Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหา สุขภาพเกี่ยวกับระบบหายใจ - Coggle Diagram
การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหา
สุขภาพเกี่ยวกับระบบหายใจ
ฝีในปอดLungabscess
สาเหตุ
การสำลัก ติดเชื้อ ป่วยประวัติวัณโรค
อาการ
เจ็บเฉียบพลันที่ด้านข้างเเละด้านล่างของหน้าอกปวดไหล่คอ ไอเเห้ง เจ็บมากเมื่อขยับหน้าอก หนาวสั่น มีไข้สูง เบื่ออาหารอ่อนเพลีย ไอมีเสมหะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ลมหายใจเเละเสมหะมีกลิ่น
โพรงหนองที่เกิดจากเนื้อปอดถูกทำลายจากการอักเสบติดเชื้อ
การวินิจัย
ประวัติการรักษา ตรวจร่างกายตรวจทางห้องปฏฺงิบัติการ ฟังเสียงปอดX-ray ปอด เเละตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ
ภาวะเเทรกซ้อน
หลังรักษาจะมีรอยโรคที่ปอดทำให้การเเลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนไม่มีคุณภาพมีรอยที่อยู่ในปอดทำให้เกิดฝีซ้ำได้
พยาธิ
ปอดติดเชื้อที่ทำให้เกิดฝี ตำเเหน่งที่ติดเชื้อจะอักเสบ เนื้อปอดถูกทำลายเกิดเป็นโพรงเเละหนองที่ปอด
การรักษา
ใช้ยา ดูเเลให้ได้รับยาลดไข้ ยาปิชีวนะป้องกันการติดเชื้อให้ยาบรรเทาความปวด ให้ยาเเก้ไอให้ยาปฏิชีวนะเมื่อมีการติดเชื้อ
ไม่ใช้ยา เเนะนำดูเเลความสะอาดช่องปากดูเเลจัดท่าในการรับประทานอาหารให้เหมาะสมมีประวัติเป็นฝีในตับควรพบเเพทย์ทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง
โรคหลอดลมอักเสบ(Bronchitis)
หลอดลมอักเสบชนิดเฉลียบพลัน (Acute bronchitis)
หลังเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเกิดจากสารระคายเคือง
ไอ ระยะเเรกไอเเห้ง เสียงเเหบเจ็บหน้าอกต่อมามีเสมหะ ติดเชื้อเเบคทรีเรียเสมหะเหลืองหรือเขียว
อาจฟังปอดได้เสียงอี๊ด
เเทรกซ้อน
ทั่วไปหายใน 1-3สัปดาห์ บางรายหลอดลมอักเสบเรื้อรังหลอดลมเเละถุงลมโป่งพอง
การรักษา
มีเสมหะเหลืองเขียวให้ยาปฏิชีวนะ มีอาการหอบหืดให้ยาขยายหลอดลมไม่ควรให้ยาเเก้ไอ้เเพ้ จะทำให้ปอดบางส่วนเเฟบ
โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis)
ไอมีเสมหะเป็นเดือนหรือปี เสมหะขาวเหลืองระยะเเรกไอหรือขากเสมหะหลังตื่นนอนตอนเช้าเป็นประจำ
อาจฟังปอดได้เสียง๊ด
อาการเรื้อรังตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ในระยะเวลา1 ปี และเป็นติดต่อกันอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
การรักษา
-ไม่ใช้ยา ดื่มนำ้อุ่นให้เพียงพอ ฝึกไอเเละหายใจ-ใช้ยา ลดความข้มของเสมหะ เช่น เเอมรอน มิวโคมัสต์ SEเพิ่มปริมาณสารเหลวที่ขับออกจากทางเดินหายใจ ยาเเก้ไอกลุ่มAntitussives
ภาวะเเทรกซ้อน
เกิดจากการรักษาที่ไม่ถูกต้อง
ติดเชื้อลามไปปอดจนเกิด Pneumonia
การประเมินสภาวะสุขภาพ
ซักประวัติการเเพ้ ตรวจร่างกาย ฟังเสียงปอด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจเสมหะ ภาพถ่ายรังสีปอด การทำงานปอด การศึกษาเเอนติบอดี้ต่อไวรัส
พยาธิ
ร่างกายรับเชื้อโรค มีการอักเสบต่อเนื่องเป็นเวลานาน เกิดการอักเสบที่หลอดลมฝอย หลอดลมบวม กระตุ้นให้มีการลิตเยื่อเมือกทำให้เกิดเสมหะที่หลอดลมจำนวนมาก ในหลอดลมฝอยเกิดการอุดตันขึ้น
ปอดอักเสบหรือปอดบวม Pnuemonia
การประเมินภาวะสุขภาพ
ซักประวัติตรวจร่างกาย ประเมินฟังเสียงหายใจฟังเสียงปอดตรวจทางห้องปิบัติการเอ็กซเรย์ทรวงอก
อาการ หนาวสั่น มีไข้ ไอ เจ็บหน้าอกหายใจลำบาก เสมหะเป็นเลือด มีภาวะเขียว
การอักเสบของปอด สาเหตุการการติดเชื้อโรคสารเคมีเข้าปอด เป็นโรครุนเเรงของระบบหายใจส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อStreptococcus
พยาธิ
สิ่งเเปลกปลอมเข้าร่างกายจากการหายใจ ไอ จาม สร้างสารคัดหลั่งมาเจือจางสิ่งเเปลกปลอมขับสิ่งเเปลกปลอมออกไม่ได้ เกิดการอักเสบเเละติดเชื้อในปอด
โรคเเทรกซ้อน
ปอดเเฟบ ภาวะช็อค ขาดออกซิเจนหอดลมพอง โลหิตเป็นพิษ
การรักษา
เก็บเสมหะตรวจ ให้ยา ดูเเลให้ได้รับนำ้เพียงพอดูเเล Bed rest ให้ยาลดไข้ เช็ดตัว อาหารอ่อนเเคลสูงความสะอาดปากฟัน ไอมีเสลดให้ดื่มนำ้อุ่น พลิกเปลี่ยนท่ากระตุ้นการไอป้องกันการติดต่อของโรค
โรคหอบหืด (Asthma)
การอักเสบของหลอดลมอย่างเรื้อรังโดยมีผลมาจากปฏิกิริยาตอบสนอง ต่อสารก่อภูมิแพ้สารระคายเคือง รวมทั้งสิ่งแวดล้อม
สาเหตุ
ปัยจัยภายนอก การได้รับสิ่งกระตุ้นจากสิ่งเเวดล้อมมลภาวะ การติดเชื้อทางเดินหายใจการเปลี่ยนเเปลงอากาศการรับปประทานอาหาร ความเครีดการพักผ่อน การออกกำลังกาย
ปัจจัยภายใน พัธุกรรม การเปลี่ยนเเปลงภายใน
พยาธิ
ร่างกายได้รับสารกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบผู้ป่วยไวต่อสารกระตุ้นภูมิเเพ้ หลอดลมเกิดการอักเสบเรื้อรัง การที่สารก่อภูมิแพ้กระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีลิมโฟไซต์หลั่งสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ และกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิดบีลิมโฟไซต ให้ผลิต IgE ออกมากระตุ้นmast cell ให้หลั่ง mediators เข้ามาในผนังของหลอดลมทำให้หลอดลมตีบ หลอดเลือดภายในหลอดลมขยายตัวเกิดการคั่งของเลือด นำไปสู่การเกิดภาวะหลอดลมตีบ
อาการแสดง
ไอ หายใจหอบเหนื่อย เสียงหายใจวี๊ดอาการกำเริบเมื่อได้รับการกระตุ้นภูมิเเพ้ภาวะเขียว บางรายหยุดหายใจเฉีบยพลัน
การจำเเนกความรุนเเรง
ระดับที่ 2 มีอาการรุนแรงน้อย ได้แก่ มีอาการหอบเหนื่อยในช่วงกลางวันมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ไม่เกิน 1 ครั้งต่อวัน ประเมินสมรรถภาพปอดได้ค่า FVE1 มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 80 % และค่า PEF variability อยู่ระหว่างร้อยละ 20-30
ระดับที่ 3 มีอาการรุนแรงระดับปานกลาง ได้แก่ มีอาการหอบเหนื่อยทุกวันและในช่วงกลางคืนมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ มีอาการกำเริบที่ส่งผลต่อการททำกิจกรรมต่างๆ
และการนอนหลับของผู้ป่วย การประเมินสมรรถภาพปอดได้ค่า FVE1 อยู่ระหว่างร้อยละ 60-80 และค่า PEF variability มากกว่าร้อยละ 30
ระดับที่ 1 มีอาการดังกล่าวเป็นครั้งคราว สามารถหายได้เอง ได้แก่ มีอาการหอบเหนื่อยในช่วงกลางวันไม่เกิน 1 ครั้งต่อสัปดาห์ มีอาการก าเริบ (exacerbation) ในระหว่างการทำกิจกรรมสั้นๆ
ระดับที่ 4 มีอาการรุนแรงระดับมาก ได้แก่ มีอาการหอบเหนื่อยตลอดเวลาและในช่วงเวลากลางคืนมีอาการหอบบ่อยมากขึ้น มีประเมินสมรรถภาพปอดได้ค่า FVE1 น้อยกว่าร้อยละ 60 และค่า PEF variability มากกว่าร้อยละ 30
การประเมิน
ซักประวัติเกี่ยวกับการเเพ้ ประเมินร่วมกับโรคอื่นที่อาจก่อให้เกิดการเเพ้ ตรวจร้างกาย สีผิว การหายใจ วิเคราะห์ค่าออกซิเจนในเลือด เอ็กซเรย์ทรวงอก ประเมินสมรรถภาพปอด
การรักษา
ใช้ยา ยาควบคุมอาการ เช่น prednisolone ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือทางหลอดเลือดดำเเละยาบรรเทาอาการเช่น bambuterol
การพยาบาลให้ความสาคัญต้ังแต่การจัดการกับสาเหตุ ปัจจัยกระตุ้นรวมทั้งดูแลฟื้นฟูร่างกายภายหลังการ เกิดโรคเพื่อให้ผู้ปุวยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และคงไว้ซึ่งความสามารถในการทาหน้าท่ีของตนเองได้ตามปกติ
ไม่ใช้ยา ลดปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค ออกกำลังกายเหมาะสมพักผ่อนเพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำให้เกิดความเครียด
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonarydisease: COPD)
สาเหตุ
การสูบบุหรี่ 2. มลภาวะทางอากาศ 3. การเจ็บป่วยด้วยโรคในระบบทางเดิน 4. การประกอบอาชีพที่ส่งผลทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ 5. อายุ 6. การขาดแอลฟา 1 แอนติทริพซิน
พยาธิสภาพ
ได้รับการกระตุ้นจากสารเคมีในบุหรี่ สารเคมีต่างๆ มลภาวะทางอากาศ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย กระตุ้น Macrophages ให้มารวมตัวกันที่เยื่อบุผิวในถุงลม ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยการหลั่ง Neutrophil, Macrophages และ Lymphocyte เพิ่มมากขึ้น ทำให้เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบหลั่งอนุมูลอิสระออกมามากขึ้น มีการทำลายสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทำหน้าที่ปกปูองการทำลายเนื้อเยื่อปอดและถุงลม จึงเกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อปอดและถุงลมอย่างเรื้อรัง ทำให้เกิดการตีบแคบ มีพังผืดแขนงของหลอดลมผิดรูปในที่สุดเกิดการอุดตันของหลอดลม
การเปลี่ยนแปลงของหลอดลม เนื้อปอด เกิดการตีบแคบหรืออุดตัน โดยมีสาเหตุจากการได้รับสิ่งกระตุ้นที่ท าให้เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจจนท าให้หลอดลม เนื้อปอด มีการอักเสบ
อาการและอาการแสดง
1. ไอเรื้อรัง ร่วมกับมีเสมหะเหนียว แน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงวี๊ด มีภาวะเม็ดเลือดแดงเพิ่มมากขึ้น กระสับกระส่าย มึนงง สับสน นอนหลับไม่สนิท
การประเมินภาวะสุขภาพ
1. การซักประวัติที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประวัติการสูบบุหรี่ 2. การตรวจร่างกาย) เช่น การฟังเสียงปอด มักได้ยินเสียงวี๊ด3.การตรวจภาพรังสีทรวงอก (Chest x-ray) 4. การวิเคราะห์ค่าก๊าซออกซิเจนในเลือดแดง (ABG) 5. การวัดสมรรถภาพของปอด
ระดับความรุนเเรง
ระดับที่ 2 ร
ะดับปานกลาง (Moderate COPD) ค่า FEV1/FEC น้อยกว่าร้อยละ 70% ส่วนค่า FEV1 อยู่ระหว่างเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ 50 แต่น้อยกว่า
ร้อยละ อาจมีหรือไม่มีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ
ระดับที่ 3
ระดับรุนแรง (Severe COPD) ค่า FEV1/FEC น้อยกว่าร้อยละ 70 ส่วนค่า FEV1 อยู่ระหว่างเท่ากับหรือน้อยกว่าร้อยละ 30 แต่น้อยกว่าร้อยละ 50 อาจมีหรือไม่มีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ มีอาการกำเริบส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
ระดับที่ 1
ระดับเล็กน้อย (Mild COPD)ค่า FEV1/FEC น้อยกว่าร้อยละ 70 ส่วนค่า FEV1มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 80 อาจมีหรือไม่มีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ
ระดับที่ 4
ระดับรุนแรงมาก (Very severe COPD) ค่า FEV1/FEC น้อยกว่าร้อยละ 70 ส่วนค่า FEV1 น้อยกว่าร้อยละ 30 มีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ มีภาวะหัวใจซีกขวาวาย มีภาวะหายใจล้มเหลวเรื้อรัง มีอาการกำเริบส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
การรักษา
การรักษาโดยการใช้ยา (Pharmacological intervention)
การใช้ยาสเตียรอยด์
เป็นการรักษาเพื่อลดอาการกำเริบของโรคปอด คือ ยาพ่น Steroids ชนิดเดี่ยว ได้แก่ Budesonide และยา
ผสมระหว่าง Inhaled corticosteroid/LABA ได้แก่ Fluticasone ร่วมกับ Salmeterol
การใช้ยาละลายเสมหะ
สำหรับผู้ป่วยที่มีเสมหะปริมาณมากและขับออกยาก ได้แก่ Bromhexine, และAcetylcysteine
การใช้ยาพ่น
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้1) กลุ่ม Beta2 - agonistชนิดออกฤทธิ์สั้น ได้แก่ Terbutaline, Salbutamol, และ Procaterolชนิดที่ออกฤทธิ์ยาว ได้แก่Salmeterol , และ Formoterol2) กลุ่ม Methylxantine ได้แก่ Theophylline3) กลุ่ม Anticholinergics ชนิดที่ออกฤทธิ์สั้น ได้แก่ Ipratropium bromide
การใช้ออกซิเจน
ค่าความดันก๊าซออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2) น้อยกว่า 55 มม.ปรอท มีอาการมึนงง กระสับกระส่าย ชีพจรเต้นเร็ว ควรให้ขนาดต่างๆ 2-3 ลิตร ให้ออกซิเจนที่มีความเข้มข้นสูงจนเกินไปจะทำให้ระดับคาร์บอนไดออกไซด์คั่งจนกด hypoxic drive ซึ่งกระบวนการหายใจของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะถูกกระตุ้น
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
(Non-pharmacological intervention) หยุดการสูบบุหรี่ การหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่มีฝุุนควัน สารพิษ สารเคมีต่างๆ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
โรคมะเร็งปอด (Lung cancer/Chest cancer)
โรคที่เซลล์ของเนื้อปอดมีการแบ่งตัวมากผิดปกติอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดเป็นกลุ่มก้อนของเซลล์ที่ผิดปกติ ซึ่งจะตรวจพบได้เมื่อก้อนมีขนาดใหญ่ มีจำนวนมาก และแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
ชนิดของมะเร็งปอด
มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็ก (Non-small cell lung cancer –NSCLC) มะเร็งปอดชนิดนี้แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย
ชนิดสะความัสเซลล์ (Squamous cell carcinoma) พบได้ที่เยื่อบุผิวของหลอดลม มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการสูบบุหรี่ มักมีจุดเริ่มต้นที่ท่อทางเดินหายใจขนาดใหญ่ มีอาการไอเรื้อรัง อาจไอเป็นเลือด หรือมีอาการปอดบวมได้
ชนิดเซลล์ขนาดใหญ่ (Large cell carcinoma) พบได้ที่ผิวนอกของเนื้อปอด มักจะเป็นที่บริเวณขอบริม ๆ ของปอด แพร่กระจายได้เร็วมากจนการตรวจวินิจฉัยทำได้ไม่ทันกับการเจริญของโรค
ชนิดอะดีโน (Adenocarcinoma) จะพบได้ที่ต่อมสร้างน้ำเมือกของปอด
มะเร็งปอดชนิดอื่น ๆ แร่ใยหินเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งชนิดนี้ พบมากในผู้สูงอายุ มักเกิดที่เยื่อหุ้มปอดด้านใน จึงทำให้ยากต่อการตรวจวินิจฉัย
มะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก (Small cell lung cancer – SCLC) มีความรุนแรงมากกว่าและแพร่กระจายได้เร็วกว่า โรคมักลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองและแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว จึงทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
สาเหตุ
การสูบบุหรี่ การได้รับควันบุหรี่ การสัมผัสแร่ใยหินหรือแอสเบสตอส การสัมผัสสารพิษหรือสารก่อมะเร็งอื่น ๆ เช่น มลพิษทางอากาศ การรับประทานผักและผลไม้น้อย เคยได้รับรังสีรักษาที่ทรวงอกหรือเต้านม การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด.ลักษณะทางพันธุกรรม อายุที่ การติดเชื้อเอชไอวี
พยาธิสภาพ
ร้อยละ 90 ที่พบในเพศชายมักมีประวัติเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ กระบวนการเกิดเซลล์มะเร็งจะต้องใช้เวลา และการสะสมการเปลี่ยนแปลงการกลายพันธุ์เป็นยีนมะเร็ง ร่วมกับการเสื่อมของยีนต้านมะเร็ง ที่มีประสิทธิภาพน้อยลง รวมถึงการเสื่อมของเซลล์ในร่างกายที่สำคัญ เช่น ตับ และ ไซโตโครม พี 450 ที่มีบทบาทสำคัญในการก าจัด และท าลายสิ่งแปลกปลอม สารเคมี สารก่อมะเร็งต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายเซลล์มะเร็งที่ค่อยๆเจริญเติบโตจะไปแย่งพื้นที่แลกเปลี่ยนออกซิเจนในปอด ท าให้เกิดการอุดตันของท่อลมจนปอดไม่สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซได้ตามปกติ
อาการ
และอาการแสดงในระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการใด ๆ ต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการไอเรื้อรัง ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ ระยะต่อมาผู้ป่วยมักจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา เบื่ออาหาร ในกรณีที่มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง ผู้ป่วยอาจมีอาการเสียงแหบเรื้อรัง ในระยะท้ายของโรค มะเร็งมักจะลุกลามไปยังต่อมน้ าเหลืองที่คอหรือแอ่งไหปลาร้า ผู้ป่วยจะมีอาการตับโต ดีซ่าน ท้องมาน
ภาวะแทรกซ้อน
การการติดเชื้ออย่างเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจ ก้อนมะเร็งที่ลุกลามไปยังกล่องเสียงจะมีผลทำให้เสียงแหบ.เซลล์มะเร็งแพร่กระจายสู่หลอดเลือด และหัวใจ ทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดผิดปกติ ภาวะพร่องโภชนาการ
การประเมินภาวะสุขภาพ1
. การตรวจร่างกายและการซักประวัติ 2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory tests) โดยการตรวจเนื้อเยื่อ เลือด ปัสสาวะ 3. การเอ็กซเรย์ทรวงอก (Chest x-ray) 4. การเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography: CT scan) หรือตรวจเพื่อหาตำแหน่งและขนาดของก้อนเนื้อที่ผิดปกติในบริเวณปอด5. การตรวจหาเซลล์มะเร็งในเสมหะ (Sputum cytology) 6. การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy) เป็นการตรวจที่ให้ผลแน่นอนที่สุด
การรักษา
ผ่าตัดการผ่าตัด (Surgery) การบำบัดทางเคมีบบัด การฉายรังสี (Radiation Therapy, XRT) การให้ภูมิคุ้มกัน
การพยาบาล
คือการดูแลและให้การพยาบาลแบบประคับประคองควรเริ่มตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของ การรักษา ผู้ให้การดูแลต้องบูรณาการองค์ความรู้ทั้ง ศาสตร์และศิลป์บนพื้นฐานของใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวแบบองค์รวม ตามปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกมิติแต่ละระยะ