Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาติดเชื้อ, การพยาบาลเด็กป่วยโรคติดเชื้ออื่นๆ…
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาติดเชื้อ
โรคเอดส์ในเด็ก (PEDIATRIC AIDS)
การติดต่อ ติดต่อจากมารดาสู่ทารกจากการตั้งครรภ์ ก่อนคลอด ขณะคลอด หลังคลอด เซลที่ติดเชื้อมากที่สุด คือ CD 4 และ T-cell
การวินิจฉัย
MAJOR SIGNS
1.น้ำหนักลดเลี้ยงไม่โต
2.อุจจาระร่วงเรื้อรังมากกว่า 1 เดือน
3.มีไข้นานเกิน 1 เดือน
4.ติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่างอย่างเรื้อรัง หรือรุนแรง
MINOR SIGNS
1.ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วไป
3.เป็นโรคติดเชื้อที่ไม่รุนแรงซ้ำๆ เช่น หูชั้นกลางอักเสบ
4.ไอเรื้อรัง
5.มีผื่นที่ผิวหนังทั่วตัว
6.มารดาติดเชื้อ HIV
2.Oro-pharygeal candidiasis
การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
1.การตรวจคัดกรอง คือ enzyme liked immunosorbent assay(ELISA)
2.การตรวจยืนยันผลบวก ใช้เมื่อการตรวจคัดกรองพบผลบวกซ้ำอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยวิธีWestern blot หรือ immno fluorescence assay
3.การตรวจวินิจฉัยแยกภาวะบกพร่องของภูมิด้านทาน ได้แก่การนับจำนวน T - cell
การดูแล
ยาต้านไวรัสเอสไอว มี 3 ชนิด คือ AZT(Zidovudine), ddl (Didanosine ) และddc ( Zalcitabine)
AZT(Zidovudine) มีฤทธิ์ขับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ HIV ผลข้างเคียง พิษต่อไขกระดูก ทำให้อาการเลือดจาง เม็ดเลือดขาว ต่ำ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ตับอักเสบ และReye's like syndrome
การพยาบาล
1.ตรวจร่างกาย
2.สังเกตอาการ AIDS อายุ 4-6 เดือน ของการติดเชื้อ HIV
3.ให้อาหารพอเพียง
4.ดูแลเรื่องความสะอาดป้องกันการติดเชื้อแบคที่เรีย
5.ทารกได้รับยาต้านไวรัส AZT สังเกตอาการข้างเคียงของการได้รับยา
6.แยกของเครื่องใช้ ขวดนมแช่
7.ล้างมือให้สะอาด ใส่ถุงมือ ผ้าขยะทิ้งถุงแดง
โรคมือเท้าปาก(HAND FOOT MOUTH DISEASE)
สาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสลำไส้ หรือ เอนเทอโรไวรัสหลายชนิด (Enterovirus) โรคนี้พบบ่อยในทารกและเด็กเล็กโดยกลุ่มอายุที่พบส่วนใหญ่ คือ เด็กเล็ก ช่วงอายุต่ำกว่า 2- 5 ปี โดยทั่วไปโรคนี้มีอาการไม่รุนแรง
อาการ
ไข้ ตุ่ม หรือแผลแดงอักเสบบริเวณลิ้น เหงือก กระพุ้ง แก้ม ฝ่ามือ นิ้มือและฝ่าเท้า มักเกิดขึ้นบ่อยในช่วงที่มีอากาศเย็น และชื้น ในเขตหนาวพบมากในช่วงฤดูร้อน และต้นฤดูใบไม้ร่วง
การติดต่อ
