Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง - Coggle Diagram
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง
1.ความหมายของการกระทำ
การกระทำ หมายถึง ความเคลื่อนไหวของบุคคลโดยรู้สึกในความเคลื่อนไหวของตนและหมายถึงการงดเว้นหรือละเว้นไม่กระทำการตามหน้าที่ที่ต้องกระท
จงใจ หมายถึง กระจำโดยรู้สึกสำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตน
ประมาทเลินเล่อ หมายถึง ไม่จงใจแต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามควรที่จะใช้ รวมถึงในลักษณะที่บุคคลผู้มีความระมัดระวังไม่กระทำด้วย
การกระทำโดยผิดกฎหมาย มีความหมายกว้าง มิใช่หมายแต่เพียงฝ่าฝืนกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง แต่หมายถึงการกระทำโดยไม่มีสิทธิหรือข้อแก้ตัวตามกฎหมาย
ความเสียหายแก่ผู้อื่น หมายถึง ความเสียหายที่เกิดแก่สิทธิของบุคคลอื่น
ผู้ใด มีความหมายเป็นเบื้องแรกที่จะถือว่าเป็นการกระทำละเมิด ต้องเป็นการกระทำของมนุษย์หรือบุคคลทุกชนิด ไม่ว่าจะบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้เยาว์ บุคคลวิกลจริต ไม่ใช่สัตว์ ตามมาตรา429
อุทาหรณ์
1.เด็กที่ไร้เดียงสาซึ่งย่อมไม่รู้ว่าตนได้ทำอะไรลงไป
เช่น เด็กทารกที่นอนอยู่ในเบาะ
2.การเคลื่อนไหวของบุคคลในเวลาหลับ
เช่น หาว ละเมอ
3.ความเคลื่อนไหวของบุคคลในเวลาที่ไม่รู้สึกตัวอย่างอื่น
เช่น เวลาป่วยจนไม่มีสติวิกลจริต เมาสุราถึงขนาดไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง
4.อาการสดุ้งผวาของบุคคลโดยสัญชาตญาณเพราะตกใจไร้สติ
การงดเว้นไม่กระทำ
ตามมาตรา420 มิได้หมายความแต่เพียงการกระทำในทางเคลื่อนไหวอิริยาบถเท่านั้น ยังหมายถึงการไม่กระทำอีกด้วย แต่ต้องเป็นการงดเว้นหรือละเว้นไม่
กระทำการที่มีหน้าที่ต้องทำ
1.หน้าที่ตามกฎหมาย
2.หน้าที่ตามสัญญา
3.หน้าที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงที่มีอยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหาย หรือเป็นผลมากจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งผู้งดเว้นไม่ก่อขึ้น
2.การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
1.จงใจ
จงใจ หมายถึง รู้สึกสำนึกผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตน
เช่น ก.ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มย่อมเป็นการกระทำดังกล่าวมาแล้ว แต่ถ้ามีข้อเท็จจริงต่อไปอีกว่า ก.ยกแก้วน้ำขึ้นราดบนศีรษะของ ข.ดังนี้ย่อมเป็นการที่ ก.กระทำไปโดยรู้สึกนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดแก่ ข.จากการกระทำของตน
โดยเหตุที่จูงใจ หมายถึง รู้สึกสำนึกว่าจะเกิดผลเสียหายแก่บุคคลอื่นจากการกระทำของคนนั้น
เช่น หนังสือของ ก. และของ ข. วางอยู่ใกล้ชิดกัน ก.เผลอหยิบหนังสือของ ข.ไปเป็นของตน ดังนี้ ก.มิได้กระทำโดยจงใจ
2.ประมาทเลินเล่อ
ประมาทเลินเล่อ หมายถึง ไม่จงใจ แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่จะใช้ รวมถึงลักษณะที่บุคคลผู้มีความระมัดระวังจะไม่กระทำด้วย ที่ว่าหมายถึงไม่จงใจ ถ้าหากเป็นกรณีที่เป็นการจงใจก็ย่อมบังคับกันในลักษณะที่เป็นการจงใจอยู่แล้ว
ตัวอย่างความรับผิดทางอาญา
เช่น ผู้เยาว์เป็นผู้รับฝากทรัพย์ไว้โดยมีบำเหน็จค่าฝาก ผู้เยาว์ก็จำต้องใช้ความระมัดระวังใช้ฝีมือเพื่อส่วนทรัพย์สินนั้น
3.การกระทำโดยผิดกฎหมาย
2.การกระทำฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมาย
พึงสังเกตว่าแม้จะมีบทบัญญัติมาตรา422 หลักเกณฑ์ในมาตรา420 ที่ว่ามีการกระทำโดยผิดกฎหมายจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นอนะสันนิษฐานได้ตามมาตรา422 แต่หลักเกณฑ์ประการอื่น คือ ได้มีความเสียหายเป็นผลเนื่องมาจากการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายนั้นยังต้องพิสูจน์ให้ได้ความต่อไป เพียงแต่กรณีตามมาตรา422นี้กฎหมายสันนิษฐานว่าฝ่ายที่ฝ่าฝืนกฎหมายเป็นผู้ผิด
