Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง - Coggle Diagram
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง
ความหมายของการกระทำ
ความหมาย
คำว่า "ผู้ใด" (a person) มีความหมายเป็นเบื้องต้นแรกว่าที่จะถือว่าเป็นการกระทำละเมิดได้นั้นต้องเป็นการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่ของสัตว์ เพราะสัตว์ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่บุคคล สัตว์จะก่อการกระทำละเมิดไม่ได้ เมื่อคำว่า "ผู้ใด" หมายถึงมนุษย์แล้วจึงรวมบุคคลทุกชนิด ไม่ว่าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้เยาว์ บุคคลวิกลจริต
การงดเว้นไม่กระทำ
คำว่า “การกระทำ” ตามมาตรา 420 ไม่ได้หมายถึงเพียงการกระทำในทางเคลื่อนไหวอิริยาบถ (positive act) เท่านั้น ยังหมายถึงการงดเว้นไม่กระทำ (omission) อีกด้วย แต่ต้องเป็นการงดเว้นหรือละเว้นไม่กระทำการที่มีต่อหน้าที่ที่ต้องทำ หน้าที่อาจเกิดจากกฎหมายก็ได้ หรือเกิดจากสัญญาหรือความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงที่มีอยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหายก็ได้ หรือเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งผู้งดเว้นได้ก่อขึ้นก็ได้
ผู้เยาว์และบุคคลวิกลจริต
มาตรา 429 บัญญัติว่า “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด” จะมีการกระทำหรือไม่ก็แล้วแต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามีความเคลื่อนไหวโดยรู้สำนึกในความเคลื่อนไหวหรือไม่ ผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตที่ไม่รู้สำนึกในความเคลื่อนไหวของตนเองก็ย่อมไม่ถือว่ามีการกระทำ
การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
จงใจ
จงใจ หมายถึง รู้ถึงสำนึกถึงผลเสียหาย (damaging effect) มุ่งหมายให้บุคคลอื่นเสียหาย ไม่เพียงแต่รู้สำนึกถึงความเคลื่อนไหวของตน แต่ยังรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตนด้วยและคาดหมายว่าผลเสียหายจะเกิดขึ้น
ประมาทเลินเล่อ
ประมาทเลินเล่อ หมายถึง ไม่จงใจ บุคคลที่ทำละเมิดมิได้ตั้งใจหรือมุ่งหมายให้เขาเสียหาย แต่ทำไปโดยขาดความระมัดระวัง บุคคลในภาวะเช่นนั้นต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์
การกระทำผิดโดยผิดกฎหมาย
การกระทำโดยผิดกฎหมาย
ถ้ามีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง กรณีเห็นได้ชัด คือ กฎหมายอาญาบัญญัติว่าการกระทำอันใดเป็นความผิด ดังนี้ก็ย่อมเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างไม่มีปัญหา เช่น ประมวลอาญามาตรา 295 บัญญัติว่า "ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี..."
การกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ถ้าได้กระทำโดยไม่มีสิทธิหรือข้อแก้ตัวตามกฎหมายให้ทำได้แล้วก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย เมื่อมีสิทธิแล้วมิได้หมายความว่าจะใช้อย่างไรก็ได้ตามใจชอบ การใช้สิทธิอาจถือว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายได้ มาตรา 421 บัญญัติว่า "การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย"
การกระทำฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมาย
มาตรา 422 บัญญัติว่า "ถ้าความเสียหายเกิดแต่การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายใดอันมีที่ประสงค์เพื่อปกป้องบุคคลอื่นๆ ผู้ใดทำการฝ่าฝืนเช่นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด"
ความเสียหายนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ทำความเสียหาย
ตามหลักเรียกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล หรือระหว่างความผิดกับความเสียหาย (rappori de causalite) ไม่มีหลักแน่นอนทที่จะปรับแก้กรณีต่างๆได้ทั่วไปทุกกรณี เพราะอะไรเป็นเหตุของอะไรนั้นเป็นปัญหาทางธรรมชาติหรือข้อเท็จจริง ไม่ใช่ปัญหากฎหมาย มาตรา 420 มิได้บัญญัติว่าจะต้องรับผิดในผลอย่างใด แต่ผลบางอย่างอันสืบเนื่องมาจากการกระทำของผู้ก่อความเสียหายนั้นอาจอยู่นอกขอบเขตที่เขาควรจะต้องรับผิด
การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
หลักเกณฑ์ลักษณะละเมิดอีกประการหนึ่ง คือ จะต้องมีความเสียหายเกิดขึ้น เมื่อยังไม่เกิดความเสียหายก็ยังไม่เป็นละเมิด ที่ว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องภายหลังความรู้สำนึกในความเสียหายซึ่งในการกระทำละเมิดโดยจงใจจะต้องมีอยู่แล้วจึงแยกพิจารณาได้ ดังนี้
ลักษณะแห่งสิทธิ
สิทธิคืออะไรนั้น อาจกล่าวได้ว่า "สิทธิ" คือประโยชน์ที่บุคคลมีอยู่และบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพ ฎ 124/2487 วินิจฉัยไว้ว่า "สิทธิได้แก่ประโยชน์อีนบุคคลมีอยู่" แต่ประโยชน์เป็นสิทธิหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ว่าบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพหรือไม่ ถ้สบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพประโยชน์นั้นก็เป็นสิทธิ
มีความเสียหายต่อสิทธิ
มาตรา 420 มีความว่า "...ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี" ดูคล้ายกับเป็นการจำกัดว่าต้องเป็นการเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ฯลฯ ดังที่บัญญัติไว้แล้วเท่านั้น ซึ่งความจริงหาถูกต้องไม่เพราะความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน ย่อมหมายถึง ความเสียหายแก่สิทธิของบุคคลทั้งสิ้นเพราะบุคคลย่อมมีสิทธิในชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ และทรัพย์สิน
ความดสียหายที่คำนวณเป็นตัวเงินได้และไม่อาจคำนวณเป็นตัวเงินได้
ความเสียหายอันเป็นมูลความรับผิดทางละเมิดนั้นอาจเป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นเงินได้หรือไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ก็ได้ จะต้องระวังให้ดีว่าจะต้องไม่นำไปปะปนกับกรณีที่มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องเยียวยาในความเสียหายกันภายหลัง เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว เพราะค่าสินไหมทดแทนนั้นย่อมรวมทั้งการคืนทรัพย์สินหรือใช้ราคารวมทั้งค่าเสียหายอันพึงจะบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ
ตัวอย่าง ก ชกต่อย ข แต่ ข ไม่บาดเจ็บไม่จำเป็นที่ ข ต้องรักษา เป็นความเสียหายอันคำนวณเป็นตัวเงินไม่ได้
ตัวอย่าง ก จับ ข เอาไปกักขังอันเป็นการกระทำต่อเขาให้เสียหายในเสรีภาพ ย่อมเป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นตัวเงินไม่ได้ แต่ถ้า ข หนีออกมาต้องเสียค่าพาหนะในการหลบหนีกลับมาบ้านย่อมเป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นตัวเงินได้