Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง - Coggle Diagram
ความรับผิดกระทำละเมิดด้วยตนเอง
ความหมายของการกระทำ
การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกในการเคลื่อนไหวนั้น และอยู่ในบังคับของจิตใจผู้กระทำ การกระทำ รวมถึงการงดเว้นหน้าที่ที่จะต้องกระทำรวมถึงการงดเว้นหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันผล
การกระทำละเมิดของผู้เยาว์ผู้เยาว์และบุคคลวิกลจริต ตามมาตรา ๔๒๙ บัญญัติว่า "บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น"
การงดเว้นไม่กระทำการ เป็นการงดเว้นหรือละเว้นไม่กระทำการที่มีหน้าที่ ที่ต้องทำ แยกพิจารณาได้ ดังนี้
1.หน่าที่ตามกฎหมาย เช่น พ่อแม่มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร
2.หน้าที่ตามสัญญา เช่น นายแดงทำสัญญาจ้างนายเขียวสร้างบ้าน ถ้านายเขียวไม่ยอมทำนายเขียว ย่อมเป็นการงดเว้น ทั้งผิดสัญญาและละเมิด
3.หน้าที่เกิดจากความสัมพุนธ์ทางข้อเท็จจริงที่มีอยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหาย หรือเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งผู้งดเว้นได้ก่อขึ้น เช่น กู้ภัยประจำหน่วยงานแห่งหนึ่ง ขณะกลับบ้านพบผู้ประสบอุบัติเหตุ หากงดเว้นไม่ทำหน้าที่ไห้ตลอดย่อมเป็นการงดเว้น
การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเลอ
ตามมาตรา ๔๒๐ บัญญัติว่า "ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น" แยกพิจารณาได้ 2 กรณี
1.จงใจ หมายถึง การกระทำที่รู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากกระทำของตน เช่น นายลีกำลังกินกล้วยอยู่ แต่ขณะนั้นนายลีเหลือบไปเห็นนายมีที่กำลังจะเดินมา นายลีจึงโยนเปือกกล้วยลงพื้นเพื่อไห้นายมีเหยียบและลื่นล้ม ดังนั้นการกระทำของนายลีจึงเป็นการจงใจโดยรู้สำนึกผลเสียหายที่จะเกิดแก่นายมี
แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยผิดหลง หรือการเข้าใจโดยสุจริต ไม่เป็นการจงใจ เช่นนายลีเผลอหยิบกระเป๋าของนายมีไปซึ่งมีลักษณะคล้ายกันมาก ดังนั้น นายลีไม่ได้กระทำโดยจงใจ
2.ประมาทเลิ่นเล่อ หมายถึง ไม่จงใจแต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่จะใช้ รวมถึงลักษณธที่บุคคลผู้มีความระมัดระวังจะไม่กระทำด้วย ซึ่งกฎหมายวางระดับไว้โดยทั่วไปไว้ในระดับวิญญูชน (ดูมาตรา ๓๒๓,๔๗๓,๕๕๓,๖๕๓ วรรคสอง และมาตรา ๘๐๒) กรณีกฎหมายไห้ใช้ความระมัดระวังยิ่งหรือหย่อนกว่านั่น ตามมาตรา ๖๕๙ วรรคหนึ่งและสาม
เช่น จำเลยเปิดฟิตเนต เพื่อไห้คนออกกำลังกาย แต่เมื่อคนได้ไปโหนบาร์ ปรากฏว่าบาร์หักทำไห้คนบาดเจ็บ จึงถือเป็นความประมาทเลิ่นเลอของจำเลย
การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะไห้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ตามมาตรา ๔๒๑ บัญญัติว่า "การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย"
เช่น จำเลยระบิดภูเขาซึ่งเป็นพื้นที่สัปทานของตน ที่อยู่ใกล้หมู่บ้านของชาวบ้าน เป็นเหคุไห้เศษหิกระเด็นมาถูกบ้านของชาวบ้านเสียหาย แม้จำเลยจะมีสิทธิระเบิด แต่จำเลยจะต้องไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทย์ การกระทำจึงเป็นการละเมิด
การกระทำโดยผิดกฎหมาย
เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๔๒๐ และในมาตรา ๔๒๑ กล่าวโดยสรุปว่า ถ้าได้กระทำโดยไม่มีสิทธฺหรือข้อแก้ตัวตามกฎหมายไห้ทำได้แล้ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย ถ้ามีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งและเห็นได้ชัด คือ กฎหมายอาญาบัญญัติว่าการกระทำใดเป็นความผิด เช่น ปอ. มาตรา ๒๙๕ หรือมาตรา ๓๖๒
การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะไห้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เมื่อมีสิทธิแล้วมิได้หมายว่าจะใช้ตามใจชอบ การใช้สิทธิอาจถือเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย
มาตรา ๔๒๑ บัญญัติว่า "การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย"
เช่น รถพิพาทที่โจทก์และจำเลยร่วมกันซื้อ การที่จำเลยนำรถพิพาทนั้นไปใช้วิ่งรับจ้างหาประโยชน์ไห้ตนทำไห้รถเสื่อมคุณภาพ ทำไห้โจทก์เสียหายนั้น เป็นการที่จำเลยใช้สิทธิซึ่งมีแต่ความเสียหายแก่โจทย์
ความยินยอมไม่ทำไห้เป็นการละเมิด ตาม พรบ. ว่าด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๙ ว่า "ความตกลงหรือความยินยอมของผู้เสียหายสำหรับการกระทำที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จะนำมาอ้างเป็นเหตุยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดเพื่อละเมิดมิได้ " เช่น จำเลยกินข้าวกับถาดเดียวกับโจทก์แต่จำเลยกินเกินไปในส่วนของโจทก์โดยที่โจทก์ยินยอมถือเป็นการยินยอม ไม่เป็นละเมิด
การกระทำฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมาย มาตรา ๔๒๒ บัญญัติว่า "ถ้าความเสียหายเกิดแต่การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายใดอันมีที่ประสงค์เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ ผู้ใดทำการฝ่าฝืนเช่นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด" เช่น การที่จำเลยขับรถยนต์ผ่าไฟแดงและไปชนรถยนต์
อีกคันที่จอดอยู่ทางด้านขวา เบื้องต้นศาลสันนิฐานว่าจำเลยเป็นผู้ผิด จำเลยมีหน้าที่สืบหักล้างว่าจำเลยเป็นผู้ผิด
การกระทำที่ก่อไห้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
มีความเสียหายต่อสิทธิ มาตรา ๔๒๐ บัญญัติว่า "ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"
ลักษณะแห่งสิทธิ อาจกล่าวได้ว่า สิทธิ คือ ประโยชน์ที่บุคคลมีอยู่และบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพ และได้รับการรับรองและคุ้มครองตามกฎหมาย
เช่น สิทธิที่จะได้รับการบริการจากสาธารณะสุข ผู้ใดมาขัดย่อมเป็นการละเมิด ตามมาตรา ๔๒๐
ความเสียหายที่คำนวณเป็นตัวเงินได้และไม่อาจคำนวณเป็นตัวเงินได้ จะต้องระวังไม่ปะปนกับค่าสินไหมทดแทน เพราะค่าสินไหมทดแทนเป็นเรื่องที่จะเยียวยาในภายหลัง
เช่น นายกาด่าดูหมิ่นนายหา ย่อมเป็นความเสียหายที่คำนวณเป็นเงินมิได้
นายฟา ใช้ก้อนหินปาใส่กระจก นายพา ทำไห้กระจกนายพาแตก เป็นความเสียหายที่คำนวณเปป็นเงินได้
ความเสียหายนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ทำความเสียหาย
ตามหลักเรียกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลหรือระหว่างความผิดกับความเสียหาย ไม่มีหลักแน่นอนศาลและนักนิติศาสตร์จึงหาหลักเกณฑ์มาปรับปัญหาต่างๆ ว่าผลที่จะต้องรับผิดควรอยู่ในขอบเขตอย่างใด ซึ่งมีทฤษฎีอยู่ 2 ทฤษฎี ดังนี้
ทฤษฎ๊ความเท่ากันแห่งเหตุหรือทฤษฎ๊เงื่อนไข ถือว่าหากปรากฏว่าถ้าไม่มีการกระทำดังกล่าวแล้ว ผลจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เช่น นายมีจับผมนายสีเบาๆ แต่ปรากฏว่า นายสีมีโรคประจำตัว ทำไห้ผมนายสีร่วงหมดศีรษะ โดยที่นายมีไม่รู้มาก่อน จึงทำไห้นายมี ต้องรับผิดชอบ
ทฤษฎีมูลเหตุเหมาสม ผลที่ผู้กระทำจะต้องรับผิดต้องเป็นผลที่ปกติควรจะ เกิดจากการกระทำของผู้กระทำ เช่น ตามตัวอย่างทฤษฎีเงื่อนไข ปกติชนอย่างนายมี ย่อมไม่ทราบว่า นายสีมีโรคประจำตัว ถ้าทำร้ายเช่นนั้นนายสี อาจได้รับอันตรายถึงตายได้ นายมี จึงต้องรับผิดเฉพาะกรณีที่ นายสีบาดเจ็บธรรมดาเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดในความตายของนายสี