Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สรุปเนื้อหาการเรียนรู้, อาการของ 2 โรคนี้แยกจากกันได้ยาก พบบ่อย เหนื่อย…
สรุปเนื้อหาการเรียนรู้
LOWER RESPIRATORY
TRACT INFECTION
ตั้งแต่ Trachea ลงมา ถึงบริเวณ lung
ACUTE BRONCHITIS
รยะที่ 1 คือ 1-5 วัน มีอาการไอ ส่วนอาการอื่นๆขึ้นอบู่กับเชื้อแต่ละชนิด มีไข้ เหนื่อย
ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ คัดจมูก
ระยะที่ 2 คือ 5-20 วัน จะมีอาการไอ เสมหะ จาก bronchial hypersensitivity
การรักษา
ให้การรักษา โดยให้ยากลุ่ม education, β2-agonist (dextromethorphan, codeine) ในผู้ป่วยที่มี wheezing, antitussive ให้จำกัดการใช้ในราบที่ไอมาก ๆ
ให้การรักษาในรายที่สงสัยเป็นโรคไอกรน (pertussive) จะให้ยาปฏิชีวนะ
กลุ่ม macrolide (azithromycin 500 mg ใน D1 และ 250 mg/d ใน D2-5 )
ในรายที่เป็นไข้หวัดใหญ่มา (influenza) ภายใน 48 ชั่วโมงให้ Oseltamivir 75 mg PO BID x 5 วัน (ทานวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน)
แม้จะไม่มีหลักฐานสนับสนุน แต่มักจะการให้ยาปฏิชีวนะ ในกลุ่มเสี่ยง เช่น อายุ > 65 ปี, smoking, DM, CHF, on steroid เป็นต้น
PNEUMONIA
ปอดอักสเสบชุมชน (Community-acquired pneumonia)
ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับเชื้อจากการดูแลในสถานพยาบาล
วิธีการตรวจ
การประเมินความเสี่ยง CBC, BUN, Cr,
electrolytes, glucose
Sputum G/S, sputum C/S; H/C
CXR
ในรายที่หาสาเหตุไม่ได้ อาจเข้าเกณฑ์ PUI for COVID-19
การรักษา
กลุ่มที่ใช้ยา Macrolide
clarithromycin 1,000mg/d x7d
Azithromycin 500mg d1, 250mg d 2-5
กลุ่มที่มีโรคเรื้อรังร่วมด้วย
(significant comorbidity) เช่น heart, lung, kidney, liver, DM หรือ ผู้ป่วยที่ได้รับยาปฏิชีวนะ กลุ่ม Fluoroquinolone ภายใน 90 วัน
Betalactam (Augmentin 2 gm bid) + Macrolide
Moxifloxacin 400 mg/d for 7-14D
Levofloxacin 750 mg/d for 5D
INFLUENZA BRONCHITIS
คำจัดกัดความ
มีระยะฟักตัว 1-4 วัน
สามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 24 hr. ก่อนเริ่มมีอาการ ถึง 3-5 วัร (หรือ > 10 วัน ในวัยเด็ก)
ส่วนใหญ่ติดทางสัมผัสและ droplets ระยะ < 1 เมตร (Airborne ติดต่อได้แต่น้อย )
อาการ
ไข้เฉียบพลัน ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล
ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ
ส่วนใหญ่มีอาการ 3-7 วัน ยกเว้นอาการไอ อ่อนเพลีเป็นได้ > 2 week
วิธีการตรวจ
ตรวจทาง nasal swab for influenza แนะนำให้ตรวจช่วงระบาดแต่ถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงระบาด ให้ที่มีอาการภายใน 5 วัน และในผู้ป่วยที่ admit, high-risk
ยาต้านไวรัส (Antiviral) ให้ในรายที่มีอาการรุนแรง หรือเป็นกลุ่มเสี่ยง
กลุ่มเสี่ยง
renal, hepatic, hematological (รวม sickle cell anemia),
metabolic disorders (รวม DM),immunocompromised host,pregnant/postpartum ภายใน 2 สัปดาห์nursing homes resident
