Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 2 การพยาบาลแบบองค์รวมในผู้ที่มีความผิดปกติด้านความคิดและการรับรู้…
หน่วยที่ 2 การพยาบาลแบบองค์รวมในผู้ที่มีความผิดปกติด้านความคิดและการรับรู้
โรคจิตเภท (Schizophrenia)
ผู้ป่วยจิตเวชที่มีความคิดในรูปแบบต่างๆทำให้เกิดปัญหาพฤติกรรมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ความหมาย
กลุ่มอาการของความผิดปกติที่มี ลักษณะอาการของความเจ็บป่วยทางจิตและการทำหน้าที่ต่างๆลดลง ซึ่งประกอบด้วย อาการแสดงทางบวก ได้แก่ อาการหลงผิด ประสาทหลอน พูดจาสับสน พฤติกรรมวุ่นวาย เป็นต้น และอาการแสดงทางลบ ได้แก่ อารมณ์เฉยเมย สีหน้าเรียบเฉย ขาดความกระตือรือร้นเฉยชา เก็บตัว ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม การงานหรือกิจกรรมทางสังคม ทำให้มีความบกพร่องในการดำเนิน ชีวิตประจำวัน
ระบาดวิทยา
เป็นโรคที่รุนแรง เรื้อรังและพบมากที่สุดในโรคจิตชนิดต่างๆ ทั่วโลกมีผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ถึง 21 ล้านคน เริ่มมีอาการหรือพบมากในกลุ่มของวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ตอนต้น เพศชายและหญิงพบได้เท่ากัน แต่เพศชายมักแสดงอาการเริ่มต้น เร็วกว่าเพศหญิง อุบัติการณ์ของโรคพบสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 15-25 ปี ในเพศชาย อายุ 15-35 ปี ในเพศหญิงและประมาณร้อย ละ 90 ของผู้ป่วยมีอ ายุระหว่าง 15-55 ปี
สาเหตุ
ปัจจัยด้านชีวภาพ (Biological factors) แนวคิดปัจจัยด้านชีวภาพเชื่อว่าโรคจิตเภทเป็นโรคความผิดปกติของสมอง (Brain disorder) โดยมีการศึกษาวิจัยที่พบหลักฐานทางชีวภาพสนับสนุนค่อนข้างมาก
1.1ปัจจัยด้านพันธุกรรม (Genetic factor) ยีนที่ผิดปกติซึ่งพบได้ในผู้ป่วยโรคจิต เภทมีความสัมพันธ์กับ โครโมโซมคู่ที่ 6 พบว่าญาติของผู้ป่วยโรคจิตเภทนั้น มีโอกาสเป็นโรคจิตเภทสูงกว่าประชากรทั่วไป
1.2ปัจจัยด้านระบบสารชีวเคมีในสมอง (Biochemical factor) สมมติฐานเกี่ยวกับการเกิดโรคจิตเภทที่สัมพันธ์กับ ระบบสารชีวเคมีในสมองที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
1) การทำงานมากเกินไปของโดปามีน (Dopamine hyperactivity)
2) ความบกพร่องของ Dopamine ในบริเวณ Prefrontal cortex ท าให้เกิดอาการทางด้านลบร่วมกับมีความผิดปกติในการหลั่งโดปามีน (Dopamine dysregulation) ที่บริเวณ Striatum โดยเกิดความผิดปกติของการปล่อย Dopamine ท าให้เกิดอาการทางด้านบวก
3) ความผิดปกติของภาวะสมดุลระหว่างซีโรโทนิน (Serotonin) กับโดปามีน(Dopamine) ทั้งนี้จากการศึกษาทางเภสัชจลนศาสตร์พบว่า ยารักษาอาการทางจิตกลุ่มใหม่
4) ความผิดปกติของสารชีวเคมีในสมองตัวอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคจิตเภท
1.3 ปัจจัยด้านกายวิภาคของสมอง (Anatomy of the brain factor) จากการศึกษาสมองผู้ป่วยโรคจิตเภทที่เสียชีวิตแล้ว พบว่า ผู้ป่วยโรคจิตเภทมีความผิดปกติของกายวิภาคสมองในหลายส่วน
1.4ปัจจัยด้านประสาทสรีรวิทยา (Neurophysiological factor) จากการศึกษาด้านประสาทสรีรวิทยาของผู้ป่วยโรคจิตเภทที่เสียชีวิตแล้ว มีความผิดปกติ
1.5 ปัจจัยด้านการทำงานของต่อมไร้ท่อ (Endocrinological factor) เช่น การเป็นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) มีอาการหงุดหงิด กระวนกระวาย มีความเครียด มีอารมณ์เศร้า เฉื่อยชา ความจ าเสื่อม และมีอาการทางจิต
1.6 ปัจจัยด้านการได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง (Brain damaging factor) เมื่อสมองได้รับอุบัติเหตุและได้รับ ทำให้เซลล์ของสมองเสื่อมไปตามความรุนแรงของอุบัติเหตุและพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นจนทำให้เกิดความผิดปกติทางจิตได้
ปัจจัยด้านจิตใจ (Psychological factors) แนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยด้านจิตใจเชื่อว่า สภาวะทางจิต ความสามารถในการคิด ความรู้สึกผิดชอบ ลักษณะบุคลิกภาพ ประสบการณ์ในอดีต แรงจูงใจ การใช้กลไกลทางจิต และความมีผลต่อการควบคุมตนเอง
2.1ทฤษฎีจิตวิเคราะห์และทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ เชื่อว่า โรคจิตเภทมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลในวัยเด็กโดยเฉพาะในขวบปีแรก มีผลให้เกิดพยาธิสภาพส่วนที่ทำหน้าที่ในการปรับตัว การควบคุม พฤติกรรม และการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น ผู้ป่วยเลือกใช้กลไกทางจิตในลักษณะที่ไม่เหมาะสม
2.2การรับรู้และไวต่อความเครียดมากกว่าปกติ รวมทั้งมีความสามารถในการตอบสนองต่อความเครียดที่ไม่ดี เมื่อพบกับสภาพกดดันบางประการ จึงทำให้เกิดอาการของโรคจิตเภทขึ้นมา
2.3ความขัดแย้งในจิตใจที่เกิดจากสัญชาตญาณธรรมชาติที่มีมากและไม่สามารถควบคุมได้ ขาดสำนึกในการควบคุมตนเอง และความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี ชอบเอาชนะ และขัดแย้งกับผู้อื่น เกิดความคับข้องใจ ไม่แน่ใจ
2.4 การได้รับความกระทบกระเทือน การถูกทารุณกรรมทางด้านร่างกายหรือจิตใจในวัยเด็ก ส่งผลให้เกิดบาดแผลทางใจและมีภาวะทางจิตที่เบี่ยงเบนไป
ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ (Personality factors) การศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยด้านบุคลิกภาพของผู้ป่วยโรคจิตเภท พบว่ามีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพที่ผิดปกติ โดยเฉพาะในกลุ่ม
3.1 Paranoid Personality มีลักษณะเด่นของบุคลิกภาพแบบไม่วางใจและมีความสงสัยในบุคคลอื่น
3.2 Schizoid Personality มีลักษณะเด่นของบุคลิกภาพแบบขาดสัมพันธภาพทางสังคม และพบว่ามีการจ ากัดการแสดงออกทางอารมณ์ในสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
3.3 Schizotypal Personality มีลักษณะเด่นของบุคลิกภาพแบบบกพร่องด้านสัมพันธภาพทางสังคม
ปัจจัยด้านครอบครัว (Family factors) แนวคิดด้ านครอบครัวเชื่อว่า สภาพครอบครัว การเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมในครอบครัว มีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของ บุคคล ส่งผลต่อการเกิดโรคจิตเภท
4.1สภาพครอบครัวที่มีการใช้อารมณ์ต่อกันสูง (High expressed-emotion; EE) มีผลต่อการก าเริบของโรค
4.2การศึกษาด้านครอบครัวของผู้ป่วยโรคจิตเภท พบว่า ส่วนใหญ่มีสัมพันธภาพของบุคคลในครอบครัวไม่ดี หรือมีการแสดงความห่างเหินทางอารมณ์ระหว่างคนในครอบครัว
