Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคพิษสุนัขบ้า Rabies - Coggle Diagram
โรคพิษสุนัขบ้า Rabies
พยาธิสภาพ
การเกิดโรค
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ได้รับเชื้อ Rabies จากการที่ถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด ทําให้เชื้อ Rabies เข้าสู่แผลบริเวณที่โดนสัตว์กัด ไวรัสชนิดนี้เพิ่มจํานวนในเซลล์กล้ามเนื้อบริเวณที่ถูกกัด เนื่องจากไวรัสชนิดนี้มีผนังเป็นหนามแหลม จะทําให้จับกับเซลล์ของร่างกายได้ง่าย และเกิดการแพร่กระจายทําให้เชื้อเดินทางผ่านเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อเชื้อเพิ่มที่สมองแล้ว จะแพร่ไปตามต่อมน้ําลาย ไต หัวใจ ตับอ่อน และกระจกตา
-
เชื้อก่อโรค
เกิดจากการติดเชื้อ Rabies virus จัดเป็น Single-stranded RNA virus ไวรัสกลุ่มนี้มีรูปร่างคล้ายกระสุนปืน ผนังหุ้มเป็นหนามแหลม จับกับเซลล์ประสาทได้ดี ซึ่งเชื้อนี้มักจะอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว
-
โรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อร้ายแรงจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาสู่คนจากเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า ในน้ําลายของสัตว์ที่เป็นโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านบริเวณที่มีเเผล การติดต่อจากสัตว์ที่พบบ่อยที่สุด คือ สุนัข การติดต่อเเบ่งออกเป็น 2 ระยะ
คือ
1) ระยะฟักตัว เฉลี่ยอยู่ในช่วง 1-3 เดือน อาจเร็วภายใน 7 วัน
2) ระยะติดต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดสามารถเเพร่เชื่อได้ พบเชื้อในน้ําลายประมาณ 3-5 วัน เริ่มตั้งแต่ถูกสุนัข แม่ หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นกัด
การตรวจร่างกาย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
-
กรณีเสียชีวิต
เนื้อสมอง (ชิ้นขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว) 3-5 ชิ้น ตรวจโดยใช้วิธี แยกเชื้อ
- เจาะเนื้อสมองผ่านเบ้าตา (necropsy)
- ตรวจชันสูตรศพ กรณีนี้ให้เก็บสมองส่วน brain stem, spinal cord ส่วนต้น
(cervical) และ hippocampus
-
การประเมินสภาพของผู้ป่วย
-
-
การซักประวัติผู้ป่วย ซักประวัติผู้สัมผัสโรค และประวัติสุนัข ได้แก่ สัตว์ที่กัด ตําแหน่งหรืออวัยวะที่ถูกกัด ระยะเวลาตั้งแต่ถูกกัดจนถึงโรงพยาบาล สาเหตุที่กัดประวัติโรคประจําตัวประวัติการได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและโรคบาดทะยักประวัติการเจ็บป่วยในอดีตที่มีผลต่อการเจ็บป่วยครั้งนี้ และประวัติการแพ้ยา อาหาร และสารเคมี รวมทั้งประวัติสุนัข ได้แก่ การมีเจ้าของสุนัข อาการผิดปกติ และการได้รับวัคซีนในสุนัข
ตรวจทางคอมพิวเตอร์
ผลการตรวจคอมพิวเตอร์สมองแม่เหล็กไฟฟ้า ตรวจ MRI จะพบลักษณะคือ ความผิดปกติในตำแหน่งของ brainstem ,thalamus,basal ganglia,subcorticol and deep white matter ในขณะที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวจะไม่มี gadulium contrast enhancement แต่จะพบเมื่อผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวเท่านั้น
-
การรักษา
ชนิดของการสัมผัส
กลุ่ม 3 การรักษาเเบบล้าง และรักษาบาดแผลเเละฉีดวัคซีน (1) ,อิมมูโนโกลบุลิน (2)
-
-
-
-
หมายเหตุ
(1) หยุดฉีดวัคซีนเมื่อสัตว์(เฉพาะสุนัขและแมว)ยังเป็นปกติตลอดเวลากักขังเพื่อดูอาการ 10 วัน
(2) กรณีถูกกัดเป็นแผลที่บริเวณใบหน้า ศีรษะ คอ มือและนิ้วมือ หรือแผลลึก แผลฉีกขาดมากหรือถูกกัดหลายแผลถือว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูงและระยะฟักตัวมักสั้น จึงจําเป็นต้องฉีดอิมมูโนโกลบุลิน โดยเร็วที่สุด
-
วัคซีนพิษสุนัขบ้า
ชนิดของวัคซีนพิษสุนัขบ้า
- Purified vero cell rabies vaccine (PVRV)
-
- Human diploid cell rabies vaccine (HDCV)
-
- Purified chick embryo cell rabies vaccine (PCEC)
-
- Chromatographically purified vero cell rabies vaccine (CPRV)
-
- Purified duck embryo cell rabies vaccine (PDEV)
-
-
การพยาบาล & ป้องกัน
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกสัตว์กัด โดยไม่แหย่ หรือรังแกให้สัตว์โมโห รวมทั้งไม่ยุ่งหรือเข้าใกล้สัตว์ที่ไม่รู้จักหรือไม่มีเจ้าของ
- ถ้าถูกสัตว์กัดแล้ว ควรปฏิบัติตามคําแนะนําข้างต้น
- ควบคุมไม่ให้สัตว์เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
พาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าตามกําหนด และฉีดซ้ำทุกปี
- พิจารณาการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแบบป้องกันล่วงหน้า ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
การพยาบาล
- ระดับการสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าขององค์การอนามัยโลก (WHO category) แบ่งเป็น สัมผัสสัตว์โดยผิวหนังปกติ ไม่มีบาดแผล สัตว์กัดหรือข่วนเป็นรอยช้ำ เป็นแผลถลอก สัตว์เลียบาดแผล บริโภคผลิตภัณฑ์จาก สัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าโดยไม่ทําให้สุก สัตว์กัดหรือข่วนทะลุผ่านผิวหนัง มีเลือด ออกชัดเจน น้ําลายสัตว์ถูกเยื่อบุหรือ บาดแผลเปิด รวมทั้งค้างคาวกัดหรือข่วน สัมผัสโรคระดับ 1 (WHO category I) สัมผัสโรคระดับ 2 (WHO category II) สัมผัสโรคระดับ 3 (WHO category III)
- การให้วัคซีนแบบก่อนการสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า (pre-exposure rabies การ ป้องกัน โรค)
5.1 ในกรณีประชาชนทั่วไปที่ต้องการฉีดวัคซีนแบบก่อนการสัมผัสโรค ให้ได้ 2 วิธีคือ
1.) การฉีดเข้ากล้าม (Intramuscular regimen: IM) ใช้วัคซีนชนิด PVRV, CPRV, PCECV, PDEV 1 เข็ม (1 มล. หรือ 0.5 มล.แล้วแต่ชนิดของวัคซีนใน 1 หลอดเมื่อละลายแล้ว) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นแขนในวันที่ 0 และ 7 2.) การฉีดเข้าในหนัง (Intradermal regimen: ID) ใช้วัคซีนชนิด PVRV (Verorab®), CPRV, PCECV 0.1 มล./จุด จํานวน 2 จุดฉีดเข้าในผิวหนังบริเวณต้นแขน 2 ข้าง ในวันที่ 0 และ 7 หรือ 21
-
- การให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก ในกรณีที่ผู้สัมผัสเคยได้รับวัคซีนป้องกัน โรคบาดทะยักมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง และฉีดเข็มสุดท้ายนานกว่า 5 ปี มาแล้ว ให้ใช้ tetanus-diphtheria toxoid (Td) 1 เข็มเข้ากล้าม (TT อาจผสมกับ rabies vaccine ชนิด PVRV (Verorab) ในกรณีที่ฉีดเข้ากล้ามเหมือนกัน) ถ้าผู้สัมผัสโรคไม่เคยได้หรือเคยได้วัคซีน ป้องกันโรคบาดทะยักน้อยกว่า 3 ครั้ง ให้วัคซีน Td เข้ากล้าม 3 ครั้ง คือวันที่ 0, 1 เดือนและ 6 เดือน ทั้งนี้สามารถใช้วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก (Tdap) แทน TT หรือ Td 1 ครั้งในวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่
- การตรวจสมองสัตว์ (Fluorescent antibody: FA test)
6.1 การส่งตรวจสมองในกรณีที่สัตว์ตาย ควรนําส่งซากสัตว์ภายใน 24 ชั่วโมง และแช่น้ําแข็งเพื่อไม่ให้สมองเน่า หากสมองเน่าจะทําให้ตรวจไม่ได้ ห้ามแช่สัตว์ตายในน้ํายา ฟอร์มาลีน
6.2 ในกรณีซากสัตว์เน่าหรือสัตว์ที่กัดมีประวัติอาการคล้ายโรคพิษสุนัขบ้าแม้ว่า ผลการตรวจสมองสัตว์ได้ผลลบ แพทย์ผู้รักษาอาจพิจารณาให้การรักษาแบบ post-exposure บบ prophylaxis ทั้งนี้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
2.1 เพื่อป้องกันการติดเชื้อประมาณ 3-5 วัน พิจารณาในกรณีบาดแผลขนาดใหญ่ บาดแผลบริเวณนิ้วมือ มือ ใบหน้า บาดแผลลึกถึงกระดูก ผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยไตวาย เบาหวานควบคุมไม่ดี ตับแข็ง ผู้ป่วยตัดม้ามแล้ว โดยให้ใช้ amoxicillin รับประทาน ถ้าแพ้ยา penicillin ให้ doxycycline หรือพิจารณาใช้ 2 และ 3 cephalosporins รับประทานกรณีที่แพ้ penicillin ไม่รุนแรง
2.2 เพื่อรักษาการติดเชื้อ อาจทําการเพาะเชื้อหนอง ให้การรักษาด้วย amoxicillin หรือเลือกใช้ยาปฏิชีวนะ ชนิดอื่น ได้แก่ amoxi/ctavulinate, ampi/sutbactam, 2 และ 3d cephalosporins รับประทาน ไม่ควรใช้ cloxacillin, erythromycin, 1* cephalosporin และ clindamycin ในการรักษาบาดแผลติดเชื้อจากสุนัขและแมวกัด ถ้าการติดเชื้อรุนแรงควร รับไว้ในโรงพยาบาล
- การรักษาภายหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า (post-exposure prophylaxis) การให้ วัคซีนและอิมมูโนโกลบุลิน (rabies immune globulin) แก่ผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า มีแนวทาง พิจารณาจากลักษณะของการสัมผัสโรค (โดยเฉพาะการตรวจบาดแผล) และสัตว์ที่กัด
7.1 สูตรการฉีดวัคซีนสําหรับการรักษา post-exposure prophylaxis การฉีด วัคซีนป้องกันภายหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าให้ใช้วัคซีนโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular)หรือการฉีดเข้าในหนัง (intradermal) โดยถือหลักว่าการให้วัคซีนในช่วง 14 วันแรกจะกระตุ้น ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในการป้องกันโรค rabies neutralizing antibody (Nab) titer ให้ขึ้น สูงอย่างน้อย 0.5 IU/มล. ซึ่งเป็นระดับที่ถือว่าเพียงพอในการป้องกันโรคได้ภายในวันที่ 10-14 หลังได้รับวัคซีนเข็มแรก และวัคซีนที่ให้ในวันที่ 28 จะทําให้คงระดับภูมิคุ้มกันที่เพียงพอในการ ป้องกันโรคได้นานขึ้น แพทย์ควรกําชับให้ผู้ป่วยมารับวัคซีนตรงตามกําหนดนัดตามสูตรการฉีด วัคซีน ในกรณีที่มาผิดนัด ให้ฉีดเข็มต่อไปโดยไม่ต้องเริ่มใหม่ แต่ทั้งนี้แล้วแต่ ดุลยพินิจของแพทย์
7.1.2 สูตรการฉีดเข้าในหนัง (Intradermal regimen: ID) สูตร modified TRC - ID (2-2-2-0-2-0) วิธีการ ฉีดวัคซีนเข้าในหนังบริเวณต้นแขน 2 ข้าง ข้างละ 1 จุด (รวม 2 จุด) ปริมาณจุดละ 0.1 มล.ในวันที่ 0,3,7 และ 28
7.1.1 สูตรการฉีดเข้ากล้าม (Intramuscular regimen: IM) สูตร ESSEN (standard WHO intramuscular regimen) (1-1-1-1-1-0) วิธีการ ฉีดวัคซีน 1 เข็ม (1 มล. หรือ 0.5 มล.แล้วแต่ชนิดของวัคซีนใน 1 หลอดเมื่อละลายแล้ว) เข้าบริเวณกล้ามเนื้อต้นแขน (deltoid) ในวันที่ 0,3,7,14 และ 28
-
- การล้างแผล ล้างแผลด้วยน้ําฟอกด้วยสบู่หลายๆครั้งทันที ล้างทุกแผลและให้ลึกถึงก้นแผลนานอย่างน้อย 15 นาที อย่าให้แผลช้ำ เช็ดแผลด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ เช่น povidone iodine หรือ hibitane in water ถ้าไม่มีให้ใช้ 70% alcohol
นิยาม
“โรคพิษสุนัขบ้า”เกิดจากเชื้อไวรัส Rabies เชื้อนี้อยู่ในน้ําลายของสัตว์ที่เป็นโรคและติดต่อสู่คน โดยเชื้อไวรัส ที่มีอยู่ในน้ําลายสัตว์เข้าทางบาดแผลที่ถูกกัดหรือรอยถลอกหรือเข้าทางเยื่อบุตา ปาก จมูก ส่วนใหญ่โรคนี้เป็น ได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ประเทศไทยพบในสุนัขมากที่สุด รองลงมาเป็นแมว
การพยากรณ์ของโรค
คาดว่าในปี พ.ศ.2565 มีคนในประเทศไทยถูกสัตว์กัดปีละไม่ต่ํากว่า 1 ล้านคน โดยร้อยละ 80 เป็นสุนัข มารับการฉีดวัคซีนประมาณปีละ 5 แสนราย ในช่วงนี้อาจมีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษ สุนัขบ้าได้ เนื่องจากโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี
ความชุกของโรค
ผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2472 มีผู้เสียชีวิต 180 ราย ต่อมาก็มีรายงานผู้เสียชีวิตทุกปี ปีที่มีรายงานผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ ปี พ.ศ. 2523 มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 370 ราย ซึ่งในปีนั้น มีผู้ถูกสัตว์กัดแล้วมารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจํานวน 63,939 ราย โรคพิษสุนัขบ้าในคนมีแนวโน้มผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมาก เหลือ 11 ราย ในปี พ.ศ. 2560
-
-
-
-
-