Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

รายงานการวางแผนการพยาบาลผู้สูงอายุ ในศูนย์ฯ บ้านบางละมุง, อ้างอิง …

- - - - S : คุณตาเล่าว่า “มีสายตาพร่ามัวเป็นบางครั้ง เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวันเล็กน้อย”
      - O : ผลการประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงอายุไทยในชุมชน(Thai FRAT) คะแนนรวม 9 คะแนน เสี่ยงต่อการหกล้ม
    - - 1.ซักประวัติและประเมินปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการหกล้ม
      - ตรวจร่างกาย ได้แก่ การวัดสายตา การทรงตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การแต่งกาย
      - ประเมินความเสี่ยงที่จะหกล้ม โดยใช้แบบประเมิน Thai FRAT
      - เฝ้าระวังและประเมินความเสี่ยงต่อภาวะหกล้ม อย่างต่อเนื่อง
      - ให้ความรู้ผู้สูงอายุและผู้ดูแลเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง ความปลอดภัย ของผู้สูงอายุในการทํากิจกรรมต่าง ๆ ที่อาจทําให้เกิดภาวะหกล้ม
      - จัดของใช้ให้อยู่ใกล้พอที่ผู้สูงอายุหยิบได้โดยไม่ต้องเอื้อมมือหยิบ และควรหากริ่งไว้ข้างเตียงเพื่อให้ได้ขอความช่วยเหลือได้ทัน
      - ไม่ทิ้งผู้สูงอายุถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะบนเตียง โดยกั้นม่านไว้ตามลำพัง
      - 8.แนะนำและส่งเสริมการออกกำลังกายที่สามารถช่วยป้องกันการหกล้ม
      - 9.แนะนำให้ผู้สูงอายุตรวจวัดสายตา และประเมินภาวะสุขภาพเป็นประจำทุกปี จัดหาแว่นที่เหมาะสมให้กับผู้สูงอายุ
      - 10.แนะนำผู้สูงอายุให้ลุกนั่งช้าๆ เพื่อป้องกันอาการหน้ามืดและการหกล้ม
      - แนะนำผู้ป่วยให้ระมัดระวังในการเคลื่อนไหว เช่น การลงจากเตียง การเดิน การให้ผู้สูงอายุไปอาบน้ำ
    - - ผู้สูงอายุเข้าใจและสามารถบอกการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการป้องกันการหกล้มได้อย่างถูกต้อง และไม่พบรอยแผลหรือรอยช้ำจากอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม
    - - เลนส์ตาหรือแก้วตาในผู้สูงอายุ เส้นใยโปรตีนในเนื้อเลนส์ตาจะหนาตัวมีความแข็งมากขึ้น ความยืดหยุ่นลดลง และมีสีเข้มข้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดความขุ่นมัวส่งผลให้แสงผ่านได้น้อยลงมองภาพไม่ชัดเจนระดับการมองเห็นลดลงจึงทำให้มีความเสี่ยงต่อการหกล้ม
    - - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ไม่เกิดการหกล้ม
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        1.มีผลการประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงอายุไทยในชุมชน (Thai FRAT) คะแนนรวม น้อยกว่าหรือเท่ากับ 3
        2.ผู้สูงอายุไม่มีรอยแผลหรือรอยช้ำจากอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม
        3.ไม่เกิดการหกล้ม
  - - - S : คุณตาเล่าว่า “รับประทานอาหารได้น้อย ประมาณ 1/4ของถาด”
      - O : - ผลการประเมินภาวะโภชนาการ MNA ได้ 18.5 คะแนน มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร
    - - เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารเนื่องจากรับประทานอาหารไม่อร่อยหรือเบื่ออาหารนอกจากนี้ต่อมน้ำลายจะทำงานลดลงการหลังน้ำลายลดลงต่อมน้ำลายอุดตันทำให้เกิดภาวะขาดน้ำลายมีผลทำให้ความสามารถของการเคี้ยวและกลืนลดลงและการเปลี่ยนแปลงของรูปปากโดยมีฟันเคี้ยวน้อยลงจึงทำให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารได้น้อย
    - - เป้าประสงค์
        
        ส่งเสริมให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
        
        เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความรู้เรื่องการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1.มีผลการประเมินภาวะโภชนาการ MNA >24
        
