Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

เตียง1 ทารกเพศหญิง อายุ 12 วัน ชื่อ เด็กหญิง ปัทมาพร ปัสสาสิงห์ …

- - - - ทฤษฎี
        
        1.พันธุรกรรม : ในครอบครัวที่ฝ่ายบิดาหรือมารดามีประวัติเป็นเพดานโหว่
        
        2.โครโมโซมที่ผิดปกติ หรือปัจจัยภายนอกที่กระทบคุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรก เช่น การขาดสารอาหาร
      - Case
        
        1.เกิดจากการขาดโครโมโซมในระหว่างสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของบ้ดาหรือมารดา
        
        2.บิดามารดาเป็นพาหะ(carrier)ของโครโมโซม rearrangement
      - พยาธิสภาพ
        
        ในช่วงครรภ์ 3-12 สัปดาห์ จะเริ่มมีการสร้างเนื้อเยื่อของริมฝีปากเเละเจริญเป็นเพดานอ่อนเเละเพดานเเข็งอย่างสมบูรณ์ในสัปดาห์ที่ 7-11 เมื่อเกิดความผิดปกติในระยะการเเบ่งตัวนี้ทำให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่เชื่อต่อกันจึงเกิดความพิการขึ้น
        
        อาการเเละอาการแสดง
        
        ทฤษฎี
        
        1.มีรอยเเยกเพดานปากส่วนหน้า คือ รอยแยกที่เพดานอ่อนไปจนถึงเพดานแข็ง
        
        อาจมีความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย เช่น
        2.1 การทำงานของกล้ามเนื้อที่เปิดปิดทางระบายหูชั้นกลางผิดปกติ มีน้ำคั่งในหูชั้นกลางส่งผลให้การได้ยินลดลง
        2.2 มีโครงสร้างของกระดูกใบหน้าส่วนกลางผิดปกติ มีการสบกันของฟันผิดปกติ ทำให้มีปัญหาการพูด พูดไม่ชัด เสียงขึ้นจมูก เเละการสำลักนมเข้าสู่ปอดได้
        
        Case
        
        1.ทารกมีรอยเเยกเพดานปากส่วนหน้า
        
        2.ทารกมีการสำลักน้ำนมเข้าสู่ปิด apnea 3 นาที
        
        การวินิจฉัยโรค
        
        ทฤษฎี
        
        1.การอัลตราซาวด์ (Ultrasound) คือการใช้คลื่นเสียงเพื่อจำลองภาพของทารกในครรภ์ และแพทย์จะทำการตรวจโครงสร้างใบหน้าของทารกเพื่อหาความผิดปกติ สามารถทำการตรวจได้ในการตั้งครรภ์ช่วงสัปดาห์ที่ 13 และอาจตรวจตัวอย่างน้ำคร่ำเพื่อหาความผิดปกติของโครโมโซมซึ่งอาจพบได้ร่วมกับโรคปากแหว่งเพดานโหว่ สำหรับการตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวด์ อาการปากแหว่งจะสามารถตรวจพบได้ง่ายกว่าอาการเพดานโหว่ที่เกิดขึ้นในเพดานปากเพียงอาการเดียว
        
        การตรวจร่างกายทารกแรกเกิด คือการตรวจลักษณะทางกายภาพของทารกหลังคลอดในช่วงแรกเกิด เพื่อตรวจความปกติของร่างกาย เช่น ความผิดปกติบนใบหน้าและช่องปาก ตา สะโพก หัวใจ รวมไปถึงตรวจอัณฑะในทารกเพศชาย
        
        Case
        
        การอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
        
        ผลตรวจเลือดพบเเขนด้านซ้ายของโครโมโซม 2 ขาดไปตั้งเเต่ตำเเหน่ง 2q33.1 ถึง 2q33.3
        
        2 more items...
        
        การรักษา
        
        ทฤษฎี
        
        การผ่าตัดใส่ท่อในหู จะทำเมื่อเด็กมีอายุ 6 เดือน เป็นการผ่าตัดเพื่อระบายของเหลวในหูชั้นกลาง และลดความเสี่ยงของการเกิดการติดเชื้อที่จะนำไปสู่การสูญเสียการได้ยิน
        
        การผ่าตัดอาการเพดานโหว่ จะทำเมื่อเด็กมีอายุ 18 เดือนหรือก่อนหน้านั้น แพทย์จะทำการเย็บเพื่อปิดรอยแยกที่บริเวณเพดานอ่อนหรือเพดานแข็งในปาก
        
        Case
        
        Consult plastic เพื่อ การผ่าตัดอาการเพดานโหว่
        
        ข้อวินิฉัยทางการพยาบาล
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 1 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการขาคสารน้ำและอาหาร เนื่องจาก มีรอยเเยกบรอเวณเพดานโหว่
        
        1 more item...
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 2 มารดาผู้ป่วยขาดความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัดแก้ไขภาวะเพดานโหว่
        
        1 more item...
- - - - อาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก ปอดมีเสียงผิดปกติ ปีกจมูกบาน มีภาวพขาดออกซิเจน ตัวเขียวคล้ำ ทรวงอกโป่งเนื่องจากมีการคั่งค้างของอากาศในทรวงอก
    - - ทารกมีภาวะหายใจลำบาก ปีกจมูกบาน ขาดออกซิเจน ตัวเขียวคล้ำ ทรวงอกโป่ง
    - - ทฤษฎี
        
        1.ทารกได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
        2.การรักษาด้วยยา
        3.เฝ้าระวังภาวะเเทรกซ้อนที่วำคัญ ได้เเก่ ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด ภาวะความกันโลหิตสูง โดยติดตามผลภาพถ่ายรังสีทรวงอกอย่างต่อเนื่อง
      - Case
        
        ทารก On O2 cannula 0.15 LPM
        keep Sp O2 > 95%
      - ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
        
        ทารกมีภาวะเนื้อเยื่อของร่างกายขาดออกซิเจน เนื่องจากการแลกเปลี่ยนก๊าซลดน้อยลง
        
        วัตถุประสงค์ : เพื่อให้ทารกได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
        ข้อมูลสนับสนุน
        O:-หายใจมีหน้าอกบุ๋ม ( Chest retraction )
        -หายใจหอบเหนื่อย
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.จัดให้ผู้ป่วยนอนให้ปอดขยายตัวมากที่สุดโดยใช้ผ้าหนุนใต้ไหล่ให้คอไม่งอหรือแหงนเกินไป ศีรษะสูงเล็กน้อยประมาณ 30 องศา( Neutral Position )
        2.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอตามแบบแผนการรักษาใส่เครื่องช่วยหายใจ (cannula 0.15 LPM) ปรับความเข้มข้นของออกซิเจนตามสภาพผู้ป่วย โดยประเมินจากสัญญาณชีพและสีผิวของผู้ป่วยตัวแดงดี ไม่มีอาการเขียว
        3.ตรวจดูบริเวณข้อต่อหรือรอยต่างๆ ทั้งที่เครื่องช่วยหายใจและสายที่ต่อเข้ากับจมูก ไม่ให้มีการรั่วหรือหลุดจากกัน
        4.ดูแลทางเดินหายให้โล่งโดยการดูดเสมหะในปากและจมูก โดยช่วยดูดเสมหะด้วยวิธีการปลอดเชื้อโรค
        5.วัดอุณหภูมิและสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อช่วยในการปรับการให้ความเข้มข้นของออกซิเจน และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเด็ก ป้องกันภาวะอุณหภูมิกายต่ำ ( Hypothermia)
        6.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำสารอาหาร ตามแผนการรักษา