กฎหมายดังว่ามานี้ ได้แก่ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวงที่ออกตามตามพระราชบัญญัติ เทศบัญญัติ
การกระทำโดยมีสิทธิกฎหมาย คือ ผู้กระทำมีอำนาจทำได้แม้จะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นก็ไม่เป็นผิดกฎหมาย
เช่น 1. สิทธิของบิดามารดาที่จะทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน
2.ครูบาอาจาร์ที่จะทำโทษศิษย์ตามสมควร
3.เจ้าพนักงานมีอำนาจจับผู้ต้องหาว่าได้กระทำผิดหรือประหารชีวิตนักโทษหรือริบของกลาง
4.การใช้สิทธิตามสัญญา
เช่น ก.ตกลงยืมรถยนต์จาก ข.มาใช้ส่วนตัว ก.ย่อมมีสิทธิใช้รถยนต์นั้นได้ตามสัญญายืม
การกระทำโดยอาศัยอำนาจตามคำพิพากษา
เช่น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทรัพย์เป็นของโจทก์ผู้ชนะคดี ให้จำเลยผู้แพ้คดีส่งมอบทรัพย์แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้ทรัพย์นั้นได้ แม้ต่อมาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจะถูกศาลสูงพิพากษากลับให้โจทก์แพ้ โดยฟังว่าทรัพย์นั้นเป็นของจำเลยและโจทก์ต้องส่งทรัพย์คืนแก่จำเลยตอนหลังก็ตาม
1.การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
เมื่อมีสิทธิแล้วมิได้หมายควายว่าจะใช้อย่างไรก็ได้ตามใจชอบ การใช้สิทธิอาจถือว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายได้
ความยินยอมไม่ทำให้เป็นละเมิด
ยังมีข้อแก้ตัวอีกบางอย่างซึ่งทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดเพราะไม่เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย
ได้แก่ การกระทำตามบทบัญญัติในหมวด3ว่าด้วยนิรโทษกรรม ตั้งแต่มาตรา449 ถึงมาตรา452
4.การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
หลักเกณฑ์การละเมิดอีกประการหนึ่ง คือ จะต้องมีความเสียหายเกิดขึ้น เมื่อยังไม่เกิดความเสียหายก็ยังไม่เป็นละเมิด
1.ความเสียหายต่อสิทธิ
ความเสียหายนั้นอาจไม่ตรงกับความคิดเห็นของบุคคลธรรมดาบางคนนัก การทำร้ายร่างกายหรือลักทรัพย์กันย่อมถือว่าเป็นความเสียหายแน่นอน
2.ลักษณะแห่งสิทธิ
สิทธิได้แก่ประโยชน์อันบุคคลมีอยู่ แต่ประโยชน์เป็นสิทธิหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ว่าบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพหรือไม่ ถ้ามีหน้าที่ต้องเคารพประโยชน์นั้นก็เป็นสิทธิ
มาตรา420กล่าวถึงชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หมายถึงว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ย่อมเป็นวัตถุแห่งสิทธิ ซึ่งไม่หมายเฉพาะสิ่งที่เป็นตัวตนเท่านั้น แต่หมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนซึ่งไม่สามารถสัมผัสแตะต้องได้ด้วย
เช่น ชื่อเสียง
3.ความเสียหายที่คำนวณเป็นตัวเงินได้และไม่อาจคำนวณเป็นตัวเงินได้
ความเสียหายอันเป็นมูลความรับผิดทางละเมิดนั้นอาจเป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นเงินได้หรือไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ก็ได้
5.ความเสียหายนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ทำความเสียหาย
ตามหลักเรียกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล หรือระหว่างความผิดกับความเสียหาย ไม่มีหลักแน่นอนที่จะปรับแก่กรณีต่างๆได้ทั่วไปทุกกรณี
พิจารณาข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆไปโดยอาศัยตรรกวิทยา ความคิดธรรมดา ความยุติธรรม นโยบาย และบรรทัดฐานที่มีมา
ทฤษฎีที่ถือว่าสำคัญ
1.ทฤษฎีความเท่ากันแห่งเหตุหรือทฤษฎีเงื่อนไข
2.ทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม