Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สารต้านพิษ Antidose, สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาวธิดาพร จิตธรรม …
สารต้านพิษ Antidose
-
Vitamin : K
-
-
Vitamin K รูปแบบฉีด ความแรง 10 mg/mL บริหารได้ 2 รูป แบบ คือ โดยการรับประทาน ต้องเป็นยี่ห้อ Konakion ฉีด IV ต้องให้ในอัตราไม่เกิน 1 mg/minเพื่อป้องกัน cardiac arrest
-
-
Antivenom
-
ขนาดเซรุ่มที่ใช
เซรุ่มต้านพิษงูเห่า ใช้ 10 ขวดเล็ก (vial)10
เซรุ่มต้านพิษงูจงอาง 10 vials เซรุ่มต้านพิษงูทับสมิงคลา 5 vials เซรุ่มต้านพิษงูสามเหลี่ยม 10 vials และเซรุ่มต้านพิษงูรวมระบบประสาท 10 vialsเซรุ่มต้านพิษงูแมวเซาใช้ 3-5 vials11 เซรุ่มต้านพิษงูกะปะ 3-5 vials เซรุ่มต้านพิษงูเขียวหางไหม้ 3 vials12และเซรุ่มต้านพิษงูรวมระบบโลหิต 5 vials
-
หลังจากที่สภาพของผู้ป่วยมีเสถียรภาพแล้ว จึงเริ่มสัมภาษณ์ประวัติ และดำเนินการเพื่อให้ได้การวินิจฉัยถึงชนิดของสารชีวพิษที่ผู้ป่วยได้รับ เพื่อให้การรักษาที่จำเพาะต่อไป การสัมภาษณ์ประวัติการรับประทาน ควรให้ได้ประวัติว่าผู้ป่วยรับประทานเห็ดไปกี่ชนิด, เวลาที่รับประทาน และถ้ามีผู้อื่นรับประทานร่วมด้วยมีอาการอย่างไรหรือไม่ สำหรับประวัติการเกิดอาการ ต้องเน้นถึงระยะเวลาที่เริ่มเกิดอาการ และลำดับการเกิดอาการก่อนหลัง พยายามแยกให้ได้ว่าเข้ากับกลุ่มอาการใด (ตารางที่ 3) ตัวอย่างเช่น ถ้าอาการเกิดขึ้นหลัง 6 ชั่วโมงหลังรับประทาน ให้นึกถึง cyclopeptide, monomethylhydrazine หรือ orelline เป็นต้น ถ้าทำได้ให้เก็บอาเจียนหรือน้ำล้างกระเพาะอาหารรวมทั้งชิ้นส่วนของเห็ด เพื่อส่งตรวจแยกชนิดด้วย เห็ดพิษและเห็ดรับประทานได้อาจมีรูปทรงคล้ายคลึงกัน อาจต่างกันเฉพาะที่สัณฐานวิทยาปลีกย่อยจำเพาะพันธุ์ สารชีวพิษของเห็ดเมาแต่ละตระกูลมีฤทธิ์ต่างๆกัน
หลักการทั่วไป
สารพวก surfactant ผลส่วนใหญ่ local irritant อาการทาง systemic พบได้น้อย
พวกNonionic และ Anionic surfactant จัดเป็นพวก nontoxic หรืออาจเกิด mild irritant อาจจะทำให้มีอาการทางเดินอาหาร เช่น ปวดแสบร้อนท้อง อาเจียนได้ แนะนำให้ดูแลรักษาตามอาการ
Cationic detergent จะมีฤทธิ์ ทำให้เกิดการระคายเคืองได้มากกว่าเพื่อความไม่ประมาทแนะนำให้ดูแลแบบ Corrosive ingestion
ระดับความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณที่ทานค่า pH ความเข้มข้นของสารรวมถึงชนิดของอาหารที่ทาน
Atropine and 2-PAM
Atropine โดยปกติแนะนำให้ใช้ครั้งละ 18 mg และประเมิน ผู้ป่วย ซ้ำที่10-15 นาที ถ้าพบว่าผู้ป่วยยังไม่ตอบสนองอาจมีการให้ซ้ำแบบ double dose ให้แพทย์พิจารณา ถ้า HR มากกว่า 150 ครั้ง/นาที อาจต้องใช้แบบพ่นแทน ( atropine 1 amp + NSS 3 mL พ่นผ่าน NB) เป้าหมายในการให้ยา คือ เสมหะลดลง ( lung clear ดี) หัวใจ เต้นมากกว่า 80 ครั้ง/นาที systolic blood pressure 80 มิลลิเมตร ปรอท 2-PAM ในกรณีที่สารพิษนั้นเป็นกลุ่ม Organnophosphate ต้องใช้ 2-PAM โดยขนาดที่แนะน า ในการบริหาร คือ 1-2 g IV drip นาน 30-60 นาที maintenance dose 500-1000 mg/hr (10-20 mg/kg/hr) IV ควรให้ยาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง และค่อยลดขนาดยา ลงโดยมีค่าแนะนำให้ลดขนาดยาลง 50 % ทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อผู้ ป่วยไม่มีอาการของ cholinergic
Corrosive ingestion: Tx
• ไม่ต้องทํา NG lavage และ AC
• NPO เปิดเส้นให้ IV fluid
• Observe การกลืน การหายใจ
• Chest X ray tilu baseline
• ถ้ามี sign stridor, hoarseness, dyspnea, oropharyngeal obstruction อาจพิจารณา early intubution
• พิจารณาหา Endoscopy ซึ่งต้องทานมาไม่น้อยกว่า 6 ชม. และไม่ เกิน 24 ชม.หลังจากทานมา
-
Hydrocarbon ingestion
- turpentine oil น้ำมันสนใช้ในสีทาบ้าน - Gasoline ใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง - kerosene ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับตะเกียงน้ำมัน เตาไฟ รถ แทรกเตอร์ - toluene,xylene ใช้เป็น sovent ในการทำสี,เคลือบเงา paint thinner, lacquer กาว และเป็น paint remover - Benzene ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น polymer, ยา สี พลาสติก เรซิน รองเท้า ยาง กาว
สารต้านพิษยาพารา
ยาต้านพิษที่ใช้คือ N-acetylcysteine ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้าง glutathione ซึ่งจะจับกับ toxic metabolite ของ paracetamol
ข้อบ่งชี้ในการให้ยา N-acetylcysteine คือ
ผู้ป่วยได้รับยา paracetamol มากกว่า 150 mg/kg ในระยะเวลาสั้น หรือระดับยาในเลือดสูงถึงระดับที่เป็นอันตราย (รูปที่ 1) และผู้ป่วยได้รับประทานยา paracetamol มาเป็นเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง
การให้ยา N-acetylcysteine นั้น จะได้ผลดีที่สุดถ้าสามารถให้ภายใน 10 ชั่วโมงที่ผู้ป่วยได้รับยา paracetamol ระยะ 10-24 ชั่วโมงการใช้ยานี้ก็ยังได้ผลดี แต่ถ้าเกิน 24 ชั่วโมงไปแล้วจะไม่ได้ผล ข้อเสียของการใช้ยาชนิดรับประทานคือผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน จากยา
อาการข้างเคียงที่สำคัญของการใช้ยา
N-acetylcysteine คือ ผู้ป่วยมีอาการแพ้ หน้าบวม มี urticaria จาก anaphylactoid reaction ซึ่งถ้าพบอาการข้างเคียงดังกล่าวต้องชั่งน้ำหนักดูเรื่องพิษของยา paracetamol และปฏิกิริยา anaphylactoid ถ้าจำเป็นก็ให้ยา N-acetylcysteine ต่อโดยให้ steroid, antihistamine คุมไว้ และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
-
Ethanol (ethyl alcohol)
-ให้รับประทาน หรือทางสายสวนกระเพาะอาหาร (Nasogastric tube) loading dose 750 mg/kg maintenance dose 100 mg/kg/hr
-ในคนปกติ และ 150mg/kg/hr
-ในผู้ป่วยที่ดื่มสุราเรื้อรังเพราะร่างกายสามารถกำจัด ethanol ได้เร็วกว่าคนปกติ ในระหว่างที่ทำ hemodialysis ethanol จะถูกกำจัดออกจากเลือด ดังนั้นจึงต้องเพิ่มขนาด ethanol ในคนปกติอีก 75% ทั้งนี้เพื่อรักษาระดับของ ethanol ในเลือดให้ได้มากกว่า 100 mg/dl ซึ่งเป็นระดับที่ยับยั้งการเปลี่ยน methanol เป็น formic acid ได้
ในบ้านเรา ethanol ที่หาได้ง่ายคือ สุรา whisky ที่มีขายกันทั่วไปมีความเข้มข้น 37 degree หรือ 37% vol/vol
-
สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาวธิดาพร จิตธรรม รหัส 621001037
2.นางสาวธิดาพัฒน์ มณีมัย รหัส 621001038
3.นางสาวธิติยา กิติลาโภ รหัส 621001039
4.นางสาวธิราพร เรืองแสน รหัส 621001040
5.นางสาวนภสรณ์ บุญกลับ รหัส 621001041
6.นางสาวนริศรา พุทธโค รหัส 621001042
7.นางสาวนริษา สวัสดิ์ รหัส 621001043
8.นายนฤเบศร์ อาจสุข รหัส 621001044