว ข ไม่มีอะไรเปรอะเปื้อนร่างกายของนางสาว ข ซึ่งโดยความจริงเเล้วการที่ นาย ก ตบศรีษะนางสาว ข กฎหมายย่อมถือว่าเกิดความเสียหานเเก่นางสาว ข
2.ลักษณะเเห่งสิทธิ
สิทธิ คือ อำนาจหรือประโยชน์ที่กฎหมายคุ้มครองรับรองสิทธิ จึงคุ้มครองทั้งวัตถุที่มีรูปร่าง ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน เเละวัตถุไม่มีรูปร่าง
เช่น สิทธิของผู้เช่าชื้อ เเม้จะชำระค่าเช่าซื้อยังไม่ครบถ้วน หากมีผู้ใดมากระทำละเมิดในทรัพย์สินที่เช่าซื้อมาก็มีอำนาจฟ้องฐานละเมิดได้
3.ความเสียหายที่คำนวณเป็นตัวเงินได้และไม่อาจคำนวณเป็นตัวเงินได้
เช่น ก ชกต่อย ข เเต่ ข ไม่ได้รับบาดเจ็บไม่จำเป็นที่ ข ต้องรักษา เป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นเงินไม่ได้
เช่น ก ขับรถชนรถ ข เกิดความเสียหายโดยประมาทเลินเล่อ ข จะต้องเอารถไปซ่อมเเซมทำให้ดีเหมือนเดิม ข ย่อมเรียกเอาค่าเสียหายในความเสียหายจาก ก ได้
ความเสียหายนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ทำความเสียหาย
-ทฤษฎีความเท่าเทียมกันเเห่งเหตุหรือทฤษฎีเงื่อนไข
หากปรากฎว่าถ้าไม่มีการกระทำดังที่กล่าวหาเเล้ว ผลจะไม่เกิดขึ้นเช่นนั้นจะไม่มีความเสียหายดังที่กล่าวอ้าง ผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลอันเกิดจากการกระทำที่ถูกกล่าวหา ผลอันใดอันหนึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากเหตุหลายประการ ถ้าเหตุอันหนึ่งคือการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเเล้ว ผู้นั้นก็ต้องรับผิดโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่ายังมีเหตุอื่นที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นด้วยเหมือนกัน ถือว่าเหตุทุกๆเหตุ เหตุมีน้ำหนักเท่ากัน จะถือว่าเป็นเหตุบางประการเท่านั้นที่ก่อให้เกิดผลนั้นขึ้นมาได้ไม่ เพราะถ้าไม่มีเหตุทุกๆประการเหล่านั้นรวมเข้าด้วยกันเเล้วผลก็ย่อมไม่เกิดขึ้น
เช่น ก ทำร้ายร่างกาย ข โดยเตะที่ท้องเบาๆ เเต่ปรากฏว่า ข
มีโรคร้ายประจำตัวซึ่งถ้าหากถูกกระทบกระเทือนอย่างเเรง ข อาจตายได้ เเต่ ก ไม่ทราบมาก่อน ข ถึงเเก่ความตาย ดังนี้ ความตาย ข เป็นผลมาจากการกระทำของ ก เเม้ ก จะไม่รู้ว่า ข เป็นโรคดังว่านั้น คิดเเต่เพียงว่า ข อาจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เเต่ ก ต้องรับผิดในนความตายของ ข
-ทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม ถือว่าในบรรดาเหตุทั้งหลายที่ก่อให้เกิดผลขึ้นนั้น ในเเง่ความรับผิดของผู้กระทำการใดๆเเล้ว เฉพาะเเต่เหตุที่ตามปกติย่อมก่อให้เกิดผลเช่นว่านั้นที่ผู้กระทำจะต้องรับผิด
เช่น ก ย่อมไม่ทราบว่า ข มีโรคประจำตัว ถ้าทำร้ายเช่นนั้น ข อาจได้รับอันตรายถึงตายได้ ก จึงต้องรับผิดเฉพาะในกรณีที่ ข ได้รับบาดเจ็บอย่างธรรมดาเท่านั้นไม่ต้องรับผิดในความตายของ ข