การติดต่อโรคนี้มีการติดต่อทางการสัมผัสกับเชื้อที่ปนเปื้อนออกมากับอุจจาระและสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วยเช่น น้ำมูก น้ำลาย ตุ่มน้ำ เป็นต้น
การติดต่อได้ทางปาก สุขอนามัยที่ไม่สะอาด และการอยู่ร่วมกันอย่างแออัดการรักษาโรคนี้ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงและหายได้เอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะป่วยนานประมาณ 5-7 วัน
ส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรง มักเกิดจากเชื้ออีวี 71 มีอาการสมองอักเสบร่วมกับระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว
การรักษา
ไม่มียาต้านไวรัสชนิดนี้ โดยเฉพาะ จึงใช้การรักษาเพื่อบรรเทาอาการต่างๆ เช่น การใช้ยาลดไข้ ยาทาแก้ปวดในรายที่มีแผลที่ลิ้นและกระพุ้งแก้ม
ผู้ปกครองหรือผู้เลี้ยงดูเด็กควรเช็ดตัวผู้ป่วยเพื่อลดไข้เป็นระยะ
การพยาบาล
ดูแลให้รับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด ดื่มน้ำ น้ำผลไม้และนอนพักผ่อนมากๆ
ป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงถึงเสียชีวิต
หากพบมีไข้สูง ซึม ไม่ยอมรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำอาเจียนบ่อยหอบแขนขาอ่อนแรง ชัก ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลทันที
คำแนะนำในการป้องกัน ควบคุมโรค
ไม่ควรนำเด็กเล็กไปในที่ชุมชนสาธารณะที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย
มือให้สะอาดทุกครั้ง
ไม่ใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำร่วมกัน
หากมีเด็กป่วยรีบพาไปพบแพทย์ ควรแยกเด็กออกจากเด็กอื่นๆเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปยังเด็กอื่นและหยุดรักษาตัวที่บ้านประมาณ 1 สัปดาห์
โรคหัด (RUBEOLA หรือ MEASLES)
สาเหตุ โรคหัดเกิดจากเชื้อ measles virus
การติดต่อของโรค เชื้อ measles virus เข้าสู่ร่างกาย ทางจมูก ปากและเยื่อบุตา รับเชื้อไวรัสโดยตรง จากอยู่ใกล้ ชิดผู้ป่วยได้ โดยได้รับ ทางการหายใจ หรือเข้าทาง ปากได้
การแพร่เชื้อ ผู้ป่วยจะแพร่เชื้อ 2 วัน ก่อนปรากฎอาการหรือ 3-5 วันก่อนมีผื่นขึ้นจนถึง 4วันหลังผื่นขึ้นในเด็กบางราย สามารถแพร่เชื้อได้นานตลอดระยะของโรค
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัว (incubation) 10-12 วัน
ระยะไข้ (prodomal period ) ไข้นำมาก่อนผื่นขึ้น 4 วัน ไข้มี 2 ชนิดคือ ไข้ค่อยๆ สูงขึ้นจนสูงสุด
วันที่ผื่นออก
มีอาการ 3 C คือ Cough (ไอ) coryza (น้ำมูกไหล) และ conjunctivitis (ตาแดง)
วันที่ 2-3 คอแดงจัด และพบ Koplik spot ที่เยื่อบุกระพุ้ง เป็นเม็ดเล็ก ๆ สีขาวขนาดหัวเข็มหมุด อยู่บนพื้นที่สีแดงจะหายไปหลังผื่นขึ้น 24 ชม.