        2.มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ 18.5-22.90
        
        ตอบคำถามถูกต้องทั้งหมด 4 ข้อ คิดเป็น 100%
    - - 1.ซักประวัติและตรวจร่างกาย
      - 2.ประเมินภาวะโภชนาการ โดยใช้แบบประเมินภาวะโภชนาการ MNA และประเมินความรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหาร
      - 3.แนะนำอาหารที่มีประโยชน์ โดยแนะนำธงอาหารสำหรับผู้สูงอายุ
      - 4.แนะนำผู้สูงอายุให้รับประทานอาหารที่อ่อนนุ่ม เช่น ข้าวต้มเปื่อยๆ โจ๊ก ข้าวสวยหุ่งนิ่มๆ ข้าวต้มบด เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน บางวันอาจจะสลับให้รับประทานธัญพืชหรือถั่วเมล็ดแห้งแทนข้าว เป็นต้น เนื้อสัตว์ควรบด สับ ตุ๋นให้เปื่อย หรือสับแบบละเอียด เลือกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อย หรือไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา หมูไม่ติดมัน หรือรับประทานไข่ เต้าหู้ หลีกเลี่ยงการประกอบอาหารโดยการทอด ควรใช้วิธีการต้ม ตุ๋น นึ่งแทน เช่น ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่น้ำ ปลานึ่ง เต้าหู้ต้มหรือบด เป็นต้น ควรรับประทานผักที่มีความหลากหลาย เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ฟักทอง ผักกาด แครอท โดยทำให้อ่อนนุ่มไม่แข็ง เช่น ผักต้ม ผักลวก หรือผัดผักนุ่มๆ ควรรับประทานผลไม้ที่รสไม่หวานจัด อ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย และหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ควรเน้นเป็นผลไม้สด เช่น แก้วมังกร มะละกอสุก แตงโม ส้ม กล้วย เป็นต้น ไม่ควรดื่นน้ำผลไม้กล่อง
      - 5.แนะนำให้ผู้สูงอายุดื่มนมพร่องมันเนยเป็นประจำทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 แก้ว หรือเลือกผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
      - 6.แนะนำให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารที่ปรุงสุกสดใหม่ทุกครั้ง หรือถ้ามีอาหารค้างจากมื้อที่แล้ว รับประทานเสร็จให้เก็บเข้าตู้เย็นเพื่อป้องกันอาหารเน่าเสีย และเมื่อจะรับประทานอีกครั้งให้นำไปอุ่นก่อนรับประทาน
      - 7.แนะนำผู้สูงอายุในการดูแลสุขภาพช่างปาก โดยใช้สูตร 2-2-2 คือ แปลงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน โดยแปลงนานครั้งละ 2 นาที และไม่ควรรับประทานอาหารหลังแปลงฟันแล้ว 2 ชั่วโมง
      - 8.แนะนำเรื่องของการดูแลอุณหภูมิของอาหาร เพราะการรับประทานอาหารที่ร้อนจะช่วยให้อยากอาหารมากขึ้น
      - แนะนำให้แบ่งมื้ออาหารให้กินมมากกว่า 3 มื้อ คือ มื้อเช้า สาย มื้อเที่ยง บ่าย มื้อเย็น และก่อนนอน โดยแบ่งอาหารแต่ละมื้อในปริมาณไม่มาก เพื่อช่วยบรรเทาอาการแน่นท้อง
      - แนะนำญาติผู้สูงอายุหลีกเลี่ยงการนำอาหารที่มีรสจัด หวานจัด เค็มจัด เช่น ขนมไทย เค้ก ลูกอม ไอศกรีม ช็อกโกแลต น้ำพริก ส้มตำปู ต้มยำ เป็นต้น
        
        อาหารประเภททอด อาหารฟาสต์ฟู้ด รวมทั้งเนื้อสัตว์ติดมัน หนังสัตว์ ซึ่งมีปริมาณไขมันสูง เช่น ปาท่องโก๋ กล้วยทอด มันทอด หมูสามชั้นทอด เนื่องจากอาหารเหล่านี้ย่อยยาก ทำให้ท้องอืด แน่นท้องได้
        
        อาหารหมักดอง เป็นอาหารที่มีโซเดียมสูงเช่น เต้าหู้ยี้ ผักกาดดอง หน่อไม้ดอง ผลไม้ดองต่างๆ และ
        
        อาหารแปรรูปชนิดต่างๆ เช่น อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก ลูกชิ้น หมูยอ แหนม อาหารที่มีเชื้อจุลินทรีย์ ใช้วัตถุกันเสียและสารเคมีปรุงแต่งสี รสชาติ กลิ่น เพื่อใช้ถนอมอาหาร
        
        เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน รวมถึงการสูบบุหรี่ นอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลไม้ร่างกายอ่อนแอลง และมีโรคภัยต่างๆ ตามมาได้อีก
    - - ผู้สูงอายุเข้าใจและสามารถตอบคำถามได้ถูกต้องทั้งหมด 4 ข้อ จาก 4 ข้อ คิดเป็น 100 %
  - - - S : คุณตาเล่า “ถ่ายอุจจาระสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ลักษณะอุจจาระเหนียว แข็งต้องใช้แรงเบ่งมาก ดื่มน้ำวันละ 3 - 5 แก้ว/วัน”
      - O : ผลการประเมินตามแบบประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องผูกของผู้สูงอายุพบว่า -4 แปลผลได้ว่า เสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องผูกระดับปานกลาง
        Bowel sound 8 ครั้ง/นาที
    - - ประเมินอาการไม่ถ่ายอุจจาระ
      - กระตุ้นให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 1500 มิลลิลิตรต่อวัน หรือ วันละ 6-8 แก้ว
      - กระตุ้นให้รับประทานผักและผลไม้ให้มากๆโดยสร้างความตระหนักถึงโทษของการเกิดท้องผูกบ่อยๆอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
      - ฝึกให้ผู้สูงอายุ ขับถ่ายให้เป็นเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเช้าหรือหลังรับประทานอาหารเช้า 2 ชั่วโมงเนื่องจากเป็นช่วงที่ ลำไส้มีการบีบตัวแรงมากที่สุด
      - ดูแลให้ได้รับยาระบายหรือสวนอุจจาระเมื่อจำเป็นตามแผนการรักษา
      - สังเกตความถี่ ปริมาณและลักษณะอุจจาระที่ขับถ่ายออกมา
      - ให้ผู้สูงอายุดื่มน้ำ 1- 2 แก้วทุกเช้าหลังตื่นนอน
      - จัดถ้านั่งในการถ่ายอุจจาระโดยให้ผู้สูงอายุโน้มตัวไปข้างหน้าจนหน้าท้องกดกลับหน้าขาจะช่วยกดลำไส้ใหญ่ทำให้อุจจาระได้ง่ายขึ้นผู้ดูแลต้องดูแลใกล้ชิดผู้สูงอายุที่นั่งในท่านี้เพื่อดูแลไม่ให้ผู้สูงวัยโน้มตัวมากเกินไปอาจจะเกิดอุบัติเหตุล้มได้
      - การนวดท้อง ดูแลใช้มือนวดท้องผู้สูงอายุเบาๆ 3 นาที วนตามเข็มนาฬิกา 3-4 รอบเป็นการกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวอุจจาระจะเคลื่อนตัวได้สะดวกขึ้น
      - แนะนำให้ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่างๆให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหวมากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ลำไส้มีการบีบตัวมากขึ้น
    - - ผู้สูงอายุเข้าใจและสามารถบอกวิธีปฏิบัติตามคำแนะนำได้อย่างถูกต้อง
    - - เป้าประสงค์
        
        ขับถ่ายอุจจาระได้ตามปกติ
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ลักษณะอุจจาระปกติ ไม่เป็นก้อนแข็ง แห้ง
        
        ขับถ่ายอุจจาระได้ทุก 1-2 วัน
        
        ไม่บ่นท้องอืด ปวดแน่นท้อง
    - - ผู้สูงอายุมีอายุเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของ ระบบทางเดินอาหารตั้งแต่การบดเคี้ยวที่ลดลงจากจำนวนฟันและการหลังน้ำย่อยในกระเพาะอาหารสูงทำให้ย่อยอาหารยากขึ้นมีอาหารคั่งค้างในลำไส้นานขึ้น มีการดื่มน้ำน้อยกว่า 8 แก้วต่อวันส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำทำให้ ก้อนอุจจาระแข็งมากขึ้นและทำให้เกิดภาวะท้องผูก
  - - - ประเมินผู้สูงอายุโดยการซักประวัติและใช้แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ PSQI
      - แนะนำให้ผู้สูงอายุเข้านอนตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน รวมทั้งไม่ทำกิจกรรมที่เร้าใจหรือตื่นเต้นก่อนนอน เข่นการดูหนังสยองขวัญ การดูกีฬาที่ออกแรงเขียร์ หรือการอ่านหนังสือเครียดๆ
      - แนะนำให้ผู้สูงอายุนอนงีบหลับในเวลากลางวันได้ แต่ไม่ควรเกิน 30 นาที และไม่ควรเกินบ่ายสามโมง
      - ระหว่างการนอนไม่ควรดูนาฬิกา
      - ดูแลผู้สูงอายุปัสสาวะก่อนเข้านอน
      - จัดสิ่งแวดล้อมให้เย็นสบายและเงียบสงบ เช่นปิดไฟ ไม่มีเสียงรบกวน
      - แนะนำผู้สูงอายุให้ปฏิบัติในสิ่งที่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นก่อนนอน เช่น อาบน้ำ อ่านหนังสือ หรือสวดมนต์
      - ไม่ควรออกกำลังก่อนนอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพราะร่างกายจะมีอาการตื่นตัวหลังออกำลังกาย แต่ควรออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ครั้ง/สัปดาห์
      - หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดหรือการรับประทานอาหารมื้อหนักก่อนนอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แนะนำให้ผู้สูงอายุดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆในปริมาณพอเหมาะไม่เกิน 1 ถ้วยชา
      - หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่
      - แนะนำให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนโดยเฉพาะมื้อเย็น เช่น น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม โคลา ช็อกโกแลต
      - แนะนำอาหารที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องงอก หรือ จมูกข้าว รวมไปถึง เผือก มัน งา สาหร่ายทะเล นม ผลไม้ เช่น กล้วยหอม อินทผลัม ลูกพรุน มีทริปโตฟรานกรดอะมิโนที่จะเปลี่ยนเป็นเซโรโทนิน ช่วยคลายเครียด คลายกังวล ทำให้หลับสบาย
    - - เป้าประสงค์
        