neurologic (brain, spinal cord, PNS, muscle) เช่น cerebral palsy, epilepsystroke, mental retardation, moderate-severe developmental delay,muscular dystrophy, spinal cord injury)
อายุ < 2 ปี,> 65 ปี,< 18 ปีที่ใช้long-term ASA,BMI > 40chronic pulmonary (รวม asthma, cystic fibrosis),cardiovascular (ยกเว้น HT),
ยารักษา
Oseltamivir 75mg PO BID x 5 days
< 15 kg 30 mg PO BID
15 - 23 kg 45 mg PO BID
24 - 40 kg 60 mg PO BID
40 kg 75 mg PO BID
ASTHMA
อาการ ถูกกระตุ้นโดย
ออกกำลังกาย สัมผัสสารก่อภูมิแพ้สารระคาย
เคือง สภาพอากาศ ติดเชื้อทางเดินหายใจ
-หายใจเสียงหวีด หอบ เหนื่อยแน่นหน้าอก ไอ
-อาการแย่ช่วงกลางคืน รุ่งเช้า
-อาการและความรุนแรงแปรปรวนตลอดเวลา
มีการอักเสบของหลอดลม ทำให้มีการอุดกั้นของหลอดลมส่งผลให้มีอาการหอบเป็นช่วงๆ อาการที่พบบ่อย คือ ไอ หายใจเสียงหวีด หายใจไม่อิ่ม แน่นหน้าอกการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสิ่งกระตุ้นยะเวลาและความรุนแรง
การวินิจฉัย ผป.ที่เป็นมานานจะมี persistent air flow limitation
(ไม่พบ reversibility ของ FEV1
เนื่องจาก airway remodeling)
ยาที่ใช้พ่นเมื่อมีอาการหอบ
เด็ก
Salbutamol nebulizer solution
(Ventolin) (5mg/ml)
-0.03 mg/kg/dose
-ตํ่าสุด2.5mg
-สูงสุด 1 ml = 5 mg
-ให้ทุก 15 นาที 1-2 ครั้ง
ผู้ใหญ่
Salbutamol nebulizer solution
(Ventolin) (5mg/ml)
ผสมกับ NSS เป็น 1:3
ให้ทุก 15นาที 1-2 คร้ัง
Pulmonary tuberculosis
ความเสี่ยง
ระดับที่ 1 : ความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค (risk of exposure)
อยู่ร่วมกับผู้ป่วยในที่คับแคบ แออัดและระบายอากาศไม่ดี
2.การอยู่อาศัย เดินทาง ในเมืองที่หนาแน่น
3.สถานที่เฉพาะที่ เช่น เรือนจำ ค่อยทหาร ค่ายอพยพ
4.อยู่ในชุมชนที่มีความชุก เช่น แรงงานข้ามชาติ
ระดับที่ 2 : ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค (risk of infection) ขึ้นกับ
1.จำนวนเชื้อ
2.ระยะเวลา
3.ความรุนแรง
4.ภูมิคุ้มของผู้สัมผัสโรค
ระดับที่ 3 : ความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรค
(risk of developing active disease
1.ผู้ติดเชื้อ HIV 2.เด็กอายุ < 5 ปี
ติดเชื้อวัณโรคภายใน 2 ปี
มีประวัติรักษาไม่ครบ ไม่เคยรักษา
ผป. เบาหวาน 6. สูบบุหรี่ สุรา สารเสพติด
7.ผป. silicosis, CKD, leukemia, CA of head/ neck/ lung 8.นน. >90% ของนน. ที่ควรจะเป็น
ระดับที่ 4 เสี่ยงต่อการเสียชีวิต
อวัยวะที่เป็นวัณโรค เช่น วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง
รักษาช้า
ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ
ตำแหน่งรอยโรค ปอดกลีบบน ขวา/ซ้าย พบบ่อย
อาการ ไอ มีเสมหะ > 3 สัปดาห์
ไข้ตํ่าๆ เบื่ออาหาร นน.ลด
ผิดปกติ breath sounds >> crepitation
เชื้อวัณโรคที่อยู่ในละอองฝอย ได้นานถึง 30 นาที
วัณโรคนอกปอด เช่น เยื่อหุ้มปอด ต่อมนํ้าเหลือง กระดูกสันหลัง
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย mycobacterium tuberculosis มักเกิดที่ “ปอด”
การทำลายเชื้อวัณโรค
-แสงแดด ใช้เวลา 20-30 ชม.