4.3การศึกษาด้านจิตเวชเด็ก พบว่า เด็กที่ป่วยเป็นโรคจิตเภทส่วนใหญ่มี บิดา มารดาที่มีความขัดแย้งกัน พยายามดึงเด็กมาเป็นพวกของตน ในที่สุดเด็กเกิดความลังเลไม่แน่ใจ
4.4มารดาที่เป็นสาเหตุของโรคจิตเภท (Schizophrenic mother) จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ เข้าไม่ถึงจิตใจของบุตร ครอบงำบุตร ละมีทัศนคติไม่ยอมรับบุตร
4.5การสื่อสารภายในครอบครัวเป็นแบบ Double bind communication บิดามารดา มักจะพูดแบบคลุมเครือ ไม่เที่ยงตรง
4.6ชีวิตสมรสหรือชีวิตโสดที่มีปัญหายุ่งยาก การศึกษาเกี่ยวกับโรคจิตเภท พบว่าเกิดในพวกกลุ่มบุคคลที่มีสถานภาพโสดมากกว่าบุคคลที่สมรสแล้ว
ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factors) จากการศึกษาด้านสังคมและวัฒนธรรมพบว่า สภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อการป่วยเป็นโรคจิตเภท
5.1ผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตเภทพบมากในผู้ที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจต่ าซึ่งมีสมมติฐานว่า อาจเป็นเพราะสภาพสังคมและ เศรษฐกิจบีบคั้นท าให้เกิดความเครียดและเป็นโรคจิตเภท
5.2ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theory) อธิบายว่าในวัยเด็กของผู้ป่วยโรคจิตเภทมีแนวโน้ม การคิดอย่างไม่มีเหตุผล โดยเลียนแบบมาจากบิดามารดา
5.3ผู้ป่วยโรคจิตเภทพบว่ามีความสัมพันธ์กับการใช้สุราและสารเสพติดต่างๆเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อผู้ป่วยดื่มสุราหรือใช้ สารเสพติดต่างๆเหล่านี้จนติดแล้วหากไม่ได้ดื่มสุราหรือเสพสารเสพติด จะท าให้เกิดอาการแปรปรวนทางจิต
โรคจิตเภท (Schizophrenia)
อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยโรคจิตเภท
อาการหลงผิด (Delusion) เป็นความเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริงอย่างฝังแน่นไม่เปลี่ยนแปลงถึงจะมีเหตุผลหลักฐานมาโต้แย้งความเชื่อนั้น
อาการประสาทหลอน (Hallucination) เป็นการรับรู้โดยปราศจากสิ่งเร้าภายนอกแบบที่พบบ่อยคือ อาการหูแว่ว (Auditory hallucination)
อาการพูดสับสน (Disorganized speech) เป็นความผิดปกติของกระบวนการคิดจะแสดงออกทางคำพูดโดยจะไม่สามารถเรียบเรียบความคิดให้เป็นไปในทางเดียวกันได้ตลอด ความคิดไม่สมเหตุสมผลหรือไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมภายนอก
อาการของพฤติกรรรมที่แปลกประหลาดไป (Grossly disorganized behavior) เป็นพฤติกรรมที่คนทั่วไปเห็นแล้วแปลกประหลาดไป ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีจุดมุ่งหมาย คาดเดาไม่ได้ มีความเสื่อมถอยหรือมีปัญหาในด้านสังคม การทำงานและการประกอบอาชีพหรือการเรียน
การพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภท
การประเมินสภาพปัญหา (Nursing Assessments)
1.1การประเมินสภาพด้านร่างกายที่สำคัญคือ การแต่งกายเหมาะสม หรือ ไม่เหมาะสมทั้งความสะอาด
1.2การประเมินสภาพจิตที่สำคัญคือ การคิดของผู้ป่วยมีความผิดปกติระดับใด มีอาการหลงผิดประสาทหลอนหรือไม่ มีระดับความรุนแรงเพียงใด
การวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing Diagnosis)
2.1ขาดความสนใจดูแลสุขภาพอนามัยของตนเนื่องจากกระบวนการคิดบกพร่อง
2.2ขาดอาหารและน้ำเนื่องจากระแวงว่ามียาพิษในอาหาร