        ใน 1 วัน ผู้สูงอายุต้องนอนรวมกันได้ 6 – 7 ชั่วโมง
        
        เพื่อให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        PSQI น้อยกว่า 5 คะแนน
        
        นอนรวมกัน 6 – 7 ชั่วโมงต่อวัน
    - - S : คุณตาเล่าว่า “หลังจาก22.00 น. มีหลับๆตื่นๆบางครั้งนอนไม่หลับถึงเช้า”
      - O : ผลการประเมินตามแบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) คะแนน ได้ 14 คะแนน การแปลผล 5 คะแนนขึ้นไป หมายถึง ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับไม่ดี
    - - ผู้สูงอายุเข้าใจและสามารถบอกวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อส่งเสริมการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอได้ถูกต้อง
      - ผู้สูงอายุนอนหลับวันละ 4 – 5 ชั่วโมงต่อวัน
    - - ขณะนอนหลับร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาหลายอย่างมีการค่อยๆลดลงของการรับรู้สติไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้ากล้ามเนื้อไม่มีความตื่นตัว อัตราการเผาผลาญลดลงรวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าสมองเครื่องไฟฟ้าของลูกตาและคลื่นไฟฟ้าของกล้ามเนื้อซึ่งจะแบ่งออกเป็นสองระยะได้แก่
        
        REM ระยะหลับฝันเป็นระยะที่มีการกรอกตาอย่างรวดเร็ว
        
        NREM เป็นการหลับ ระยะเริ่มแรก
        NREM stage l ระยะที่ไวต่อการรับแสง การเคลื่อนไหวของร่างกายเริ่มลดลง ร่างกายรับรู้ต่อสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัส เช่น เสียง ได้ง่าย ถ้าสิ่งเร้ากระตุ้นจนกระทั่งตื่นเหมือนนอนฝันกลางวัน
        NREM stage II ระบบต่างๆเริ่มทำงานช้าลง แต่กระตุ้นให้ตื่นได้ง่ายถ้ามีสิ่งมารบกวน
        NREM III ระยะหลับลึก กระตุ้นให้ตื่นได้ยาก
  - - - O : ผู้สูงอายุมีอาการหูตึงทั้งสองข้าง ได้ยินไม่ชัดเจน
    - - เป็นการสูญเสียการได้ยินที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงตามวัยจากกระบวนการชราภาพที่เกิดขึ้นในหูชั้นในได้แก่การฟังและการลดลง ของเซลล์ขนของ organ of corti ที่อยู่บริเวณรากฐานของ Cookie การไหลเวียนเลือดมายังหูชั้นในลดลงเนื่องจากการเสื่อมของหลอดเลือดความยืดหยุ่นของ basilar membrane ลดลงความเสื่อมของเซลล์ขนและการผลิตของเหลวที่อยู่ในโคเคลีย endolymphลดลง ทำให้เกิดการสูญเสียการได้โทนเสียงสูงก่อนจึงทำให้ผู้สูงอายุรับฟังเสียงสูงได้ลำบาก จากนั้นอาจมีการสูญเสียโทนเสียงกลางและเสียงต่ำ
    - - ซักประวัติ
      - การสื่อสารพูดคุยกับผู้ป่วยควรจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ
      - ขณะพูดกับผู้ป่วยให้พูดตรงหน้าหรือยืนให้ผู้สูงอายุมองเห็นได้ชัด และอยู่ใกล้ เพื่อผู้สูงอายุจะได้มองเห็นปากผู้พูดซึ่งจะช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น
      - ไม่ควรรีบร้อนในการพูด ควรพูดกับผู้สูงอายุอย่างช้าๆ ชัดเจนและอาจต้องพูดซ้ำ
      - พูดด้วยประโยคสั้นๆ ไม่ควรพูดประโยคยาวๆ หรือคำศัพท์ยากๆในการสนทนากับผู้ป่วยและบอกให้ผู้สูงอายุทวนสิ่งที่ได้ยิน
      - ใช้กิริยาท่าทางประกอบการสนทนากับผู้สูงอายุ (Non-verbal communication) เช่น การพยักหน้า การส่ายหน้า การใช้มือ การแสดงออกทางสีหน้า
      - ถ้าผู้สูงอายุไม่เข้าใจในเรื่องที่พูดคุยอย่าแสดงท่าทางรำคาญ เพราะจะทำให้ผู้ป่วยวิตกกังวล
      - แนะนำให้ผู้สูงอายุเขียนหนังสือเพื่อสื่อสารถ้าผู้สูงอายุสามารถเขียนได้ หรืออาจใช้รูปภาพหรือสัญลักษณ์ต่างๆช่วยในการสื่อสาร
      - แนะนำผู้สูงอายุให้ใช้เครื่องช่วยฟัง
      - แนะนำไม่ให้ผู้สูงอายุแคะหูหรือล้างหู เพราะอาจทำให้แก้วหูฉีกขาดหรือเกิดการติดเชื้อ
      - แนะนำให้ตรวจหูปีละครั้ง
    - - ผู้สูงอายุไม่มีทีท่าหรืออารมณ์เสียในระหว่างการพูดคุย สามารถบอกสิ่งที่คนอื่นต้องการ และเข้าใจคำแนะนำในการปฏิบัติตัว
    - - เป้าประสงค์
        
        ส่งเสริมให้มีการสื่อสารที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ผู้สูงอายุสามารถเข้าใจสิ่งที่คนอื่นต้องการบอกได้
        
        บุคคลอื่นเข้าใจในสิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการสื่อสาร
        
        ไม่แสดงทีท่าหรืออารมณ์เสียในระหว่างการพูดคุย
  - - - เป้าประสงค์
        
        ไม่มีอาการหลงลืมเพิ่มมากขึ้น
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ผลการประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับไทย MMSE – Thai 2002 ในผู้สูงอายุ คะแนนมากกว่า 17 คะแนน
        
        ไม่มีอาการหลงลืมมากขึ้น
    - - ประเมินผู้สูงอายุโดยการซักประวัติและประเมินโดยใช้แบบประเมิน MMSE
      - ให้ผู้สูงอายุได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆเช่นการเข้าร่วมกลุ่มบำเพ็ญประโยชน์หรือชมรมอาสาสมัครต่างๆการฟังและร้องเพลงการเล่าเรื่องราวผ่านภาพ
      - ฝึกบริหารสมอง
        
        3.1 การฝึกจำตัวเลข เบอร์โทรศัพท์ท่องคำศัพท์การบวกลบตัวเลขจากง่ายไปยาก
        
        3.2 การเรียนสิ่งใหม่ๆ เช่น วาดภาพเต้นรำ ร้องเพลง
      - กิจกรรมการทายเสียงปริศนา โดยให้ผู้สูงอายุหลับตาอยู่ในท่าที่สบายแล้วเปิดเสียง เช่น เสียงระฆังวัด เสียงสัตว์ เสียงเพลงที่ผู้สูงอายุชอบฟังให้ผู้สูงอายุทายเสียงที่ได้ฟัง
      - กิจกรรมเล่าเรื่องผ่านรูปภาพหรือกิจกรรมการอ่านหนังสือพิมพ์ โดยจัดเตรียมอัลบั้มรูปภาพเก่าๆ ในบ้านหรือหนังสือพิมพ์หรือหนังสือนิตยสารสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผู้สูงวัยชอบเพื่อกระตุ้นให้ผู้สูงวัยอ่านหรือฟังผู้ดูแลอ่าน
      - กิจกรรม การประสานการสั่งงานของสมองทั้ง 2 ซีก ผ่านการเคลื่อนไหวขยับกล้ามเนื้อมัดเล็กสลับพร้อมกัน 2 ข้าง
        โดยทำท่ายก 3 นิ้วและท่ากำมือ
        
        ท่ายก 3 นิ้ว ให้ หงายฝ่ามือใช้นิ้วโป้งแตะที่ปลายนิ้วก้อยยกนิ้วชี้นิวกลางและนิ้วนาง
        
        ท่ากำมือ ให้หงายฝ่ามือกำมือพับเก็บนิ้วมือทั้งหมดเข้าหากันโดยให้นิ้วโป้งอยู่ด้านนอกทับบนนิ้วชี้และนิ้วกลาง
        
        กิจกรรมนี้มือซ้ายและมือขวาจะทำท่าแตกต่างกันโดยจะสลับเปลี่ยนถ้าพร้อมกันระหว่างท่ายก 3 นิ้วและท่ากำมือ
      - ถ้าใช้นิ้วชี้ว่าเลข 8 แนวนอน กลางอากาศ - ท่าใช้นิ้ววาดเลข 8 แนวตั้งกลางอากาศ
        ให้ผู้สูงอายุนั่งในท่าที่สบาย เริ่มให้ผู้สูงอายุขยับยืดเหยียดนิ้วชี้ข้างขวาทำท่าว่าเลข 8กลางอากาศในแนวนอน ขณะเดียวกันผู้ดูแลคอยช่วยจัดท่าทางของนิ้วชี้ให้เคลื่อนไหวและช่วยนับจำนวนครั้งทำซ้ำ 5 ครั้ง
        
        ขั้นต่อไป เปลี่ยนขยับยืดนิ้วชี้ข้างขวาทำท่าวัดเล็กแปดกลางอากาศในแนวตั้งเคลื่อนนิ้วชี้ขยับตามทิศทางขณะเดียวกันผู้ดูแลคอยช่วยจัดท่าทางของนิ้วชี้ให้เคลื่อนไหวและช่วยนับจำนวนครั้งทำซ้ำ 5 ครั้ง
        
        ขั้นต่อไป เริ่มให้ผู้สูงอายุขยับยืดเหยียดนิ้วชี้ข้างซ้ายทำท่าว่าเลข 8 กลางอากาศในแนวนอน ขณะเดียวกันผู้ดูแลคอยช่วยจัดท่าทางของนิ้วชี้ให้เคลื่อนไหวและช่วยนับจำนวนครั้งทำซ้ำ 5 ครั้ง
        
        ขั้นต่อไป เปลี่ยนขยับยืดนิ้วชี้ข้างซ้ายทำท่าวัดเล็กแปดกลางอากาศในแนวตั้งเคลื่อนนิ้วชี้ขยับตามทิศทางขณะเดียวกันผู้ดูแลคอยช่วยจัดท่าทางของนิ้วชี้ให้เคลื่อนไหวและช่วยนับจำนวนครั้งทำซ้ำ 5 ครั้ง
        
        ขั้นสุดท้าย ขยับนิ้วชี้มือขวา - นิ้วชี้มือซ้าย สลับสับเปลี่ยนท่าที่แตกต่างกัน ระหว่างท่าชี้นิ้ววาด เลข 8 กลางอากาศ ในแนวตั้ง กับ ท่าชี้นิ้ววาดเลข 8 กลางอากาศในแนวนอน เปลี่ยนสลับท่าระหว่างมือซ้าย และมือข้างขวา เวลาเปลี่ยนท่าต้องเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง
    - - ผู้สูงอายุสามารถฝึกบริหารสมองตามได้ทุกกิจกรรมที่จัดเตรียมให้
    - - ระบบประสาทในผู้สูงอายุ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพ การเรียนรู้จดจำในผู้สูงอายุลดลงได้แก่น้ำหนักสมองลดลง การสร้างสารสื่อประสาทและตัวรับสารสื่อประสาท ได้แก่ cholinergic muscarinic receptor ลดลง Acetylcholine ลดลง มีผลต่อการเกิดข้อมูลเพื่อจะนำเข้าไปสร้างความทรงจำลดลงผู้สูงอายุจึงมีสมรรถภาพการจำลดลงโดยเฉพาะสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่น การกินข้าวตอนเช้า
    - - O : มีการหลงลืมเล็กน้อย ต้องใช้เวลาคิดนาน
        ผลการประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย MMSE - Thai 2002 ในผู้สูงอายุ คะแนนที่ได้ 17 คะแนน ผู้สูงอายุเรียนจบชั้นระถมศึกษาจุดตัด น้อยกว่าหรือเท่ากับ 17 เต็ม 30 คะแนน ผลการประเมิน พบว่า ผู้สูงอายุรายนี้มีภาวะสมองเสื่อม
  - - - S : คุณตาเล่าว่า “สูบบุหรี่เป็นเวลานานมากกว่า 50 ปี แต่ปัจจุบันมีสูบบ้างเป็นบางคราว”
      - สัญญาณชีพปกติ
        PR = 90 bpm
        RR = 20 bpm
        BP = 120/88 mmHg
    - - ประเมินและซักประวัติผู้สูงอายุ
      - บอกประโยชน์ในการเลิกสูบบุหรี่
      - สอบถามความสมัครใจในการเลิกสูบบุหรี่ ถ้าผู้สูงอายุสมัครสมัครใจให้ใช้หลัก 5A
        A1 Ask ถามเกี่ยวกับสถานภาพการสูบบุหรี่
        A2 Advice แนะนำเพื่อกระตุ้นให้ตัดสินใจเลิกบุหรี่
        A3 Assess ประเมินผู้สูงอายุว่ามีความพร้อมที่จะเลิกหรือไม่ และสามารถเลิกด้วยวิธีใด
        A4 Assist การช่วยให้เลิกสูบบุหรี่โดยอธิบายวิธีการสูบบุหรี่ที่เหมาะสมกับระยะความต้องการเลิกและระดับติดนิโคติน
        A5 Arrange วางแผนติดตามเนื่องจากการอดบุหรี่จะมีอาการขาดนิโคตินมากใน 3 – 7 วันแรก การวางแผนติดตามจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้เลิกได้อย่างถาวร
      - ให้ความรู้เกี่ยวกับโทษและพิษภัยของบุหรี่
      - สอนและกระตุ้นให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี โดยสอนให้ผู้สูงอายุหายใจออกโดยการเป่าปาก เพื่อป้องกันการปิดของหลอดลมเร็วเกินไป ช่วยให้หายใจออกเนานขึ้น และลดการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าทางจมูก
      - ถ้าผู้สูงอายุมีอาการแสดงของออกซิเจนในเลือดต่ำ เช่น เหนื่อยหอบ ปลายมือปลายเท้าเย็น ตัวซีดเขียว เป็นต้น ให้ผู้สูงอายุลดการใช้ออกซิเจนและดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเหมาะสม
      - แนะนำให้เริ่มออกกำลังกายทีละน้อย ไม่ควรถี่มาก ไม่หักโหม หายใจออกน้อยกว่าหายใจเข้าเพื่อป้องกันการคั่งของCO2
      - สอนวิธีการหายใจที่ถูกต้อง โดยหายใจช้าและลึก ขณะหายใจออกให้ห่อปากและหดกล้ามเนื้อหน้าท้อง ทั้งนี้เพื่อให้อากาศถูกขับออกมาให้ได้มากที่สุด
    - - ผู้สูงอายุมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติการฝึกการหายใจได้อย่างถูกต้อง ไม่มีภาวะขาดออกซิเจน เช่น ตัวเขียว ปลายมือปลายเท้าเย็น
    - - ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงทรงสรีระวิทยาโดยเกิดจากการเปลี่ยนจากหลอดลม หลอดลมตีบ เกิดพังผืด การทำลายของเนื้อปอดและหลอดเลือดจากการอักเสบเรื้อรังทำให้การแลกเปลี่ยนก๊าซผิดปกติหรือกำซาบก๊าซของเลือดผิดทำให้เกิดภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ และภาวะคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดแดงสูง เนื่องจากปัญหาในการระบายอากาศที่ลดลง ตอบสนองต่อภาวะพร่องออกซิเจนลดลงและเกิดการระบายอากาศโดยไม่มีการกำซาบออกซิเจน เนื่องจากความผิดปกติของถุงลมที่มีการแตกของถุงลมเล็กๆ รวมถึงขนาดใหญ่ขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดในปอดทำให้เกิดการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ และมีการอักเสบเรื้อรังของลมเนื่องจาก ผู้สูงอายุรายนี้มีการสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 20 กว่า สูบบุหรี่ยาวนานถึง 50 ปี ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
    - - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ไม่เกิดภาวะหายใจไม่มีประสิทธิภาพ
        
        สัญญาณชีพปกติ
        RR = 16 – 20 bpm
        PR = 60 – 100 bpm
        BP = 140-90/60-90 mmHg
      - เป้าประสงค์
        
        ป้องการไม่ให้เกิดภาวะกำซาบเลือดของเนื้อเยื่อปอด
- - - - ** ผลการประเมินแบบประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ แปลผล ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
      - ** ผลการประเมินตามแบบประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องผูกของผู้สูงอายุ ผลการประเมิน -4 คะแนน
        การแปลผล -5 ถึง +7 หมายถึง เสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องผูกระดับปานกลาง
  - - - ** ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
        