-รังสีอัลตร้าไวโอเลต ภายใน 1-2 นาที
-ไม่ถูกแสงแดดอาจมีชีวิตอยู่ได้ถึง 6 เดือน
-อุณหภูมิ 60 องศา เป็นเวลา 20 นาท
ปัจจัยที่มีผลต่อการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค
ปัจจัยด้าน ผู้ป่วยวัณโรค เป็นวัณโรคปอด
หลอดลม กล่องเสียง
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ที่อับทึบ คับแคบ
แสงแดดส่องไม่ถึง การถ่ายเทอากาศไม่ดี
ปัจจัยด้านระบบบริการ การวินิจฉัย รักษาชา
ใช้ยาไม่ถูก รักษาไม่ครบ
-เกิดเมื่อ ผป. ได้รับเชื้อครั้งแรก ไม่มีภูมิต้านทาน
-ทำให้พบความผิดปกติที่ lower lope เป็นบริเวณที่เชื้อเพิ่มจำนวนและก่อโรค
-พบ ต่อมนํ้าเหลืองบริเวณขั้วปอดโต
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
-สารคัดหลั่ง เช่น เสมหะ หนอง นํ้าไขสันหลัง
-จากอวัยวะที่สงสัยว่าเป็น เช่น เลือด นํ้าเหลือง
การรักษา
CHRONIC OBSTRUCTIVE
PULMONARY DISEASE
ลักษณะสำคัญ คือ อาการทำงานระบบหายใจ
และภาวะหลอดลมอุดกั้น มีอยู่ตลอดเวลา ความผิดปกติของหลอดลม ถุงลม จากการ สัมผัสอนุภาคหรือก๊าซที่เป็นอันตราย
Chronic bronchitis
ไอเรื้อรัง มีเสมหะ ปีละอย่างน้อย 3 เดือน และติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี
EMPHYSEMA
เกิดการทำลายของถุงลม และ RESPIRATORY
BRONCHIOLE ทำให้ขยายตัวโป่งพองอย่างถาวร
การวินิจฉัยแยกโรค
โรคหืด Asthma
หายใจเสียงหวีด หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก ไอ อาการแยนช่วงกลางคืน หรือ รุ่งเช้า อาการจะแปรปรวนตลอดเวลา
ถูกกระตุ้นโดย การออกกำลังกาย สัมผัสสารก่อภูมิแพ้ สารระคายเคือง เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ติดเชื้อทางเดินหายใจ
ภาวะหัวใจล้มเหลว CONGESTIVE HEART FAILURE
-อาการหายใจเหนื่อย หายใจมีเสียหวีด
-อาการหายใจไม่สะดวกขณะนอนหลับและต้องตื่นขึ้นเนื่องจาก อาการหายใจไม่สะดวก -อาการบวม -อาการเหนื่อย หายใจไม่สะดวกขณะนอนราบ
โรคหลอดลมพอง BRONCHIECTASIS
-ให้สงสัยว่าในกรณีมีเสมหะมาก หรืออาการกำเริบบ่อยครั้ง -อาจมีประวัติ เป็น TB -ภาพรังสีทรวงอกมีลักษณะ tram-track opacity
ยาขยายหลอดลมใช้รักษาโรคปอดอดกั้นเรื้อรัง
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
การสอนเทคนิคการใช้ยาพ่นสูดที่วิธี
สอนอาการบ่งบอก ถึงอาการที่มาพบแพทย์
-เหนื่อยมากขึ้น -ไอมากขึ้น -เสมหะมากขึ้น -เสมหะเปลี่ยนสี-ต้องใช้ยาเพิ่มขึ้น
RESPIRATORY OBSTRUCTION
หมายถึง การที่ทางผ่านของลมหายใจ ที่จะลงไปสู่ปอดตั้งแต่จมูกช่องคอ กล่องเสียงหลอดลมใหญ่และหลอดลมฝอยมีการอุดกั้นเกิดข้ึน
ส่งผลให้หายใจลำบาก อาจมีภาวะขาดออกซิเจนหรือคาร์บอนไดออไซด์คั่งและมีค.ผิดปกติอื่นตามมาได้
สิ่งที่อุดกั้น : เป็นสิ่งแปลกปลอม เสมหะ การบวม หรือเนื้อเยื่อเจริญผิดปกติ
อาการหลักๆ คือ หายใจลำบาก (dyspnea) และอาจหายใจมีเสียงดัง
อาการหลัก ๆ คือ ไอสำลัก (choking,gagging)