2.3เสี่ยงต่ออันตรายจากอุบัติเหตุเนื่องจากอาการหลงผิดและประสาทหลอน
2.4พฤติกรรมถดถอยเนื่องจากการรับรู้เสีย
2.5ขาดทักษะในการสร้างสัมพันธ์ภาพกับบุคลอื่นเนื่องจากแยกตัว
2.6ขาดทักษะในการสื่อสารเนื่องจากการรับรู้บกพร่อง
2.7เสี่ยงต่อการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง เนื่องจากอาการหลงผิดและประสาทหลอน
3.การวางแผนการพยาบาล (Nursing care plan)
3.1การวางแผนระยะสั้น
3.1.1การดูแลความปลอดภัยโดยเฉพาะการระวังเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากภาวะหลงผิดและประสาทหลอน
3.1.2การดูแลสภาพร่างกาย ให้ผู้ป่วยได้รับ อาหาร น้ำดื่ม การพักผ่อน หลับนอนและสุขอนามัยที่ดี
3.2การวางแผนระยะยาว
3.2.1การดูแลตนเองด้านสุขภาพอนามัยโดยเน้นการออกกำลังกายตามศักยภาพ3.2.2การบำบัดอย่างต่อเนื่องเน้นการใช้ยาอย่างถูกต้องโดยการมีส่วนร่วมของทั้งผู้ป่วย ครอบครัวผู้ดูแลที่บ้านและชุมชน
การปฏิบัติการพยาบาล (Nursing Intervention)
4.1 สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบ าบัดเพื่อให้ผู้ป่วยไว้วางใจ
4.2ประเมินอาการหลงผิดประสาทหลอน
4.3รับฟังสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าด้วยความเข้าใจและยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นประสบการณ์ของผู้ป่วยโดยไม่ขัดจังหวะไม่โต้แย้งไม่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ต าหนิไม่หัวเราะขบขันไม่สนับสนุนหรือคล้อยตาม
4.4 บอกความเป็นจริงในขณะนั้น(Present reality) ตามการรับรู้ในขณะนั้นของพยาบาล
การประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล (Nursing evaluation)
5.1ความปลอดภัย
5.2อุบัติเหตุ
5.3 การบำบัดด้วยยา
5.4 การบำบัดทางจิตสังคม
5.5สัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
5.6สัมพันธภาพกับครอบครัว
5.7การพัฒนาทักษะการสื่อสารกับบุคคลอื่นและสังคมดีขึ้น
5.8การปฏิบัติบทบาทของตนในครอบครัว
5.9การชีชีวิตตามปกติในสังคม ชุมชน
บทบาทของพยาบาลเพื่อการส่งเสริม ป้องกัน การบำบัด การฟื้นฟูและการดูแลต่อเนื่องในผู้ป่วยโรคจิตเภท
1.Psychotherapy การบำบัดทางจิตสังคมอาจเลือกใช้ตามความเหมาะสม
1.1การสัมภาษณ์เพื่อเสริมแรงจูงใจในการรักษา(motivation interview) การช่วยเหลือที่ส าคัญในขั้นต้นของการรักษาในผู้ป่วยโรคจิตเภทที่เนื่องจากผู้ป่วยบางรายไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาสาเหตุและผลที่เกิดจากการใช้สารเสพติดที่เกิดขึ้นกับตนเองและบุคคลอื่น
1.2การบำบัดความคิดและพฤติกรรม(cognitive behavior therapy) เป็นวิธีการบำบัดที่ช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ าได้และช่วยลดภาวะหูแว่วโดยการกลับเป็นซ้ำจะสัมพันธ์กับวิธีและการรับประทานยา
1.3การสนับสนุนจากสังคม(Social support) มีส่วนส่งเสริมการบำบัดรายบุคคลและรายกลุ่มให้มีประสิทธิภาพเมื่อครอบครัวให้ความร่วมมือในการรักษาเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดรวมทั้งช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจะทำให้ผู้ป่วยโรคจิตเภทสามารถลดพฤติกรรมการใช้สารเสพติดลงได้ครอบครัวเป็นแหล่งช่วยเหลือที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อผลลัพธ์ทางการรักษาพยาบาล