ระยะผื่น (rash) ผื่นมีลักษณะเป็นผื่นแดงเป็นกลุ่ม เริ่มที่ใบหน้า ไปลำตัวขึ้นถึงมือและเท้าภายใน 72 ชั่วโมง
ระยะพักฟื้น (convalescence ) อาการดีขึ้นผื่นขึ้นถึงมือและเท้าไข้จะลดผื่นสีคล้ำขึ้น
การรักษา
รักษาตามอาการ ให้ยาลดไข้ ให้ยาแก้ไอ ถ้าหอบมากควรให้ความชื้น และออกชิเจน ถ้าเป็นมากให้น้ำเกลือ
ถ้าไข้ไม่ลงใน 72 ชั่วโมง นึกถึงโรคแทรกซ้อน จากแบคทีเรีย เช่น ปอดบวม H. ควรให้ Ampicilline ในเด็กเล็ก
การป้องกัน
วัคซีนป้องกันโรดหัด ให้ครั้งเดียว เมื่ออายุ 9- 12 เดือน อาจให้รวมกับวัคซีนป้องกันโรดหัดเยอรมัน และดางทูม เพื่อเพิ่มระดับภูมิต้านทานให้อยู่ตลอดไป จึงแนะนำให้ซ้ำอีกครั้ง เมื่อ อายุ 4-6 ปี
โรคไข้สุกใส(CHICKENPOX หรือ VARICELLA ZOSTERVIRUS INFECTION)
สาเหตุและการติดต่อ
เกิดจากเชื้อ Varicella -Zoster ซึ่งจัดเป็นกลุ่มไวรัส Herpes เป็นDNA ไวรัส
เมื่อเป็นแล้วมักไม่เป็นอีก ติดต่อกันโดยสัมผัสโดยตรงกันกับผู้ป่วย ระยะติดต่อ เริ่มตั้งแต่ 1 วัน ก่อนผื่นขึ้นจนผื่นขึ้นไปแล้ว 6-7 วัน หรือจนกระทั่ง ตุ่มน้ำแห้งเป็นสะเก็ด ไม่พบเชื้อไวรัสในสะเก็ดที่แห้ง
อาการและอาการแสดง
ไข้ ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร 1 -2 วันก่อนผื่นขึ้น ลักษณะผื่นจะเริ่มเป็น macu le และเปลี่ยนเป็น papule และเปลี่ยนเป็น Nodule และ vesicle และแห้งเป็นสะเก็ด
ภาวะแทรกซ้อน
ปอดบวม
การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม
สมองอักเสบ
Hemorrhagic chickenpox
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตอักเสบ
การรักษา
รักษาตามอาการให้ยาลดไข้ ถ้าคันอาจให้ยาแก้คันพวก Antihistamine หรือ Calamine lotion ทา ตัดเล็บให้สั้นเพื่อไม่ให้เกา ซึ่งจะทำให้เชื้อเข้าไปในแผลได้ ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมจะเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ
โรคไอกรน (PERTUSSIS, WHOOPING COUGH)
สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussisB.Pertussis)
การติดต่อของโรค :น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ
การแพร่กระจาย :โดยการหายใจ ไอ หรือจามรดกัน มีระยะฟักตัว 7 - 10 วัน ระยะติดต่ออยู่ในช่วง 3 สัปดาห์แรกหลังการติดเชื้อ
อาการและอาการแสดง
ระยะสอง paroxysm a l stage ผู้ป่วยจะมีอาการไออย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นชุดจนอาเจียน
ระยะสาม convalescent stage ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น อาการไอจะค่อย ๆลดลงและหายไปใน 2-3 สัปดาห์
ระยะแรก catarrh al stage จะมีอาการคล้ายเป็นหวัด ระยะนี้จะนานประมาณ 1-2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อน
1.ระบบทางเดินหายใจ ปอกอักเสบเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและพบในเด็กทารก ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
ระบบประสาท ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่พบบ่อยคือ ภาวะซัก (Seizures) ซึ่งอาจเกิดจากไข้สูง หรือเกิดภาวะที่สมองขาดออกซิเจนเนื่องจากไอรุนแรง (pertussisencephalopathy)
การรักษา
1.รักษาตามอาการแบบประดับประคอง เช่น การให้ดื่มน้ำมากฯ เพื่อให้เสมหะใสและขับออกง่าย ให้อาการอ่อนย่อยง่าย น้อยๆ อาจให้ยาPhenobarbital
ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อีริโธรมัยชิน แก่ผู้ป่วยและผู้ที่อยู่ใกล้ขิด
3 .ในรายที่มีอาการแทรกซ้อน ให้การรักษาตามอาการ หรือการติดเชื้อที่เกิดขึ้น
ไข้ไขสันหลังอักเสบ
สาเหตุ
ติดเชื้อไวรัส เช่น เริม อีสุกอีใส งูสวัดหัดเยอรมัน เอนเทอโรไวรัส
ติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น วัณโรค ชิฟิลิส ไมโคพลาสมา
ประเทศไทยส่วนใหญ่จะพบว่าโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส Japanese encephalitis (JE) จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ dengue virus ซึ่งทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
การวินิจฉัย
1.การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ไขสันหลัง(MRI spine) เพื่อดูตำแหน่งรอยโรค
การเจาะหลังตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) เพื่อดูการอักเสบ
3.การตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ เช่น NMO-IgG
4.การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI brain) : ไม่ได้ทำในทุกรายที่ในรายที่ตรวจพบอาการแสดงผิดปกติของสมองร่วมด้วย
คอตีบ (DIPHTHERIA)
สาเหตุ ได้รับเชื้อ Corynebacterium diphtheria เชื้อมีระยะฟักตัว 1 - 6 วัน
อาการ มีอาการหวัดและไอนำมาก่อน 2 - 3วัน ต่อพบว่ามีแผ่นที่เยื่อบุในคอและต่อมทอนซิล
คอตีบจำแนกได้ตามตำแหน่ง
1.คอตีบบริเวณจมูก ตรวจพบเผ่นเขื่อที่ผนังกั้นช่องจมูก อาการไม่ค่อยรุนแรงแต่จะเรื้อรัง
คอตีบบริเวณคอหอยหรือต่อมทอนซิล จะมีเนื้อเยื่อสีเทาขาวเกิดบริเวณต่อมทอนซิล และหรือบริเวณหลอดคอ ลิ้นไก่ เพดาน bull neckพบอาการรุนแรง
คอตีบบริเวณกล่องเสียง เด็กจะมีอาการไอแห้ง เจ็บคอ เสียงแหบ หายใจไม่สะดวก
คอตีบที่ตำแหน่งอื่นๆ เช่น ผิวหนัง การตรวจวินิจฉัย ควรขูดแผ่นของเชื้อไปตรวจ ทำให้วินิจฉัยได้ถูกต้อง แน่นอนและรวดเร็ว
ภาวะแทรกซ้อน ทางเดินหายใจอุดกั้น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบประสาทอักเสบ
การรักษา
2.การรักษาทั่วไป
3.การให้ DAT ผู้เป็นโรค สัมผัสเชื้อ
1.ให้ยาปฏิชีวนะ penicillin
การป้องกัน สร้างภูมิคุ้มกัน ผู้สัมผัสเชื้อ สังเกตอาการในช่วง 7 วัน ตรวจเชื้อให้วัคซีน
การพยาบาล
2.ไม่สามารถปฏิบัติกิจกรรมได้ตามปกติเนื่องจากมีการถูกทำลายของกล้ามเนื้อหัวใจ
3.ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เนื่องจากการหายใจหอบมีภาะแทรกซ้อนจากการอัมพาตของเพดานอ่อน
1.ประสิทธิภาพการหายใจบกพร่อง เนื่องจาก ทางเดินหายใจอุดตันจากการมีแผ่นเนื้อเยื่อกีดขวาง
4.เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อเนื่องจากคอตีบสามารถติดต่อได้ทางเดินอาหาร
5.เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆได้รับอันตรายจากท็อกชินของเชื้อ Corynebacterium Diphtheria ที่เพิ่มจำนวน
เด็กและบิดา มารดา มีความวิตกกังวลเนื่องจากต้องได้รับการรักษา โดยการใส่ท่อเจาะคอ และ/หรืออยู่ในห้องแยก
คางทูม(MUMPS หรือ EPIDEMIC PAROTITIS)
สาเหตุ และการติดต่อ
เป็นชื้อไวรัสพวก paramyxovirus ติดต่อกันทางสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย หรือทางอากาศ หรือสิ่งของที่มีเชื้อไวรัส
ผู้ป่วยสามารจะแพร่เชื้อไวรัสได้ตั้งแต่ 7 วัน ก่อนที่จะมีอาการปรากฎ ไปจนถึงวันที่ 9 หลังจากเริ่มเห็นต่อม Paratid บวมโดยทั่วๆไป เราควรแยกผู้ป่วยไว้จนกว่าจะยุบบวมเมื่อเป็นโรคนี้แล้วจะมีภูมิต้านทานตลอดชีวิต
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัวประมาณ 18 วัน ต่อมน้ำลายอักเสบ มีไข้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
ใน 24 ชั่งโมงจะมีอาการปวดบริเวณหน้าหู ปวดมากเวลา เคี้ยว ต่อมา Parotid เริ่มบวมและบวมเต็มที่ ภายใน 1-3 วัน อาจดันใบหูขึ้นและกางออกทางด้านข้าง ต่อมจะบวมอยู่นาน 6-10 วัน แต่ไข้จะลดก่อนต่อมยุบ
ประมาณ 1 - 6 วัน อาการอื่นอาจจะมีอัณทะอักเสบในเด็กผู้ชาย มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การประเมินสภาพ
การตรวจร่างกาย พบว่ามีอาการต่างๆ
การรักษาให้การรักษาตามอาการ
ประวัติ การสัมผัสกับผู้ป่วย ที่เป็นโรคคางทูม หรือมีบุคคลในดรอบครัวที่เป็นโรคนี้
โรคไข้เลือดออก (DENGUE HEMORRHAGIC FEVER)
สาเหตุ เกิดจากเชื้อ Dengue virus โดยมียุงลาย (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค
อาการและอาการแสดง
2.อาการเลือดออก หรือ TT- test +ve
3.ตับโต กดเจ็บ
1.ไข้สูงลอย 2-7 วัน
4.Shock
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Hct.เพิ่ม มากกว่า 20% ของbase line หรือมีหลักฐานการรั่วของพลาสมา
Platelets < 100,000 หรือ <3 ตัว /oil field
การดำเนินโรค
ระยะไข้
หน้าแดง(Flushed face) ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก
อาเจียน กินได้น้อย ซึม
ไข้ สูง 40 - 41 C ประมาณ 2-7 วัน
ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก(Break bone fever)
อาจพบผื่นแบบ Maculopapular rash ได้
มีอาการเลือดออก
Hepatomegaly (พบวันที่ 3 - 4)
TT-test +ve
ระยะวิกฤต/Leakage/Shock
ใช้เวลาประมาณ 24-48 ช.ม.
ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วย มีอาการ SHOCK ได้
มีการรั่วของพลาสมา มากกว่า 20% พบในDHF ทุกราย
ส่วนใหญ่ Conscious ดี ยกเว้นมีอาการทางสมองร่วมด้วย
อาการShock: ปวดท้องใต้ชายโครงขวา,มือเท้าเย็น,capillary refill >2 sec.,PPS 20 mmHg, BP<90/60 mmHg
ระยะฟื้นตัว
อยากอาหาร ปัสสาวะบ่อย
Bradycardia, Pulse แรง ชัด, PP กว้าง มี Convalescent rash อาจพบเป็นConfluent petichial rash
ระยะนี้ใช้เวลา 2-3 วัน
การดูแล
ระยะไข้
อาหาร: อาหารอ่อน, ดื่มORร, งดอาหารสี ดำ แดง น้ำตาลยาอื่น ๆ ใช้เท่าที่จำเป็น
ห้ามให้ Steroid,NSAID (โดยเฉพาะ ASA)
การลดไข้ : เช็ดตัว,ให้ Paracetamol เท่านั้น
การให้เV luid : ให้เมื่อขาดน้ำเท่านั้น (ไม่เกิน M/2)
รยะวิกฤต
การให้IV fluid
Crystalloid solution เช่u 5% DNSS, 5% DLR,RLS, 0.9%NSS ขณะShock ให้ 0.9% NSSหรือ RLS
Colloidal solution เช่น Plasma ,Dextran-40 ควรให้ครั้งละ 10 cc/kg/hr. จึงจะ hold volume ได้ดี
ระยะฟื้นตัว
Off iv fluid
ระวัง bleeding ห้ามทำหัตถการรนแรง
ถ้าผู้ป่วยยังไม่อยากอาหาร ควรแนะนำให้กินน้ำผลไม้
คำแนะนำก่อนกลับบ้าน
งดเล่นกีฬา
งดขับขี่ หรือ ซ้อน รถจักรยาน - จักรยานยนต์
กินอาหารอ่อนๆ
ระวังกิจกรรมที่อาจทำให้เลือดออกได้ง่าย
โปลิโอ (POLIOMYELITIS)
การรักษา
non paralytic uaะ mild paralytic orm อาจรักษาที่บ้านได้ ไม่ต้องให้ยาแก้อักเสบ ถ้าเป็นชนิด Abortive forms ให้ยาแก้ปวด เช่น paracetama
ชนิด paralytic form ควรให้อยู่โรงพยาบาล เมื่อผู้ป่วยหายเจ็บ กล้ามเนื้อแล้ว ให้กายภาพบำบัด
ชนิด Bulbar poliomyelitis ต้องระวังเรื่องการหายใจ ถ้าจำเป็น ต้องเจาะดอ ก็ควรจะเจาะคอ และใส่หลอดดอ
การวินิจฉัย ที่แน่นอน ต้องแยกเชื้อไวรัสได้ ในระหว่างที่มีการระบาดของpoliomyelitis ควรให้ผู้ป่วยที่คิดว่าจะมี AbortiveForm พักอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และอีก 2 เดือนควรตรวจอย่างละเอียด เพื่อดูว่ามีกล้ามเนื้อลีบหรือไม่
อาการและอาการแสดง
Paralytic poliomyelitis
อาการและอาการแสดงเหมือนกับ non paralyticpoliomyelitis บวกกับอาการอ่อนกำลังของแขนขา หรือประสาทสมอง นอกจากนี้มีอาการของกระเพาะปัสสาวะร่วมด้วย หลังอาการไข้ 3 -5 วัน
Bulbar poliomyelitis
ถ้าทำลายส่วน Vita l center จะทำให้หายใจลำบาก นอกจากนี้อาจทำให้ขาดออกซิเจน และc02 คั่งได้
เส้นประสาทสมองที่มักผิดปกติ ได้แก่ประสาทสมองที่ 9,10,11
spinal poliomyelitis
คือ ผู้ป่วยโปลโอ จะมีไข้นำมาก่อนท้องเสีย เบื่ออาหารและเจ็บคอ เป็นอยู่ 2-3 วัน แล้วจะดีขึ้น 2-3 วันจะเริ่มมีไข้ใหม่กล้ามเนื้อบริเวณขาส่วนต้น มี
อัมพาตของขาข้างนั้น ลักษณะแบบอ่อนนิ่ม(Flaccid para lysis)
Non paralytic Poliomyelitis
อาการต่างๆ คล้ายกับพวก abortive form แต่รุนแรงกว่า มีอาการปวดและตึงบริเวณกล้ามเนื้อ คอส่วนหลัง ลำตัวแขนและขา ควรตรวจ nuchal spinal sign หลายอย่าง
Abortion poliomyelitis
ผู้ป่วยจะมีอาการไช้ในระยะสั้นๆปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ เจ็บคอ ท้องผูก และปวดท้อง ทั่วไป แล้วอาการต่างๆเหล่านี้ จะ ค่อยๆหายไป
การป้องกัน
ให้ oral polio vaccine แก่เด็กเล็กทุกคนตั้งแต่ อายุ 2 4 และ 6 เดือน ตามลำดับ และให้ซ้ำอีก เมื่ออายุ 1ปีครึ่ง และ 4 ปีตามลำดับ
โรคหัดเยอรมัน(RUBELLA, GERMAN MEALSES )
สาเหตุ เชื้อไวรัส ได้แก่ rubella virus ไวรัสนี้ก่อโรคเฉพาะในคนเท่านั้น