        จากการซักประวัติ : ผู้สูงอายุบอกว่ายังเคลื่อนไหวร่างกายเองได้ดี แต่ต้องระมัดระวังเนื่องจากเสี่ยงที่จะล้มได้ง่าย
        
        จากการตรวจร่างกาย : ผู้สูงอายุเคลื่อนไหวร่างกายได้ดี แต่ขณะเดินจะมีลักษณะหลังค่อม ยืดได้ไม่สุด ขณะทำการตรวจไม่มีอาการเจ็บ แต่มีปวดเมื่อยบริเวณหลังบ้างเป็นบางครั้ง ไม่พบข้อติดแข็ง ไม่มีผลกดทับ กล้ามเนื้อมีความตึงตัวดี
      - ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบหัวใจและหลอดเลือด
        
        จากการซักประวัติ : ผู้สูงอายุปฏิเสธโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
        
        จากการตรวจร่างกาย : อัตราการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ PR = 90 bpm คลำไม่พบหัวใจโต ไม่พบเสียง murmur Capillary refill time 2 วินาที ปกติ
      - ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบทางเดินหายใจ
        
        จากการซักประวัติ : ผู้สูงอายุปฏิเสธโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
        
        จากการตรวจร่างกาย : การเคลื่อนไหวทรวงอกสม่ำเสมอ มึการขยายตัวเท่ากันทั้ง 2 ข้าง อัตราการหายใจ 20 bpm ลักษณะการหายใจสั่นๆ ฟังปอด Clear ทั้ง 2 ข้าง
    - - ** ผลการประเมินตามแบบประเมินความสามารถเชิงปฏิบัติ (Barthel ADL Index) คะแนน ที่ได้ 20 คะแนน การแปลผล 12+ คะแนนระดับสูง มีภาวะพึ่งพาเล็กน้อย
      - ** ผลการประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุในโรงพยาบาล คะแนนที่ได้ 9 คะแนน การแปลผล 4-11 มีความเสี่ยงต่อการหกล้ม
      - ** ผลการประเมินความเสี่ยงการเกิดแผลกดทับ (Braden scale)
        คะแนนที่ได้ 23 คะแนน การแปลผล ผู้สูงอายุไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
  - - - ** ผลการประเมินตามแบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) คะแนน ได้ 14 คะแนน การแปลผล 5 คะแนนขึ้นไป หมายถึง ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับไม่ดี
  - - - ** ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบประสาทและการรับสัมผัส
        
        จากการซักประวัติ : รู้สึกตัวดี มีอาการหลงลืมเป็นบางครั้ง ต้องคิดนานขึ้น
        
        จากการตรวจร่างกาย : ผู้สูงอายุทำกิจกรรมต่างๆได้ปกติ รู้สึกตัวดี การรับสัมผัสปกติ ปฏิกิริยารูม่านตาตอบสนองต่อแสงทั้ง 2 ข้าง pupil 2 มิลลิเมตรทั้งด้านซ้ายและด้านขวา สามารถทำตามคำสั่งได้ดี
    - - ** ผลการประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย MMSE – Thai 2002 ในผู้สูงอายุ คะแนนที่ได้ 17 คะแนน ผู้สูงอายุเรียนจบชั้นระถมศึกษาจุดตัด น้อยกว่าหรือเท่ากับ 17 เต็ม 30 คะแนน ผลการประเมิน พบว่า ผู้สูงอายุรายนี้มีภาวะสมองเสื่อม
      - ** ผลการประเมินภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย (Thai Geriatric Depress Scale: TGDS)
        คะแนนที่ได้ 10 คะแนน แปลผลคะแนน 0 – 12 คะแนน ปกติ ผู้สูงอายุรายนี้ไม่มีภาวะซึมเศร้า
      - ** ผลการประเมินความปวด (Visual Analogue Scale, VAS) / (Visual Analogue Scale, VAS) ไม่มีอาการแสดงภาวะเจ็บปวดในร่างกาย
  - - - ** ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบสืบพันธุ์
        
        จากการซักประวัติ : ผู้สูงอายุบอกว่าไม่มีความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์
  - - - ** ผลการประเมินตามแบบประเมินความเครียดกรมสุขภาพจิต (ST-๕)
        คะแนนที่ได้ 4 คะแนน แปลผลได้ว่า 0 – 4 คะแนน เครียดน้อย