Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง - Coggle Diagram
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง
ความหมายของการกระทำ
คำว่า “ผู้ใด”
มีความหมายเบื้องต้นว่า จะถือว่าเป็นการกระทำละเมิดได้นั้นต้องเป็นการกระทำของมนุษย์ หาใช่สัตว์ไม่ เพราะสัตว์มิใช่มนุษย์มิใช่บุคคล สัตว์จะก่อการกระทำละเมิดหาได้ไม่ เมื่อคำว่า ผู้ใด หมายถึงมนุษย์แล้ว จึงรวมถึงบุคคลทุกชนิด ไม่ว่าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้เยาว์ บุคคลวิกลจริต ดังจะเห็นได้โดยนัยแห่งมาตรา 429 ที่บัญญัติว่า “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด”
การกระทำ
หมายถึง ความเคลื่อนไหวในอริยาบถโดยรู้สำนึกในความเคลื่อนไหว กล่าวคือ เพียงแต่มีความเคลื่อนไหวในอริยาบถย่อมไม่เป็นการเพียงพอที่จะถือเป็นการกระทำบุคคลที่เคลื่อนไหวดังว่านี้จะต้องรู้สึกในความเคลื่อนไหวของตนด้วย ดังนี้จึง เรียกว่ามีการกระทำ
ตัวเอย่างเช่น
นายเจคส่วมใส่เสื้อแขนยาว ถือเป็นการกระทำของนายเจค เพราะนายเจครู้สำนึกในความเคลื่อนไหวของตนเองที่ส่วมใส่เสื้อแขนยาว
การงดเว้นไม่กระทำ
1.หน้าที่ตามกฎหมาย
สามีภริยามีหน้าที่ต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน (มาตรา 1461)
บุตรต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (มาตรา 1563) ถ้าไม่อุปการะเลี้ยงดูจนผู้มีสิทธิได้รับการอุปการะเลี้ยงดูได้รับความเสียหายย่อมเป็นละเมิด ซึ่งเกิดจากการงดเว้นการกระทำของผู้มีหน้าที่
2.หน้าที่ตามสัญญา
คือ หน้าที่ตามกฎหมาย เพราะสัญญาที่ใช้บังคับกันได้ย่อมเป็นกฎหมายระหว่างคู่สัญญา
เช่น
มีสัญญาจ้างแพทย์รักษาโรค แต่แพทย์ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่อันเกิดจากสัญญาคือไม่ยอมรักษา เป็นผลให้กิดความเสียหายแก่ตัวเขา ย่อมเป็นการวดเว้น จึงเป็นทั้งผิดสัญญาและละเมิด
3.หน้าที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงที่มีอยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหาย หรือเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งผู้งดเว้นได้ก่อขึ้น
เช่น
แพทย์ประจำโรงพยาบาลระหว่างเดินทางกลับบ้านเห็นผู้เจ็บป่วยก็เข้าช่วยเหลือรักษาพยาบาลอันมิใช่หน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญา หากงดเว้นไม่ทำหน้าที่ต่อให้ตลอดก็ย่อมเป็นการงดเว้น
การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเลอ
2.ประมาทเลินเล่อ
หมายถึง ไม่จงใจ แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่จะใช้ รวมถึงในลักษณะที่บุคคลผู้มีความระมัดระวังจะไม่กระทำด้วย ที่ว่าหมายถึงไม่จงใจ ถ้าหากเป็นกรณีที่เป็นการจงใจก็ย่อมบังคับกันในลักษณะที่เป็นการจงใจอยู่แล้ว
1.จงใจ
หมายถึง รู้สำนึกถึงผลเสียหาย ที่จะเกิดจากการกระทำของตน จงใจนั้นไม่เพียงแต่รู้สำนึกถึงความเคลื่อนไหวของตนเท่านั้น แต่ยังรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตนอีกด้วย ถ้ารู้ว่าจะเกิดผลเสียแก่เขาก็เป็นจงใจ
ตัวอย่างเช่น
ฎ.2542/2527 การขับรถยนต์จะผ่านทางรถไฟ แม้ไม่มีป้ายสัญญาณ "หยุด" บอกไว้ แต่ก็มีป้าย
บอกเครื่องหมายว่ามีทางรถไฟข้างหน้าแสดงไว้ ซึ่งควรใช้ความระมัดระวังดูความปลอดภัยให้แน่เสียก่อนโดยชะลอความเร็วและหยุดรถมองซ้ายและขวา ต่อเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับต่อไป แต่ไม่ปรากฏว่าได้ปฏิบัติดังกล่าว เมื่อรถยนต์ที่จำเลยขับชนกับรถไฟจึงเป็นความประมาทของจำเลย
ตัวอย่างเช่น
นายเจคยกแก้วน้ำขึ้นราดไปบนศรีษะของนายนิก ดังนี้ ย่อมเป็นการที่นายเจค กระทำไปโดนรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดแก่นายนิกจากการกระทำของตน
การกระทำโดยผิดกฎหมาย
2.การกระทำฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมาย
มาตรา 422 บัญญัติว่า “ถ้าความเสียหายเกิดแต่การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายใดอันมีที่ประสงค์เพื่อปกป้องบุคคลอื่นๆ ผู้ใดทำการฝ่าฝืนเช่นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด
1.การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล
เมื่อมีสิทธิแล้วมิได้หมายความว่าจะใช้อย่างไรก็ได้ตามใจชอบ การใช้สิทธิอาจถือว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายได้
ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่ บุคคลอื่นตามมาตรา 421 นั้น ข้อสำคัญซึ่งอยู่ที่การใช้ (exercise) หาใช่เกี่ยวกับตัวสิทธินั้นเองไม่ สิทธินั้นมีอยู่แล้ว แต่การใช้หรือวิธีใช้นั้นดำเนินไม่ถูกต้องตามวิธีการที่เหมาะสมหรือผิดกาลเทศะจึงเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
"
โดยผิดกฎหมาย
" นั้น ถ้ามีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง กรณีที่เห็นได้ชัด คือ กฎหมายอาญาบัญญัติว่าการกระทำอันใดเป็นความผิด ดังนี้นี้ก็ย่อมเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างไม่มีปัญหา
อุทาหรณ์
ฎ.220/2538
ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องผู้ที่อาศัยอยู่บ้านใกล้เคียงก่อสร้างแผ่นเหล็กในเขตที่ดินของตนแต่เป็นเหตุให้ปิดกั้นแสงแดดและทางลงที่จะเข้าตึกของเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่ง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เสียหายแก่บุคคลอื่นเป็นการละเมิดตามมาตรา 421
อุทาหรณ์
ฎ.1169-2509 การที่รถยนต์จำเลยแล่นเข้าไปชนรถยนต์โจทก์ทางด้านขวาของถนน เบื้องต้นศาลสันนิษฐานตามกฎหมายว่ารถยนต์จำเลยเป็นผู้ผิด จำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างว่าจำเลยมิใช่เป็นผู้ผิด
ความเสียหายนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ทำความเสียหาย
อุทาหรณ์
ฎ.1431/2494 จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทชนกับรถยนต์ของโจทก์ รถของโจทก์ไปกระแทกกับเสาไฟฟ้าได้รับความเสียหาย ดังนี้ การที่รถของโจทก์ไปกระแทกกับเสาไฟฟ้าเป็นผลโดนตรงจากกำลังแรงของการที่ถูกรถของจำเลยชน มิใช่รถของโจทก์ไปชนเอง จำเลยต้องรับผิด
ทฤษฎีที่สำคัญมีอยู่ 2 ทฤษฎี
1.ทฤษฎีความเท่ากันแห่งเหตุหรือทฤษฎีเงื่อนไข
ผลอันใดอันหนึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากเหตุหลายประการ ถ้าเหตุอันหนึ่งคือการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ผู้นั้นกผ้ต้องรับผิดโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่ายังมีเหตุอื่นที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นด้วยเหมือนกัน
2.ทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม
ถือว่าในบรรดาเหตุทั้งหลายที่ก่อให้เกิดผลขึ้นนั้น ในแง่ความรับผิดของผู้กระทำการใดๆแล้ว เฉพาะเหตุที่ตามปกติย่อมก่อให้เกิดผล เช่นว่านั้นที่ผู้กระทำจะต้องรับผิด
การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
1.มีความเสียหายต่อสิทธิ
ที่จะถือว่ามีความเสียหายนั้นอาจไม่ตรงกับความคิดเห็นของบุคคลธรรมดาบางคนนัก การทำร้ายร่างกายหรือลักทรัพย์กันย่อมถือว่าเป็นความเสียหายแน่นอน บุคคลธรรมดาทั่วไปย่อมคิดเห็นกันอย่างนั้น
อย่างไรจะถือเป็นความเสียหายนั้นคงต้องอาศัยการวินิจฉัยของบุคคลธรรหรือปกติชนที่คิดเห็นโดยชอบในสังคมเป็นมาตรฐาน
ตัวอย่างเช่น
นายเจย์จับมือถือแขนนางสาวจ๋อง ตามความคิดเห็นของบุคคลธรรมดาย่อมถือว่านางสาวจ๋องได้รับความเสียหาย
2.ลักษณะแห่งสิทธิ
สิทธิ คือ ประโยชน์ที่บุคคลมีอยู่และบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพ ฎ.124/2487 วินิจฉัยไว้ว่า “สิทธิได้แก่ประโยชน์อันบุคคลมีอยู่” แต่ประโยชน์เป็นสิทธิหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ว่าบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพหรือไม่ ถ้าบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพ ประโยชน์นั้นก็เป็นสิทธิ
ตัวอย่างเช่น
สิทธิของผู้เช่าซื้อ แม้จะชำระค่าเช่าซื้อยังไม่ครบถ้วน หากมีผู้ใดมากระทำละเมิดในทรัพย์ที่เช่าซื้อมาก็มีอำนาจฟ้องฐานละเมิดได้ (ฎ.1008/2506,ฎ.1068/2509 และ ฎ.1017/2514)
3.ความเสียหายที่คำนวณเป็นตัวเงินได้และไม่อาจคำนวณเป็นตัวเงินได้
ความเสียหายอันเป็นมูลความรับผิดทางละเมิดนั้นอาจเป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นเงินได้หรือไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ก็ได้ แต่ที่ว่าเป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นเงินได้หรือ อาจคำนวณเป็นเงินได้ดังกล่าวมานี้
ตัวอย่างเช่น
นายเจคชกต่อยนายสอง แต่นายสองไม่บาดเจ็บ ไม่จำเป็นที่นายสองต้องรักษา เป็นความเสียหายอันคำนวณเป็นตัวเงินไม่ได้