การติดต่อ โรคนี้ติดต่อได้ทางการหายใจเป็นสำคัญ ในผู้ป่วยจะพบเชื้อ ไวรัส ได้ในจมูก ลำคอ และเสมหะ ได้เป็นจำนวนมาก เชื้อนี้จะแพร้ไปสู่ผู้อื่น ได้โดยตรงทางการหายใจ และโดยอ้อม
การติดเชื้อโรคนี้จำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยเป็นเวลานาน ช่วงที่มีการแพร่เชื้อได้มากที่สุดคือช่วงระยะ2-3 วัน ก่อนมีผื่น ถึง 5- 7 วันหลังมีผื่น และบางคนสามารถแพร่เชื้อไวรัสทาง nasophsrynx และปัสสาวะได้เป็นปี
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักโรคประมาณ 14 -21 วัน (เฉลี่ย 16-18 วัน)
อันแรกคือ ผื่น แต่ในเด็กวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่มักมีอาการไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร ตาแดง เจ็บคอ
ในระยะก่อนผื่นขึ้นหรือวันแรกที่ผื่นขึ้นอาจตรวจพบ exanthem ได้ในปาก เห็นเป็นจุดแดงขนาดเท่าปลายเข็มหรือใหญ่กว่าบนเพดาน อ่อน ถ้ามีไข้มักเป็นไข้ต่ำ ๆ และอยู่นานไม่เกิน 1 วันหลังผื่นขึ้น
ผื่นเป็นแบบ maculopapular จะเริ่มที่หน้า กระจายลงมาตาม คอ แขนลำตัว และขาอย่างรวดเร็วภายใน 1 วัน
วันที่2ผื่นที่หน้าจะเริ่มจางหายไปแต่ผื่นตามลำตัวจะมารวมกันหนาขึ้นดล้ายในโรคอีดำอีแดง (scarlet fever) ผื่นมักอยู่นานไม่เกิน 3 วัน
การรักษา
รักษาตามอาการ Corticosteroid แaะ platelet transfusion อาจจำเป็นในรายที่เกร็ดเลือดต่ำมากและมีจุดเลือดออก ในหญิงมีครรภ์อ่อน ๆ ที่เป็นโรดหัดเยอรมันแนะนำให้ทำแท้ง (Therapeutic abortion)
การป้องกัน
วัคซีนป้องกันโรคหัด ให้ครั้งเดียว เมื่ออายุ 9- 12 เดือน อาจให้รวมกับวัดซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และดางทูม เพื่อเพิ่มระดับภูมิต้านทานให้อยู่ตลอดไป จึงแนะนำให้ซ้ำอีกครั้ง เมื่อ อายุ 4-6 ปี
โรคบาดทะยัก
สาเหตุ : เชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani (C. tetani)
การพยาบาล
แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกที่เงียบสงบ ไม่มีแสงรบกวน
หมั่นดูแลความสุขสบายของผู้ป่วย และความสะอาดของร่างกาย
เมื่อผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาประเภท sedative ควรดูแลการให้ยา
ดูแลการให้อาหารเหลวทางสายยาง และระวังการสำลักอาหาร
5.ขณะที่ผู้ป่วยมีอาการชักเกร็ง ต้องระมัดระวังไม่ให้ผู้ป่วยตกเตียง ระวังการกัดลิ้นโดยใช้ mouth gag
หมั่นดูดเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย
การทำแผล ควรแยกเครื่องมือเครื่องใช้เฉพาะ
ดูแลการได้รับน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวัน
9.ปลอบใจบิดามารดาให้คลายความวิตกกังวล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรค และการป้องกัน
พยาบาลจึงควรมีความรู้และการปฏิบัติในการพยาบาลเด็กที่มีอาการซักเกร็งอย่างถูกต้อง
การพยาบาลเด็กป่วยโรคติดเชื้ออื่นๆ หรือโรคอุบัติใหม่
การพยาบาลเด็กป่วยโรคติดเชื่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน