Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง, ความรับผิดกระทำละเมิดในการกระทำของผู้อื่น,…
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง
ลักษณะทั่วไปของความรับผิดในการกระทำของตนเอง
การกระทำ
คือความเคลื่อนไหวของบุคคลโดยรู้สึกในความเคลื่อนไหวของตนและหมายถึงการงดเว้นหรือละเว้นไม่กระทำตามหน้าที่ที่ต้องทำ
เช่น หน้าที่ที่เกิดจากระเบียบ การงดเว้นนี้อาจเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ได้ แต่ถ้าผู้กระทำไม่มีหน้าที่ที่จะต้องกระทำ การงดเว้นนั้นไม่ถือเป็นการละเมิด
การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
จงใจ คือ การกระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของตน
ตัวอย่างเช่น
จำเลยรื้อห้องน้ำ ห้องครัวซึ่งโจทย์ปลูกล้ำออกไปนอกที่เช่าของวัดโดยวัดต้องการจะขุดคูได้บอกให้โจทย์รื้อแล้วโจทย์ไม่ยอมรื้อการที่จำเลยรื้อแล้วกองไว้หลังบ้านโจทย์มิได้เจตนาชั่วร้ายทำให้ทรัพย์ของโจทย์อันตรายเสียหายไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แต่เป็นละเมิด เพราะรู้ว่าแล้วว่าการรื้อนั้นจะทำให้ทรัพย์ของโจทย์เสียหาย (ฎีกาที่ 1617-1618/2500)
ประมาทเลินเล่อ หมายถึง ไม่จงใจแต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่จะใช้ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
ตัวอย่างเช่น
นาย ก.ขับรถยนต์ไปในถนนที่มีคนเดินจอแจด้วยความเร็วและไม่ได้ให้สัญญาณแตรแล้วเฉี่ยวชนถูกคนเดินถนนได้รับบาดเจ็บดังนี้ถือว่า นาย ก.กระทำละเมิดโดยประมาทเลินเล่อ
การกระทำโดยผิดกฎหมาย
การทำละเมิดต้องเป็นการทำต่อบุคคลอื่น “โดยผิดกฎหมาย” อาจผิดต่อกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง รัฐธรรมนูญ ล่วงสิทธิผิดต่อบุคคลอื่น หรืออาจเป็นการฝ่าฝืนไม่ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงผิดระเบียบต่างๆ ก็ถือว่าเป็นการผิดกฎหมาย แต่หากการกระทำนั้นไม่ผิดกฎหมายก็ไม่เป็นละเมิด
ถ้าได้กระทำโดยไม่มีสิทธิหรือข้อแก้ตัวตามกฎหมายให้ทำได้แล้วก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย
แต่ถ้าได้กระทำโดยมีสิทธิตามกฎหมาย คือผู้กระทำมีอำนาจทำได้แม้จะเกิดความเสียหาย เช่น สิทธิของบิดามารดาที่จะลงโทษบุตรตามสมควร(ม.1567(2)) หรือการใช้สิทธิตามสัญญา เช่น ก. ตกลงยืมรถจาก ข. มาใช้เป็นการส่วนตัว ก. ย่อมมีสิทธิใช้รถคันนั้นได้ตามสัญญายืม
1.การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เมื่อมีสิทธิแล้วไม่ได้หมายความว่าจะใช้ตามใจชอบได้ การใช้สิทธิอาจถือได้ว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย มาตรา 421 บัญญัติว่า
"การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้นท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย"
ตัวอย่าง ฏ.1069/2509 รถพิพาทเป็นรถที่โจทย์จำเลยใช้ร่วมกันซื้อไว้ให้เป็นรถของหุ้นส่วนใช้ร่วมกัน การที่จำเลยเอารถพิพาทออกวิ่งรับจ้างหาประโยชน์ทำให้รถเสื่อมคุณภาพสึกหรอ ทำให้โจทก์เสียหายนั้นเป็นการที่จำเลยใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะความเสียหายแก่โจทก์
2.การกระทำฝ่าฝืนบทบังคับกฎหมาย มาตรา 422 บัญญัติว่า "ถ้าความเสียหายเกิดแต่การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายใดอันมีที่ประสงค์เพื่อปกป้องบุคคลอื่นๆ ผู้ใดทำการฝ่าฝืนเช่นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด เช่น กฎหมายจราจรทางบก กฎหมายปกป้องบุคคลอื่น
การกระทำก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
ความเสียหายนั้นจะเป็นความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ แต่ต้องเป็นความเสียหายที่แน่นอน และความเสียหายจะต้องเป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยผิดกฎหมายของผู้กระทำด้วย การกระทำจะเป็นละเมิดหรือไม่ ต้องมีความเสียหายเกิดขึ้น แม้มีการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ไม่มีความเสียหายย่อมไม่เป็นละเมิด
สิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น สิทธิในความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการที่จะได้รับการแต่งตั้งเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งและสิทธิเลื่อนขั้นเงินเดือนซึ่งเป็นสิทธิของข้าราชการที่กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลกำหนดไว้
ความเสียหายจะต้องเกิดจากผลโดยตรงของผู้กระทำด้วย
ความเสียหายเป็นผลมาจากการกระทำดังกล่าวนั้น
1.ทฤษฎีความเท่ากันแห่งเหตุหรือทฤษฎีเงื่อนไข
ถ้าไม่มีการกระทำนั้น ผลจะไม่เกิดขึ้นการกระทำผิดของจำเลยเป็นเงื่อนไขให้ผลเกิดขึ้น
ซึ่งถ้าไม่มีการกระทำผิด ผลนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น
2. ทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม (ผลธรรมดา)
ถือว่าในบรรดาเหตุทั้งหลายที่ก่อให้เกิดผลขึ้นนั้น ในแง่ความรับผิดของผู้กระทำการใดๆแล้ว เฉพาะแต่เหตุที่ตามปกติย่อมก่อให้เกิดผลเช่นว่านั้นที่ผู้กระทำจะต้องรับผิด
ละเมิดโดยการหมิ่นประมาท การพิพากษาคดี และร่วมกันทำละเมิด
ละเมิดโดยการหมิ่นประมาท
ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขา เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้ ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้น หาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่
มาตรา423
ตัวอย่าง ฎีกาที่ 4008/2526 การที่หนังสือพิมพ์เสนอข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ว่า...โจทก์ประพฤติตนอย่างคนไร้ศีลธรรม...โจทก์มีส่วนพัวพันเป็นผู้จ้างวานฆ่าผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ มีนิสัยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่...นั้น หาใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำไม่ เมื่อข้อความนั้นไม่เป็นความจริงย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 423 และการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าต้องทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แม้ผู้กล่าวหรือไขข่าวมิได้รู้ถึงข้อความนั้นไม่เป็นจริงแต่หากควรรู้ได้ก็ต้องรับผิด
ละเมิดโดยการหมิ่นประมาท
คือ การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
การร่วมกันทำละเมิด
มาตรา 432 ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น
1.ลักษณะการร่วมทำละเมิด
เป็นการกระทำโดยมีเจตนาหรือความมุ่งหมายร่วมกัน และจะต้องมีการกระทำร่วมกันเพื่อความมุ่งหมายร่วมกันด้วย ไม่ใช่ต่างคนต่างมีเจตนาหรือต่างคนต่างกระทำเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น
ฎีกาที่ 1188/2502 คนสามคนร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหาย ขอเช่ารถยนต์ไปเล่นการพนันกันใกล้ ๆ (ในจังหวัดเชียงใหม่) แต่กลับนำรถยนต์ไปถึงกรุงเทพฯ โดยเจ้าของรถมิได้ยินยอม ระหว่างทางคนหนึ่งขับรถไปชนวัวของคนข้างทาง รถเสียหาย ถือว่าทั้งสามคนร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ จึงต้องร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของรถยนต์
ตัวอย่างอุทาหรณ์ที่ถือว่าไม่เป็นการร่วมกันทำละเมิด เช่น ฎีกาที่ 905/2480 หลายคนต่างเรียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทย์ ไม่เป็นการร่วมกันทำละเมิด
2.ความรับผิดระหว่างผู้ร่วมกันทำละเมิด
กรณีบุคคลหลายคนได้ร่วมกันกระทำละเมิด กฎหมายมุ่งหมายถึงการกระทำมิได้ดูผลแห่งความเสียหายว่าแยกกันได้หรือไม่ ใครทำผู้เสียหายมากน้อยเพียงใด ทุกๆคนต้องรับผิดร่วมกันในผลแห่งละเมิดนั้นเต็มจำนวนความเสียหาย
ตัวอย่าง
เช่น ข. ร่วมกันทำร้าย ง. แม้จะยืนดูอยู่เฉยๆ เพียงแต่คอยให้คำแนะนำหรือเป็นผู้ใช้ไม้ตีก็ดี ค. เป็นผู้ชกต่อยก็ดี ข. และ ค. ในฐานะผู็กระทำละเมิดร่วมกันก็ต้องรับผิดในการกระทำของอีกคนหนึ่งด้วย จะอ้างว่าไม่ได้กระทำไม่ได้ ตนไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำของอีกคนหนึ่งด้วยหาได้ไม่
การพิพากษาคดี
มาตรา424 ในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าศาลไม่จำต้องดำเนินตามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่
ตัวอย่าง
ฏีกาที่. 1229/2498 ศาสพิพากษษยกฟ้องคดีอาญาเพราะจำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดิน ไม่ได้ชี้ว่าเป็นที่ดินของใคร โจทย์ฟ้องคดีแพ่งให้ศาลวินิจฉัยแสดงกรรมสิทธิ์ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องได้
ความรับผิดกระทำละเมิดในการกระทำของผู้อื่น
1.ความรับผิดของนายจ้างในผลแห่งการละเมิดของลูกจ้างในทางการที่จ้าง
1.1 ความรับผิดของนายจ้าง
มาตรา425
นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น
หมายถึง บุคคล2ฝ่าย
บุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง บุคคลหนึ่งเรียกว่านายจ้าง
ในการทำสัญญาจ้างแรงงานนั้น ถ้าหากไม่เรียกกันว่าสัญญาจ้างแรงงานหรือลูกจ้างนายจ้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงานหาถูกต้องไม่ ซึ่งในทางปฏิบัติจะใช้ถ้อยคำเรียกอย่างไรไม่สำคัญ ถ้าเข้าลักษณะสัญญาจ้างแรงงานแล้วย่อมเป็นสัญญจ้างแรงงานอยู่นั่นเอง เช่น สัญญจ้างทำความสะอาด สัญญาจ้างทำครัว
การที่นายจ้างจะต้องรับผิดนั้นจะต้องเป็นกรณีที่ลูกจ้างได้กระทำละเมิดเข้าองค์ประกอบตามมาตรา 420 ไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยจงใงหรือประมาทเลินเล่อ หากลูฏจ้างไม่ได้ทำละเมิดก็ไม่ต้องมีประเด็นให้ต้องพิจารณาต่อไปว่านายจ้าต้องร่วมรับผิดหรือไม่
ฎ.1425/2539
การที่ลูกจ้างมิได้ขับรถยนต์ทับขาผู้เสียหายโดยประมาทเลินเล่อ การกระทำของลูกจ้างจึงไม่เป็นละเมิด นายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดด้วย
1.3 สิทธิไล่เบี้ย
มาตรา 426
นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น
โดยเหตุที่การละเมิดนั้นเป็นการกระทำของลูกจ้างต่อบุคคลภายนอกเองโดยลำพัง ที่นายจ้างต้องรับผิดร่ววมด้วยกับลูกจ้างเป็นความรับผิดชอบต่อผู้เสียหาย แต่ในระหว่างลูกจ้างนายจ้างแล้ว เมื่อนายจ้างชดใช้ค่าสินไหมให้ผู้เสียหายแล้ว จึงชอบที่จะช่วงสิทธิของผู้เสียหายไล่เบี้ยเรียกให้ลูกจ้างชดใช้ให้แก่ตนได้
ฎ.648-2522
ลูกจ้างทำละเมิดนายจ้างถูกฟ้องได้ใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย ไปตามคำพิพากษาแล้ว ไล่เบี้ยเอาจากลูกจ้างได้ แต่ค่าฤชาธรรมเนียมที่นายจ้างต้องใช้แก่ผู็เสียหายตามคำพิพากษานั้น ไม่ใช่ค่าเสียหายอันเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดของลูกจ้าง นายจ้างไล่เบี้ยไม่ได้
1.4 ตัวการรับผิดในการกระทำละเมิดของตัวแทน
มาตรา 427 บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้น ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม
มาตรา 427 บัญญัติให้นำมาตรา 425 และมาตรา426 มาใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนโดยอนุโลม หมายถึง ความรับผิดชอบของตัวการในการที่ตัวแทนไปทำละเมิดนั้นให้นำบทบัญญัติเรื่องความรับผิดของนายจ้างในการทำละเมิดของลูกจ้างมาใช้อนุโลมเพราะฉะนั้นหลักเกณฑ์ความรับผิดของนายจ้างตามมาตรา 425 จึงนำมาใช้กับกรณีตัวการตัวแทนด้วย
มาตรา 797 บัญญัติว่าอันว่าสัญญาตัวแทนนั้นคือสัญญาซึ่งให้บุคคลคนหนึ่งเรียกว่าตัวแทนมีอำนาจทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกตัวการและตกลงจะทำการดังนั้น
ตัวแทนเป็นสัญญาอย่างหนึ่งและเป็นเอกเทศสัญญาเช่นเดียวกับจ้างแรงงานอันเป็นความสัมพันธ์กันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างจึงต้องวิเคราะห์ดูว่ากรณีใดที่บุคคลเป็นตัวการตัวแทนระหว่างกันพึงสังเกตว่าถ้ามิใช่เป็นการตั้งตัวแทน
เช่น
เป็นแต่การใช้หรือวานคนรู้จักกันให้ขับรถยนต์พาภริยาไปซื้อของดังนี้ไม่ใช่ตัวแทนเพราะมิใช่เป็นกิจการที่ผู้รับใช้หรือรับวันทำแทนตัวการต่อบุคคลที่ 3 แต่เป็นกิจการระหว่างผู้ใช้กับผู้รับใช้หรือผู้วานกับผู้รับวานไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลที่ 3 เลยผู้ใช้หรือวานให้ขับรถไม่ต้องรับผิดในละเมิดที่คนขับได้ทำขึ้น ฏ.1980/2505
(การใช้การงานไม่ใช่ลักษณะตัวการตัวแทน)
สิทธิไล่เบี้ยของตัวการ
ตัวการมีสิทธิ์ไล่เบี้ยตัวแทนเช่นเดียวกันที่นายจ้างมีสิทธิ์ไล่เบี้ยเอาจากลูกจ้างในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือเมื่อตัวการได้เข้าชดใช้ความเสียหายแล้วย่อมรับช่วงสิทธิ์จากผู้เสียหายมาไล่เบี้ยเอาจากตัวแทนได้ทั้งหมดเท่าที่ได้ชดใช้ไปตามมาตรา 427 ประกอบมาตรา 426
ความรับผิดของตัวการ
ในเบื้องแรกจะต้องทราบถึงขอบเขตของการเป็นตัวแทนเสียก่อนว่ามีเพียงไรถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการย่อมจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้กิจการอันตัวการได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป มาตรา 800 ในเหตุฉุกเฉินเพื่อจะป้องกันมิให้ตัวการต้องเสียหายย่อมสันนิษฐานไว้ก่อนว่าตัวแทนจะทำการใดๆเช่นอย่างวิญญูชนจะพึงกระทำก็ย่อมมีอำนาจจะทำได้ทั้งสิ้นตามมาตรา 802 อำนาจการกระทำของตัวแทนที่ได้รับมอบดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่กำหนดขอบเขตอำนาจของตัวแทนว่ามีกว้างขวางเพียงไรและจะชี้ให้เห็นว่าการละเมิดนั้นได้เกิดขึ้นในทางที่เป็นตัวแทนหรือในระหว่างที่ตัวแทนได้ปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ตัวการหรือไม่
1.2 ลูกจ้างทำละเมิดในทางการที่จ้าง
การที่จะพิจารณาว่าการกระทำละเมิดของลูกจ้างได้เกิดขึ้นในทางการจ้างหรือไม่
1.พิเคราะห์ว่าทำงานชนิดใด ประเถทใด ลักษณะงานที่จ้างเป็นอย่างไร
2.การละเมิดนั้นได้เกิดขึ้นในทางที่จ้างหรือไม่
3.ขณะที่มีการละเมิดลูกจ้างได้ปฏิบัติตามงานที่จ้างหรือไม่ ลูกจ้างจะต้องอยู่ในความดูแลของนายจ้าง ความรับผิดของนายจ้างจะมีอยู่เฉพาะเมื่อลูกจ้างได้กระทำการเสียหายระหว่างปฏิบัตติตามหน้าที่
5.การที่ลูกจ้างได้กระทำไปนั้นต้องเป็นการปฏิบัติให้งานลุล่วงไป
ลูกจ้างกระทำกิจส่วนตัวในขณะเดียวกัน
แม้ลูกจ้างจะได้กระทำกิจส่วนตัวจนเกิดการละเมิดขึ้น ก็ยังถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทางการที่จ้าง เพราะการที่ลจ.ปฏิบัติกิจส่วนตัวด้วยนั้น อาจเป็นเหตุให้ลจ.ปฏิบัติหน้าที่เพื่อนายจ้างโดยประมาทเลิดเล่อก็ได้
ฏ.1241/2502
จำเลยที่ 2 เป็นนายท้ายและผู้ควบคุมเรือยนต์ทำงานในฐานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และรับจ้างลากจูงเรือของโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ทำให้เรือบรรทุกข้าวของโจทก์ล่มเป็นไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย
กรณีที่นายจ้างมีคำสั่งห้าม
การที่นายจ้างมีคำสั่งห้ามการกระทำอันเป็นการละเมิดไว้โดยชัดเเจ้งย่อมไม่เป็นข้อต่อสู้ของนายจ้าง หากการกระทำนั้นเป็นเพียงวิธีการปฏิบัติสิ่งที่ลูกจ้างได้รับจ้างให้กระทำ
การละเมิดโดยจงใจ
การที่จะให้นายจ้างต้องรับผิดอันเนื่องมาจากการะกระทำละเมิดโดยจงใจของลูกจ้างนั้น จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าลูก จ้างได้กระทำไปโดยมีเจตนาเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง หากลูกจ้างได้กระทำไปเพื่อประโยชน์ตนเอง นายจ้างก็ไม่ต้องรับผิด กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าลูกจ้างปฏิบัติการโดยมีเหตุจูงใจเป็นส่วนตัวโดยแท้
2.ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของ
3.ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลในการกระทำละเมิดของผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตและความรับผิดของครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
3.1 ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลในการทำละเมิดของคนไร้ความสามารถ
มาตรา 429
บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้ อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล ซึ่งทำอยู่นั้น
มาตรา 429 กำหนดหลักการร่วมรับผิดเพื่อละเมิดไว้ 2 กรณีคือ
1 ผู้เยาว์และคนวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้วต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของตนเองการด้วยความสามารถไม่เป็นเหตุให้พ้นความรับผิดไปได้
2 บิดามารดาหรือผู้อนุบาลต้องร่วมรับผิดชอบเว้นแต่ใช้ความระมัดระวังในการทำหน้าที่ดีเพียงพอแล้ว
ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลตามมาตรา 429 เป็นความรับผิดเนื่องจากความบกพร่องในหน้าที่ดูแลผู้ไร้ความสามารถและเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นนั้นต้องเกิดขึ้นขณะที่ผู้ไร้ความสามารถอยู่ในระหว่างการดูแลของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลจึงจะทำให้บุคคลเหล่านี้ต้องรับผิดหากมิใช่เหตุและเมื่อที่เกิดขึ้นที่อยู่ในระหว่างความดูแลก็ไม่ต้องรับผิด นอกจากนี้ ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลตามมาตรา 429 นี้เป็นความรับผิดที่ผู้ไร้ความสามารถไปทำความเสียหายอันเป็นการละเมิดต่อบุคคลภายนอกตามหลักที่บัญญัติไว้ในมาตรา 420 หากไม่เป็นการละเมิดผู้ไร้ความสามารถก็ไม่ต้องรับผิดบิดามารดาหรือผู้อนุบาลก็ไม่ต้องรับผิดร่วมด้วยตามมาตรา 429 แต่จะต้องรับผิดฐานละเมิดเป็นส่วนตัวโดยการกระทำผิดมาตรา 420
ฎ.62/2522
เด็กหนีจากบ้านไปตั้งแต่อายุ 12 ปีแม้ถูกล่ามโซ่ไว้แล้วก็ยังมีจนอายุ 18 ปีไปรับจ้างขับรถยนต์บิดามารดาใช้ความระมัดระวังดูแลอย่างดีแล้วนอกเหนืออำนาจของบิดามารดาจะระมัดระวังได้บิดามารดาไม่ต้องรับผิดในละเมิดที่บุตรขับรถชนคนอื่นโดยประมาท
3.2 ความรับผิดของครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นในการทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
มาตรา 430
ครูบาอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร
ผู้ที่มีหน้าที่ตามมาตรา 430 คือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถในขณะละเมิดนั้น อันได้แก่ ครูบาอาจารย์ ย่อมมีหน้าที่ดูแลนักเรียน จะดูฉลอยู่เป็นนิจหรือชั่วคราวก็ต้องรับผิดเช่นเดียวกัน
ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล
ความรับผิดตามมาตรา 430 นี้แตกต่างกับความรับผิดตามมาตรา 429 ที่ว่าตามมาตรา 429 บัญญัติให้บิดามารดาหรือผู้อนุบาลมีหน้าที่นำสืบว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรจึงจะพ้นจากความรับผิดถ้าไม่นำสืบก็ไม่พ้นจากความรับผิดแต่ตามมาตรา 430 เป็นหน้าที่ของผู้เสียหายนำสืบให้ได้ความว่าผู้มีหน้าที่ดูแลมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ที่ต้องดูแลถ้าไม่นำสืบหรือนำสืบให้ฟังไม่ได้บุคคลที่รับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถก็ไม่ต้องรับผิด
2.1 ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของไม่เป็นความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น
มาตรา 428 ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง
บุคคลที่ต้องรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นจะต้องมิได้กระทำละเมิดด้วยตนเองแต่ตามมาตรา 428 ที่บัญญัติให้ผู้ว่าจ้างทำของต้องรับผิดผู้ว่าจ้างทำของจะต้องเป็นผู้รับผิดฉะนั้นความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของจึงมิใช่บทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดชอบในการกระทำของบุคคลอื่น
2.2 หลักความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของ
หลักทั่วไปว่าความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำของไม่ใช่ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นทั้งนี้ก็เพราะว่าผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิ์ควบคุมวิธีการทำงานจึงถือเป็นงานของผู้รับจ้างเองผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิที่จะออกคำสั่งบังคับบัญชาผู้รับจ้างดังนายจ้างกับลูกจ้างในสัญญาจ้างแรงงาน ดังนั้น ผู้จ้างทำของก้ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่ผู้รับจ้างก่อขึ้นแก่บุคคลภายนอกซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของผู้รับจ้างเอง
ความผิดของผู้ว่าจ้างตามที่กฎหมายกำหนดมี 3 กรณี โดยจะต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้าง
1.ความผิดในส่วนการที่สั่งให้ทำ
หมายถึงงานที่จ้างให้ทำเป็นการละเมิดต่อบุคคลอื่น
เช่น
ว่าจ้างให้ต่อเติมอาคารที่ตนเช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ
2.ความผิดในคำสั่งที่ตนให้ไว้
หมายถึง การงานที่สั่งให้ทำจะไม่เป็นละเมิดในตัวเองแต่อาจสั่งให้ผู้รับจ้างทำโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นผลให้ผู้อื่นเสียหายก็ได้ คำสั่งที่ว่านี้ไม่เหมือนกับคำสั่งเมื่อกล่าวถึงในส่วนการงานที่สั่งให้ทำตอนก่อนเป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น
เช่น
แนะนำให้ช่างทำรางน้ำชายคาของบ้านใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินข้างเคียงของผู้อื่นเวลาฝนตกน้ำไหลตกลงในที่ดินข้างเคียง
3. ความผิดในส่วนของการเลือกผู้รับจ้าง
คือการจ้างนั่นเอง คือจ้างคนที่ตนรู้ว่าไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถหรือระมัดระวังอันควรแก่สภาพของการงานที่จ้างให้ทำจึงเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยละเมิด
เช่น
จ้างสร้างบ้านทำด้วยไม้แต่ไปจ้างผู้ที่เข้าตัวไม้ไม่แน่นหนาจึงเป็นผลทำให้บ้านทรุดพังลงมาถูกทรัพย์สินของบุคคลข้างเคียงเสียหาย
นางสาวธันยมัย พลเยี่ยม 640121310265 เลขที่ 120 เซค2