ไอเป็นเลือด หรือมาด้วยภาวะปอดอักเสบ
เสียงแหบ (hoarseness)
หายใจเสียงครืดคราด เสียง wheezing, rhonchi หรือ stridor
เป็นมากจะไม่มีเสียงพูด ไม่สามารถไอได้ ตัวเขียว อาจหมดสติ หรือหยุดหายใจได้
สาเหตุที่ทำให้เกิด
เด็กแรกเกิด > มักเกิดค.ผิดปกติหรือค.พิการแต่กำเนิด
เด็กเล็ก/เด็กโต > มันเกี่ยวข้องการอักเสบติดเชื้อ การบาดเจ็บหรือสิ่งแปลกปลอม
ผู้ใหญ่ > นอกจากมีการอักเสบต่าง ๆ ต้องคำนึงถึงเนื้องอก ,บาดเจ็บบริเวณคอหรือกล่องเสียง
การวินิจฉัยและการประเมิน
นอกจากการซักประวัติ และการตรวจร่างกายที่เข้าได้กับอาการแสดงก่อหน้านี้
สิ่งสำคัญคือการตรวจดูบริเวณกล่องเสียงและหลอดลม
การตรวจพิเศษ
CXR +/- film neck
Arterial Blood Gas
การส่องกล้องตรวจดูกล่องเสียง Endoscope
แนวทางการรักษา
1.ต้องวินิจฉัยให้ได้ว่าการอุดกั้นเกิดที่ตำแหน่งใด พยาธิสภาพเป็นแบบใด
2.ต้องรู้สภาพทั่วไปของผป. มีการบาดเจ็บหรือภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น C-spine injury, sepsis
3.เลือกวิธีแก้ไขโดยใช้วิธ๊ที่ง่ายและมีการบาดเจ็บน้อยที่สุด
การช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉิน
กรณีที่ผป.รู้สึกตัว > ผป.ยังพูดได้ หรือร้องมีเสียง
ควรให้ผป.พยาบามไอ เพื่อนำ FB ออกเอง
เด็กอายุ < 1 ปี
Five back blows and Five chest thrusts
เด็กอายุ > 1 ปี
Heimlich maneuver
กรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว
แนะนำให้รีบตามทีมขอความช่วยเหลือ และเริ่มทำการ CPR การกดหน้าอกนั้นนอกจากช่วยในเรื่องหารไหลเวียนโลหิตแล้ว แรงกดดันหน้าอก อาจช่วยให้ FB หลุดได้ ดังนั้นก่อนที่จะช่วยหายใจทุกครั้ง ให้มองหา FB ในปากของผป.ก่อน หากพบให้นำออกมา แต่ถ้าไม่พบให้ใช้นิ้วหา คว้าน หรือล้วง และทำ CPR ต่อ
Acute Laryngotracheitis (Croup)
พบบ่อยในเด็กายุน้อยกว่า 3 ปี ส่วนเกิดจาการติดเชื้อไวรัส
ผป.มักมีอาการหวัดนำมาก่อน 2-3 วัน และดำเนินโรคมักค่อยเป็นค่อยไป
ตรวจร่างกาย
ไอเสียงก้อง ร้องเสียงแหบ รวมถึง biphasic stridor
การรักษา
การใช้ Adrenaline Nebulization, บางรายอาจต้องให้ corticosteroid ร่วมด้วยเพื่อลดอาการบวม
การประเมินความรุนแรงของโรค
PULMONARY EDEMA
เกิดจากภาวะที่ปอดมีของเหลวในถุงลมปอดมากผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการลำบากหรือหายใจไม่อิ่ม
อาการ เรื้อรัง
หำยใจไม่อิ่มขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ หายใจครืดคราดหรือหวีด
หายใจลำบากเมื่อต้องออกแรง หรือหายใจลำบากเมื่อนอนราบ ตื่กลางดึกเพราะหายใจลำบาก น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น อ่อนเพลีย มีบวมที่และเท้า
การรักษา
กลุ่มยาลดแรงดัน ที่เกิดจากของเหลวเข้าไปในหัวใจและปอด เช่นยา nitroglycerin
และยา Furosemide
ยากลุ่มขยายหลอดเลือด และลดความดันในหัวใจห้องล่างซ้าย เช่นยา Nitropusside
Morphine เพื่อบรรเทาอาการหายใจไม่อิ่ม และอาการวิตกกังวล แต่แพทย์แนะนำให้ใช้ยาชนิดอืนมากกว่า
ยารักษาค.ดันโลหิต แพทย์ใช้ในผป.ที่มีค.ดันโลหิตจากน้ำที่ท่วมปอด หรือเพิ่มความดันโลหิต
สาเหตุ
หัวใจผิดปกติ ปอดบวมติดเชื้อ สัมผัสกับสารพิษหรือการใช้ยาบางชนิด และการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ
ซึ่งหากเกิดภาวะน้ำท่วมปอด แบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะอาจถึงแก่ชีวิต
โดยทั่วไปน้ำท่วมปอด จะมาจากหัวใจล้มเหลว หรือ หัวใจห้องล่างซ้ายไม่สามารถสูบฉีดเลือดที่มาจากปอดไปยังร่างกายได้ตามปกติ ภาวะดังกล่าวเกิดแรงดันเพิ่มขึ้น และย้อนกลับไปที่ปอด นิกจากนั้น ภาวะหลอดเลือดแดงตีบตัน กฃ้ามเนื้อหัวใจเสื่อม ลิ้นหัวใจผิดปกติ HT ก็สามารถทำให้หัวใจล่างซเ้ายทำงานบกพร่องได้
อาการ (เฉียบพลัน)
หายใจไม่อิ่มรุนแรง หรือหายใจลำบากเมื่อนอนลง หรือหายใจลำบาก หอบเหมือนจบน้ำ หายใจมีเสียง กระสับกระส่าย สับสน วิตกกังวล ไอมีเสมหะฟอง เจ็บหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
การวินิจฉัย
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง
การตรวจระดับออกซิเจนในเลือด
การตรวจ Echocardiogram หรือ ultrasound เพื่อหาความผิดปกติของหัวใจ
การเอกซเรย์ปอด
การตรวจเคลื่นหัว เพื่อตรวจดูความผิดปกติของหัวใจ
ACUTE URINARY
RETENTION
ปวดปัสสาวะอย่างมาก และ ไม่สามารถเบ่งถ่ายปัสสาวะออกได้ อาจไม่มีปัสสาวะออกเลย หรืออาจจะออกเป็นหยด ๆ (ปัสสาวะออกครั้งสุดท้ายประมาณ 6-8 hr.ก่อนมาหน้านี้)
สาเหตุ
Infectious
cystitis, Herpes simplex, Herpes
zoster,abscess, PID, prostatitis
Neurologic
-MS, Parkinson’s disease
-Brain (tumors, stroke)
-Spinal cord
-Neuropathy (DM, injury)
-Medication
Obstructive (สิ่งขีดกวาง)
BPH, cancer, stone, stricture,
cystocele,blood clot, pelvic/retroperitoneal
mass, fecal impaction
สาเหตุและแนวทางการวินิจฉัย
Bladder outlet obstruction
มีปัสสาวะลำบาก หรือบ่อยมาก่อนเป็นเดือน มักพบในผู้ชายอายุเกิน 50 ปี โรคที่พบบ่อย เช่น BPH, contracted bladder neck, CA prostate,
neuropathic bladder
Acute urethritis with hypoactive bladder
มักพบในผญ.วัยกลางคน มีอาการปัสสาวะบ่อย แสบ ขัด นำมาขัดก่อน
Spasm of external urethral sphincter
มักพบในผป.ที่มี prolapse และ infected internal hemorrhoid หลังผ่าตัดริดสีดวงทวาร หลังคลอดบุตร
Drug-induced urinary retention
ยาบางชนิดทำให้การบีบตัวของ bladder ลดลง เช่น anticholinergic, antimuscarinic agent,
ยาลดน้ำมูก ยาแก้หอบหืด
Stricture urethra
มีประวัติ ruptured urethra หรือ urethritis เรื้อรัง หรือเคยได้รับการผ่าตัดขยายท่อปัสสาวะ มีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก ไม่พุ่งหรือออกเป็นหยด ๆ
Urethral calculus
มักพบในผช.อายุ 25-40 ปี ปวดแบบ colicky pain อาจมี hematuria
อื่น ๆ
ภาวะหมดสติจากการดื่ม alcohol
ซักประวัติและตรวจร่างกาย
อาการ obstructive symptoms ได้แก่ อาการปัสสาวะไม่พุ่ง ลำเล็ก นาน ไม่สุด ปัสสาวะเล็ด
อาการ irritative symptoms (UTI) เช่น ปัสสาวะบ่อย กลั้นไม่อยู่ กลั้นได้ไม่นาน
ประวัติอดีต เช่น BPH, prostate/bladder cancer, surgery
ประวัติการใช้ยา anticholinergic, sympathomimetic, BZD, CCB
ตรวจ : lower abdomen, external genitalia, PV, PR
ผลแทรกซ้อน
อาการปวด ปวดทุรนทุราย มีก้อนที่หน้าท้อง มีการติดเชื้อ ทำให้เกิดนิ่ว ไตว่าย
การรักษา
Urethral catheter
การตรวจติดตาม
1.สังเกตอาการ > 4 hr. ถ้า urine output ออก < 200 mL/h ตลอดให้ admit
2.ในรายที่ Cr rising ให้ admit
ใน asymptomatic bacteriuria
ไม่ต้องให ้ ATB
URINARY TRACT INFECTION
ลักษณะทางคลินิก LOWER TRACT INFECTION
โรคที่สำคัญ acute cystitis อาการ
กดเจ็บบริเวณหัวหน่าว ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะสีขุ่น กับปัสสาวะเป็นเลือด ไม่มีไข้ หรือมีไม่ชัดเจน
ปัสสาวะบ่อย กะปริดปะปรอย แสบขัด #โดยเฉพาะตอนสุด
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะขุ่นเหมือนมีเลือดปน (ในการเป็นครั้งแรกของผู้สูงอายุต้องแยกจาก CA bladder)
สาเหตุ
Ascending infection พบมากว่า 95 % เชื้อก่อโรคกลุ่มenterobacteriacea
Hematogenous route เกิดจากเชื้อบางชนิดที่มี bacteremia แล้วทำให้เกิด UTI
ลักษณะทางคลินิก UPPER TRACT INFECTION
โรคที่สำคัญ เช่น acute pyelonephritis อาการ มักมีอาการคล้ายกับ lower tract infection ร่วมกับมีไข้สูง หรือไข้หนาวสั่น ปวดและเคาะเจ็บที่ CAV บางครั้งอาจมาด้วยภาวะ sepsis หรือ septic shock
พบในผู้หญิงได้บ่อย อาจมี lower UTI นำมาก่อน ให ้ระวัง surgical condition ในผู้ชาย และ recurrent บ่อยๆในผู้หญิง
Acute glomerulonephritis
หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อ (beta-hemolytic
streptococcus group A)
โรคนี้พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5-10ขวบ มักพบหลังเป็นทอนซิลอักเสบ หรือแผลผุพองที่ผิวหนัง (หากได้รับการรักษาที่ถูก้องมักจะหายได้เป็นส่วนใหญ่)
อาการ
-ไข้สูง ปวดหัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน บวมทั้งตัว และปสว. ออกมาเป็นสีแดง นํ้าล้างเนื้อ
-ถ้ารุนแรง อาจมีปสว. ออกน้อย หอบเหนื่อย ชัก
การแยกโรค
อาการบวมทั้งตัว
-โรคไตเนโฟรติก
-ภาวะหัวใจล้มเหลว
-ภาวะขาดสารอาหาร
การดูแลตนเอง
พบว่ามีอาการเมื่อมีอาการบวม หรือปัสสาวะสีแดง ควรรีบไปพบแพทย์ รักษาตามคำแนะนำของแพทย์ ควรงดอาหารเค็ม
การรักษา
แพทย์มักจะให้รักษาอยู่ที่รพ. และให้ยารักษาตามภาวะที่พบ
ให้ยาขับปัสสาวะ ลดอาการบวม
ให้ยาความดัน ถ้าพบความดันโลหิตสูง ให้ยากันชัก และทำการล้างไตในรายที่ไตวายรุนแรง
SHOCK
คือ สภาวะที่มีการไหลเวียนของเลือดไป
เลี้ยงที่ส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ
การรักษาเบื้องต้น
-ประเมินความรู้สึกตัว ABCs
-ให้นอนราบยกขาสูงขึ้น 10-20 นิ้ว เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดจากส่วนปลายกลับสูบหัวใจ และเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง
-ให้ออกชิเจนและให้ความมอบอุ่นแก่ร่างกาย
-ให้สารนํ้าทดแทนทางหลอดเลือดดำ เพื่อรักษาสัญญาณชีพควรให้สารนํ้าที่มีความเข้มข้นใกล้เคียงกับเลือด (isotonic solution) เช่น NSS, Lactated Ringer's solution ไม่ควรให้สารนํ้าที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าเลือด เช่น 5% DW
-ให้งดนํ้าและอาหารทางปาก
-ใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้เพื่อดูปริมาณปัสสาวะ
-แก้สาเหตุของการช็อก เช่น ถ้าเสียเลือดจากบาดแผลทำการห้ามเลือด
-ส่งต่อไปสถาการที่มีความพร้อม
ประเภทของการช็อค
-ภาวะช็อกจากร่างกายสูญเสียนํ้าและเกลือแร่ (Hypovolemic Shock)
-ภาวะช็อกจากการอุดกั้นนอกหัวใจ (Obstructive Shock)
-ภาวะช็อกจากโรคหัวใจ (Cardiogenic Shock)
-ภาวะช็อกจากปริมาณเลือดลดลง (Distributive Shock)
สาเหตุ
-ความผิดปกติในการทำงานของหัวใจ
ประสาท และต่อมไร้ท่อ
-มีภาวะเสียเลือดหรือนํ้าอย่างรุนแรง
( Hypovolumic shock)
-การติดเชื้อในกระแสเลือด
( Septic shock)
-ได้รับสารพิษ เช่น ถูกสัตว์แมลงกัด
ได้รับสารเคมีหรือยาบางอย่าง
-มีความผิดปกติของเมตาบอลิซึม เช่น นํ้าตาลในเลือดสูงหรือตํ่าผิดปกติภาวะไตวาย ตับวาย
อาการร่วม/อาการแสดง
-ระบบไหลเวียน โลหิตล้มเหลว เช่น BP < 90/60 มม.ปรอท Pulse pressure < 20 มม.ปรอท mean arterial pressure < 60 มม.ปรอท
-กระสับกระส่าย ชิพจรเบาเร็ว ชีดเหงื่อออก ตัวเย็น กระหายนํ้า
-อ่อนเพลีย อาเจียน จะเป็นลม ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย
-หายใจเร็วถี่ขึ้น ไม่สมํ่าเสมอ หมดสติ
-ถ้ามีอาการช็อกรุนแรงรูม่านตาจะไม่ค่อย
ตอบสนองต่อแสง
การวินิจฉัยภาวะช็อก
-การตรวจอื่น ๆ แพทย์จะพิจาณาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น
ผู้ที่คาดว่าเกิดภาวะช็อกจากโรคหัวใจจะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG) หรือการอัลตราชาวด์หัวใจ
-การถ่ายภาพเอกชเรย์แพทย์อาจใช้การตรวจอัลตราชาวด์ (UItrasound) เอกซเรย์ทั่วไป (X-rays) ชีทีสแกน (Computed Tomography: CT scan) หรือเอ็มอาร์ไอ (Magnetic resonanceimaging:MRI)
-การตรวจเลือด เพื่อดูปริมาณเลือดที่สูญเสียไป การติดเชื้อในกระแสเลือด ผลจากการใช้ยาหรือสารเสพติดเกินขนาด
การแพ้ยาอย่างรุนแรง
อาการร่วม/อาการแสดง
-ผื่นคันตามร่างกาย หน้าแดง ตัวแดง
-ไอจาม คัดจมูก นํ้ามูกไหล นํ้าตาไหล เสียงแหบ
-ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม อ่อนเพลีย เป็นลม
-การรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง
-ช็อก เป็นลม หมดสติเสียชีวิต
สาเหตุ
-การแพ้ยาโดยเฉพาะยาปฎิชีวนะ
(เช่น penicillin, sulfonamide group )
-ยากลุ่ม NSAIDS,อิมมูนโกลบูลิน
-พิษจากแมงสัตว์กัดต่อย - ความเย็น
-การแพ้อาหาร พืช สารเคมีสารที่เป็นโปรตีนต่างๆ -การออกกำลังกาย
การรักษาเบื้องต้น / ส่งต่อ
-ประเมินความรู้สึกตัว, ABCs
-ถ้าระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิตหยุดทำงานให้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (cardiopulmonary resuscitation)
-ให้ adrenaline 1:1000 ขนาด 0.30 - 0.5 mI IM, IV ในเด็กให้ 0.01 ml/kg/dose ( ตาม standing order )
-ให้ออกซิเจน
-ให้สารนํ้าทางหลอดเลือดดำโดยใช้ isotonic solution เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตตํ่าลงหรือช็อก และเป็นการเปิดเส้นเลือดไว้สำหรับฉีดยา
-ให้ยาแก้แพ้
-ถ้ามีอาการ bronchospasm หรือ laryngeal edema ให้ยาพ่นขยายหลอดลม ( ตาม standing order)
อาการของ 2 โรคนี้แยกจากกันได้ยาก พบบ่อย
เหนื่อย ไอแห้ง หรือไอมีเสมหะ
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยด้านผู้ป่วย พันธุกรรม อายุที่มากขึ้น
เพศหญิง ความผิดปกติของการเติบโต
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ควันบุรี่ มลภาวะ
(การเผาไหม้ไม้ ซากพืช เชื้อเพลิง )
ลักษณะอาการทางคลินิก
-เหนื่อยเป็นแบบมำกขึ้นเรื่อยๆ
-ไอเรื้อรังมีเสมหะโดยเฉพาะช่วงเช้า
-บางายอาจมีเลือด หรือเจ็บหน้าอก
-วินิจฉัยแยกโรคจำก วัณโรค มะเร็งปอด และ โรคหลอดลมพอง
การตรวจร่างกาย
-อาจจะไม่พบคามผิดปกติต้องแต่แรก
-แต่เมื่อปอดอุดกั้นมากขึ้น อาจพบการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ
-มีair trapping และ air flow limitation ช่น มีการเพิ่มของ anteroposterior diameter(A-P)
-A-P ค่ำปกติ คือ 1 : 2 ถึง 5 : 7 -เคราะปอดโปร่ง
-การหายใจออกนานกว่าปกติ -เสียงหายใจเบากว่าปกติ
-ฟังปอดพบเสียง Rhonchi หรือ wheezing
-ถ้าตรวจพบ clubbing fingers ควรนึกถึงโครมะเร็งปอด
และโรคลมหลอดพอง
ภาพถ่ายรังสีทรวงอก
-ไม่ใช้การวินิจฉัยโรค แต่มีความสำคัญ ในการแยกโรค เมื่อผป.มาด้วยเหนื่อย หรือไอมีเรื้อรัง
-Lung hyperinflation (diaphragm ต่ำกว่ำ rib7th ทางด้านหน้า, และ rib 10th ทำงด้านหลัง)
-กระบังลมแบนราบ -มีหัวใจขนาดเล็ก
-มีการเพิ่ม retrosternal air space และ lung hyperlucency
-การเลิกสูบบุหรี่ -การอกกำลังกายต่อเนื่อง 20 นาที ต่อวัน-การหายใจ purse lip เพื่อช่วยลด air trapping-การฟิ้นฟูสมรรถภาพปอด-ดูแลภาวะโภชนาการ-การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ป้องกันเชื้อ pneumococcal -ผป.มีข้อบ่งชี้การรักษาด้วยออกซิเจน > 15 ชั่วโมงต่อวัน
นางสาวภควดี ลาวทอง เลขที่ 52 รหัสนักศึกษา 62126301054